
ธรรมะ ย่อมชนะ อธรรมะ จริงเสมอไปหรือไม่
#1
โพสต์เมื่อ 12 September 2008 - 10:45 AM
#2
โพสต์เมื่อ 12 September 2008 - 12:14 PM
ป.ล. ลองคิดตรงข้าม ถ้าเราคิดว่า "ธรรมะ ย่อมแพ้ อธรรม" แทนที่จะเป็น "ธรรมะ ย่อมชนะ อธรรม" แล้ว นักกีฬา(หมายถึงนักสร้างบารมีและสรรพสัตว์ทั้งหลาย)อาจหมดกำลังใจต่อสู้กับคู่แข่งขัน(อธรรม)กันเป็นแน่ อย่าคิดแบบนี้เลยครับ เพราะมีแต่เสีย หมดกำลังใจทำความดีกันเปล่าๆ เป็นกองเชียร์ให้ฝ่ายธรรมะดีกว่าเป็นกองเชียร์ให้ฝ่ายอธรรมครับ
ก็ยังต้องสู้กันต่อไปจนกว่าจะชนะอย่างถาวร สู้ สู้ สู้ แล้วก็สู้ กันนะขอรับ ถ้าสู้ยังมีสิทธิ์ที่จะชนะ แต่ถ้าไม่สู้ก็เท่ากับยอมแพ้และแพ้สถานเดียว ถ้าสู้ชนะเราก็จะเป็นสุขนิรันดร์ แต่ถ้าไม่สู้(แพ้)เราก็จะเป็นทุกข์อนันตกาล เราจะเลือกแบบไหนดี
#3
โพสต์เมื่อ 12 September 2008 - 12:43 PM
#4
โพสต์เมื่อ 12 September 2008 - 01:11 PM
#5
โพสต์เมื่อ 12 September 2008 - 01:33 PM
ขออนุญาต แสดงความคิดเห็นค่ะ ว่า
จริงค่ะ แน่นอน
เพียงแต่ ชนะในรูปแบบไหนเท่านั้นเอง
เคยมีคำกล่าวไว้ว่า
ธรรมชาติของคนก็เหมือนกับน้ำ ย่อมไหลลงสู่ที่ต่ำเสมอ
แปลให้เข้าใจได้ง่ายๆว่า
การกระทำอะไรที่ไม่ดี นั้นทำง่ายกว่า
ดังนั้น การที่เราเลือกที่จะทำอะไรที่ดี ต้องใช้กำลังใจอย่างสูง
ในความคิดของ koonpatt คำว่า ธรรมะย่อมชนะอธรรม ในความหมายแรกคือ
ถ้าเราเอาชนะใจตัวเอง ข่มใจไม่ทำสิ่งไม่ดี นั่นคือ ชัยชนะอย่างหนึ่ง ชนะใจตัวเอง
แต่ถ้าเรายอมไหลลงสู่ที่ต่ำ นั้นคือเราแพ้แล้ว แพ้ความต้องการฝ่ายต่ำของเรา
แต่ถ้าในความหมายทั่วๆ ไป คงหมายถึง ความดีย่อม ชนะความชั่ว
นั่นย่อมถูกต้องเสมอค่ะ เพียงแต่ว่า สำหรับบางคน ผลของการทำดี อาจปรากฎให้เห็นช้าหน่อย
แต่สิ่งที่คุณได้ทันทีที่ทำดีนั่นคือความสุข เพราะคุณย่อมรู้แก่ใจตัวเองดีว่า สิ่งที่ทำไปนั้น ดีแล้ว ชอบแล้ว
ความสุขย่อมบังเกิดแก่คุณแน่นอน
แต่ถ้าเอาภาพที่เห็นภายนอกมาวัด หรือ มองหาสิ่งตอบแทนที่เป็นวัตถุ
แน่นอนค่ะ การทำดี ให้ผลตอบแทนเป็นรูปธรรมค่อนข้างช้า
เช่น (ขอยกตัวอย่างแบบที่เห็นง่ายที่สุดนะคะ)
อาชีพหลายๆอาชีพ ถ้าไม่โกง ไม่รวย เมื่อไม่รวย ก็ไม่มีอำนาจบารมี
