
คลื่นวิทยุ กลิ่น เสียง จัดเป็นของละเอียดหรือไม่ครับ
#1
โพสต์เมื่อ 28 December 2008 - 06:33 PM
จัดเป็นของละเอียดหรือไม่ครับ สิ่งเหล่านี้เราสามารถรับรู้ได้สำผัสได้ เอามาใช้ประโยชน์ได้ ถ้าเทียบตามหลักพุทธศาสนา ภพที่อยู่ไกล้ตัวมนุษย์ที่สุด คือพวกบังบด สัมภเวสี ถ้าเทียบกับพวกคลื่นต่างๆเหล่านั้น จัดว่าเป็นสิ่งละเอียดเหมือนกัน หรือไกล้เคียงกัน หรือยังห่างกันมากครับ
ผมก็ไม่รู้ว่าจะถามว่าอะไรดี แบบว่าถามไปถามมาก็งงตัวเอง เพราะฉนั้น ขอเชิญท่านผู้รู้มาช่วยกันวิเคราะเป็นความรู้เป็นปกิณกะกันหน่อยครับ
(ห้ามตอบว่า ให้นั่งไปดูเอง ห้ามตอบว่า รู้ไปก็ไม่ได้ประโยชน์ครับ)
#2
โพสต์เมื่อ 28 December 2008 - 09:00 PM
พวกกายละเอียดจะมีมวลครับ
ดุได้จาก สูตรคำนวณไอส์ไตน์ครับ ที่บอกว่าเกี่ยวกับเวลาง่ายๆ เช่นมวลมากเวลาสถานที่นั้นจะยาวนานครับ เเต่มีตัวเเปรอื่นอยู่ด้วยครับ
เพราะฉะนั้น สวรรค์ชั้นที่1 1วันน้อยมาก เมื่อเทียบกับนรกขุมที่1ครับ
(ทำให้ทราบปริมาณมวลคราวๆ ความจริงสุตรจะมีตัวเเปรหลายอย่างเช่นระยะทางเเละอื่นๆครับ)
เเต่ถ้าพูดง่าย มวลจะมีการปล่อยรังสี พวกคลื่นต่างๆมาครับ ทำให้บ้างคนเชื่อว่าพวกวิญญา เป้นคลื่นชนิดหนึ่งครับ
ทำให้สรุปได้ว่า กายละเอียด ไม่น่าใกล้เคียงกับพวกคลื่น รังสี อะไรเลยครับ
#3
*innerspot*
โพสต์เมื่อ 28 December 2008 - 09:11 PM
ปล. จขกท หายไปนานเลยนะครับ คิดฮอดหลาย กลับมาไวไว มาม่า ยำยำ นะครับ
#4
โพสต์เมื่อ 28 December 2008 - 09:33 PM
มวลสารเมื่อเจือจางจนถึงที่สุดแล้ว ก็เป็นพลังงาน
พลังงานเมื่อเข้มข้นจนถึงที่สุดแล้ว ก็เป็นสสาร
(ส่วนกลิ่น เป็นสารเคมี เป็นสสาร)
#5
โพสต์เมื่อ 28 December 2008 - 11:09 PM
#6
โพสต์เมื่อ 28 December 2008 - 11:29 PM
อย่าหายไปนานนะ........ใจหายอ่ะ
แล้วมาเจอกันที่เสา C6 นะ ปล.มีของอร่อย ๆ ให้รัปทานด้วยนะจะบอกให้
( น้ำใสชอบรัปทาน เลยเอาของกินเข้าล่อ.......อิอิอิ)
เหมือนดอกบัวทะยานตัวขึ้นสู่ผิวน้ำ เปิดกลีบรับแสงตะวันธรรม
น้อมนำสู่วิถีอันดีงาม
#7
โพสต์เมื่อ 29 December 2008 - 09:22 AM
เป็นพลังงาน... ในความคิดผมของละเอียดจะมีวิญญาณธาตุ และอาจจะมีพลังงานออกมาได้เช่นกัน
#8
โพสต์เมื่อ 29 December 2008 - 11:08 AM
เช่น เสียงที่มนุษย์ได้ยิน เสียงที่สัตว์ได้ยิน
เสียงหยาบและเสียงทิพย์ ก็มีความละเอียดไม่เท่ากัน
เสียงหยาบผ่านสิ่งกีดขวางไม่ได้ แต่เสียงทิพย์ผ่านสิ่งกีดขวางที่เป็นของหยาบ ๆ ได้
ส่วนของที่มนุษย์รับรู้ไม่ได้ด้วยวิธีปกติแต่รับรู้ได้ด้วยเครื่องมือ