เมื่อแพ้ใจตัวเอง อยากรวย อยากถึงพร้อมไปด้วย อำนาจ และ บารมี ก็ต้องทำ
ทางรูปธรรม เห็นได้ทันทีค่ะ รวยทันตาเห็น
แต่...ใจ...เป็นสุขหรือไม่ ...อยู่... เป็นสุขหรือไม่ ทางนามธรรม เจ้าตัวรู้ดีทันทีเช่นกัน
ทางรูปธรรม กรรมชั่วเหล่านั้น จะตามสนองจนคนทั่วไปมองเห็นได้ในที่สุด
นั่นก็อยู่ที่ แต่ละคน เลือกที่จะสุขแบบไหน
สุขที่ใจ หรือ สุขที่กาย
ไม่ใช่แบบว่า คนดีไปสู้กับคนไม่ดี แล้วคนไม่ดีต้องตาย (เหมือนในหนังอันนั้น เป็นการแสดงให้เห็นภาพน่ะค่ะ)
ดังนั้น ความหมายของคำว่า ธรรมะย่อมชนะอธรรม (ตามความเข้าใจของ koonpatt นะคะ)
คือ ความดีย่อมให้ความสุขใจอันเป็นนิรันดร์ ซึ่งเป็นความต้องการที่แท้จริงของมนุษย์ค่ะ
แด่
เธอ...ผู้นำแสงสว่างสู่...กลางใจ
#6
โพสต์เมื่อ 12 September 2008 - 01:36 PM
ผลที่ได้รับก็ย่อม "ได้ดี" เป็นของแน่แท้ทีเดียว
ไม่ว่าจะมีฝ่ายอธรรม เข้ามาข่มเหง ดับรัศมี หรืออะไรก็แล้วแต่ขนาดไหน เพชรแท้ แม้จะหล่นลงไปในโคลนตม ความเงางามก็คงถูกดับไปได้แค่ชั่วครั้งชั่วยาม เพราะเพชรแท้ก็ยังคงความเป็นเพชรแท้ พร้อมรอวันเจิดจรัศแสงในภายหน้าอยู่ดี
อ้ายที่อยากมันก็หลอก อ้ายที่หยอกมันก็ลวง ทำให้จิตเป็นห่วงเป็นใย.."
พระมงคลเทพมุนี (สด จันทสโร)
#7
โพสต์เมื่อ 12 September 2008 - 01:44 PM
#8
โพสต์เมื่อ 12 September 2008 - 02:44 PM
2) พระศรัทธาธิกพุทธเจ้า สร้างบารมีรวม 40 อสงไขย กับอีก แสนมหากัป (รวมระยะเวลาสร้างบารมีหลังรับพุทธพยากรณ์ คือ 8 อสงไขย กับ แสนมหากัป) (อย่างน้อย)
3) พระวิริยาธิกพุทธเจ้า สร้างบารมีรวม 80 อสงไขย กับอีก แสนมหากัป (รวมระยะเวลาสร้างบารมีหลังรับพุทธพยากรณ์ คือ 16 อสงไขย กับ แสนมหากัป) เช่น พระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์ต่อไป คือ พระศรีอาริยเมตไตรยสัมมาสัมพุทธเจ้า (เป้าหมาย
#9
โพสต์เมื่อ 12 September 2008 - 04:59 PM
ใจอยากช่วยอยู่ตลอด เมตตาอยู่ตลอด ไม่เคยทำบุญเอาหน้า แต่ทำทาน 70 %-100%แม้เงินไม่มากนัก แต่จิตใจบริสุทธิ์
ไม่กลัวความตาย เพื่อแลกกับบารมี แต่ไม่เคยเอ่ยเรื่องนี้กับใคร แต่สลักด้วยจิตใจจะทำบุญ เป็นคนดีให้ตลอด
แต่ด้วยฐานะตน พูดปไม่ค่อยมีใครเชื่อ
............................................
กับคนที่2ที่รักษาศีลไม่บริบูรณ์ ทำบุญเพราะอยากดัง อยากเด่น ทำทานเพื่อชาติหน้าจะได้รวย ปัจจุบันได้รวย
ชอบว่าร้ายคนอื่น เป็นกัลยณมิตรชวนคนมีหน้ามีตาเยอะ แต่ไม่ค่อยสนใจคนจน ฐานะปานกลาง
หน้าอย่าง หลังอย่าง พูดลับหลังคนเป็นนิจ ใส่ร้ายคนไม่น้อย เป็นคนมีหน้ามีตาเสมอ พูดเกินจริงว่าตนดีเสมอ
เหมือนวาจาศักดิ์สิทธิ์ พูดไปใครก็เชื่อเสมอ และห้ามคนทำบุญเพราะคนนั้นดีกว่า
....................................................
อยากรู้ค่ะว่าคนแรกจะทำบุญอะไรเพื่อหลุดจากคนที่ 2
แล้วให้ทุกคนกลับมาเห็นสิ่งที่เรียกว่าความจริง
โดยรักษาศีลให้บริสุทธ์

ตอบด้วยยยย

ถือว่าเป็นธรรมทานนะค่ะ^o^
#10
โพสต์เมื่อ 12 September 2008 - 05:05 PM
ธรรมะ ย่อมชนะอธรรม เป็นคำที่เขาผู้นั้นสั่งให้พูด จริง ๆ ไม่ใช่ เพื่อให้เราได้ใจ
ท่านสิริปโภรู้ แต่แกล้งไม่รู้ ถามเพื่อความมั่นใจเป็นกำลังใจ OKAY
#11
โพสต์เมื่อ 12 September 2008 - 08:44 PM
ธรรมะ ย่อมชนะ อธรรมะ จริง
แต่ไม่เสมอไป ไม่ทุกเรื่อง ไม่ทุกครั้ง ไม่ทุกสนามรบ
อุปมาเหมือน
ถ้า
กุศลธรรม คือ น้ำ
อกุศลธรรม คือ ไฟ
น้ำน้อย ย่อมแพ้ไฟได้ ครับ
ถ้า
กุศลธรรม คือ วิบากบุญ
อกุศลธรรม คือ วิบากบาป
ถ้า
ทำความดีทั่ว ๆ ไป
แต่วิบากบาป ดวงบาปโตมาก วิบากบุญดวงบุญโตน้อยกว่า
ก็ต้านไม่ไหว ต้องประสบทุกข์ โศก โรค ภัย ครับ
ถ้า
กุศลธรรม คือ ความสว่าง
อกุศลธรรม คือ ความมืด
ถ้า
ความสว่างแค่แสงเทียน แค่ดวงอาทิตย์
แต่ความมืด คือ หลุมดำ หรือ black hole
(แหม ขอตามกระแส สักหน่อย เอ่อ ไม่ใช้รถ back hole ที่ใช้ขุดตักดิน นะครับ

อะไร จะชนะ คุณ สิริปโภ คงพอเข้าใจ นะครับ

#12
โพสต์เมื่อ 13 September 2008 - 04:48 AM
#13
โพสต์เมื่อ 13 September 2008 - 02:11 PM
#14
โพสต์เมื่อ 13 September 2008 - 06:04 PM
คนที่จะไปทุขคติภูมิ มากมายอัปมานัง ดั่งขนบนตัวโค..
................................................................
ถามว่าคนที่จะไปทุขติภูมิ ถ้ารู้ว่าไปแล้วจะเดือดร้อนตัวเอง จะไปไหม?
อะไรที่ทำให้เขาเห็นกงจักร เป็นดอกบัว ได้เช่นนั้น?
.................................................................
นี่แหล่ะคือภาระกิจของนักสร้างบารมีที่จะทำงานกันเป็นทีม..
เพื่อยังความไม่รู้ (อวิชชา) ให้หายไป แบบว่า..สิ้นเชื้อ ไม่เหลือ (แม้กระทั่ง) เศษ..
.................................................................
ถ้าภาระกิจเสร็จสิ้น mission ก็ possible..
และ ธรรมมะ ก็ยังคงชนะ อธรรม สืบต่อไป (ชั่วลูก ชั่วหลาน)..
...................................................................
ตราบใดที่ภาระกิจ ยังรู้สึกว่า impossible..
ตราบนั้นอย่าวางใจ (แม้กระทั่งใจตัวเอง)..
เพราะ ศรัทธา มีเพิ่มได้ ก็ย่อมมี..ลดได้..
อย่าประมาทในสิ่งทั้งปวง..
เพราะ..ความประมาทเป็นทางแห่งความตาย..
......................................................
ถ้าตาย (จากความดี) อีกกี่อสงไขย หลายร้อย หลายพันปี..
อันตัวเรานี้ จะได้กลับสู่ หมู่คณะ ของพระผู้พิชิตมารฯ
#15
โพสต์เมื่อ 13 September 2008 - 10:30 PM
ต้องใจเย็นๆ ในการติดตามรับชม และ ในการแสดงเองด้วย
Theme ของหนัง คือ "ธรรมะย่อมชนะอธรรม"
อย่างไรก็ดี หนังก็คือหนัง ย่อมมีรักโลภโกรธหลงเป็นสีสันบันเทิง
แต่ script ตอนจบ ณ.ที่สุดแห่งธรรม ได้กำหนดเป็นผังสำเร็จไว้แล้วว่า
"ปราบมารประหารกิเลสให้สิ้นเชื้อไม่เหลือเศษรื้อวัฏฏะสำเร็จแน่นอน"
Sure + ชัด
#16
โพสต์เมื่อ 15 September 2008 - 04:51 AM
#17
โพสต์เมื่อ 15 September 2008 - 04:37 PM
ชอบที่คุณ Dd2683 รวมกับ ของคุณ homer324 ตอบ
...เพราะทั้งสองท่านตอบไว้มีสาระครบ ชัดเจนดีแล้ว
เปรียบเทียบ เข้าใจง่ายดีด้วย..
สำหรับคุณ Minova ที่ถามมา ขอกราบอาราธนา คำสอนพระเดชพระคุณหลวงพ่อมาฝากจ้ะ
พระพ่อสอนว่า...
- อย่าท้อใจ อย่าน้อยใจ เพราะเมื่อกระแสใจเสื่อมคุณภาพ
บาปจะเข้าครอง ต้องปลุกใจให้ฮึดสู้ นั่งให้สนุก เบิกบาน ให้เป็นบุญบันเทิงให้ได้...
ใครจะเป็นอย่างไร ก็ช่างเขา เราดูแลใจเราให้อยู่ในบุญ
อ่านประวัติ ของคุณยายอาจารย์ ท่านดูสิจ๊ะ
..ท่านเจอปัญหาแบบนี้มาหนักกว่าหนัก แล้วนำท่านเป็นแบบอย่าง
แล้วจะเข้าใจ..เอาใจช่วยจ้ะ
สาธุกับ คุณสิริปโภด้วยนะจ๊ะ
#18
โพสต์เมื่อ 15 September 2008 - 05:19 PM
ธรรมะ จะต้อง ชนะ อธรรมเสมอ
เราไม่ต้องเดือดร้อนใจ
เพราะธรรมกาย ของพระพุทธศาสนาเป็นของแท้
ไม่ใช่ของเก๊ หรือของเทียม
ธรรมกายจะปรากฎ เป็นของจริง แก่ผู้เข้าถึง
และจากพระธรรมเทศนาหน้า 227
" พวกเราทั้งหมดต้องไปนิพพานเหมือนกันหมด แต่ว่าต่างกันตรงที่จะช้า
หรือเร็วเท่านั้น ไม่เหลือเลยสักคนเดียว ที่แก่ๆแล้วก็ไปนิพพานหมด ปฎิบัติถูก
ส่วนนะ ปฎิบัติไม่ถูกส่วนช้าหนัก ไม่ไปเหมือนกัน แต่ว่าถึงนานๆ หนักๆ เข้า
มันก็ไป...ไม่หลงเหลือทีเดียว ถ้าจะพูดเรื่องไปนิพพานทั้งหมดนะดูๆ มันจะเหลือ
วิสัย ไอ้คนเกเรท่ามันจะไปไม่ได้ ชาติหนึ่งมันเกเรเกเส ชาติหนึ่งมันลามก ไอ้ชาติ
ต่อๆ ไปมันจะดีขึ้นมามั่งซิ มันคงมีบุญบ้างซิชาติใดชาติหนึ่ง"
ขอให้พรรษานี้ เป็นพรรษาแห้การเข้าถึงธรรมของเพื่อนสมาชิกเว็บ dmc.tv นะคะ