ก็น่าจะละเอียดกว่าสิ่งที่มนุษย์รับรู้ได้เอง
แต่ก็ยังไม่ละเอียดไปกว่าของละเอียดอื่น ๆ
กายทิพย์สามารถเดินทางไปไกลได้พริบตาเดียว แสงก็ยังช้ากว่า
#9
โพสต์เมื่อ 29 December 2008 - 01:42 PM
คลื่น ในความคิดผม ก็มีทั้งหยาบและละเอียด หยาบคือสัมผัสได้ ด้วยอายตนหยาบ คือ หู ตา จมูก ลิ้น กาย ของกายมนุษย์หยาบ ละเอียดก็ต้องสัมผัสด้วย อายตนที่ละเอียดกว่า เช่น กายทิพย์ หูทิพย์ โสตทิพย์
คลื่นในมหาสมุทร เป็นของหยาบสุด ไล่ไปเรื่อยๆ เป็นคลื่นเสียง คลื่น Infrared, Ultra Violet เริ่มเป็นคลื่นละเอียดเกินกว่ามนุษย์จะสัมผัสได้ แต่สัตว์บางประเภทยังสัมผัสได้ เรื่อยไปจนถึง เสียงที่เทวดาคุยกัน ที่ยังไม่รุ้ว่าเป็นคลื่นหรือเปล่า เพราะยังไม่มีการพิสูจน์ แต่ผมก็เดาว่าน่าจะเป็นคลื่นเหมือนกัน แต่ละเอียดมากๆๆ
ตอบไปตอบมา งง เหมือนกัน เวลาพระธรรมกายคุยกัน ท่านคุยกันยังไง
#10
โพสต์เมื่อ 29 December 2008 - 06:25 PM
"..ห้ามตอบว่า ให้นั่งไปดูเอง ห้ามตอบว่า รู้ไปก็ไม่ได้ประโยชน์ครับ.."
ผมขอตอบว่า..เป็นอจินไตยครับ อิ อิ
รอดตัวไหมเนี่ยเรา..
ที่ว่าอจินไตย ก็เพราะบางอย่างอยู่เหนือสติปัญญากายหยาบอย่างเราๆท่านๆ ที่จะรู้ จะเห็นได้..
1.คลื่นวิทยุ ผมว่าน่าจะหยาบกว่ากายละเอียด เพราะมนุษย์สร้างคลื่นพวกนี้ได้โดยอาศัยเครื่องส่ง-เครื่องรับได้ ไม่ยาก..
2.กายละเอียด ผมว่าน่าจะละเอียดกว่าอะไรก็ตามที่มนุษย์ประดิษฐ์ขึ้น เพราะมนุษย์ไม่สามารถสร้างเครื่องทำกายละเอียดได้..และไม่เห็นมีใครสร้างเครื่องดักจับวิญญง วิญญาณได้สำเร็จสักที..
3.ถ้าจะให้รู้โดยละเอียด คุณสิริปโภจะต้องทำกายให้ละเอียด เค้าเรียกปรับธาตุธรรมให้ละเอียดเหมือนๆกัน เช่น ผีก็จะเห็นผีด้วยกันเอง..เทวดา ก็จะเห็นเทวดาด้วยกันเอง ผีและเทวดาเห็นมนุษย์ แต่มนุษย์กลับไม่เห็นผีและเทวดา เอ้อ..เอากะเค้าสิ
ตั้งข้อสังเกตุนิดนึงครับ..
ถ้านักวิทยาศาสตร์สามารถค้นพบเครื่องทำกายละเอียดได้ สร้างสมการผีและเทวดาได้ ผมว่าป่านนี้เราคงเห็นหมดเลยครับทั้งภพสาม ไม่ต้องรอให้พระพุทธองค์มาเปิดโลกให้เห็นหรอก..แต่ที่นักวิทยาศาสตร์ยังทำไม่ได้ ก็เพราะมัวแต่ค้นหาสิ่งนอกตัวอยู่นั่นแหล่ะครับ วนไปก็วกมา..ไม่ยอมหาสิ่งที่มีอยู่แล้วในตัว ใครบอกก็ไม่ยอมเชื่อ หาว่าเหลวไหล ไร้สาระ แต่สิ่งที่ทำคุณอยู่นี่น่ะ คุณไม่คิดว่ามัน rubbish มากเกินไปหรือเปล่าล่ะ? (ผมหมายถึง ไอ้นักวิทยาศาสตร์น่ะ)..
สรุปว่า..เป็นอจินไตย คือเรื่องบางอย่างก็สมควรรู้ แต่เรื่องบางอย่างยังไม่ถึงเวลา (กระมังครับ)
สาธุ..
#11
โพสต์เมื่อ 29 December 2008 - 08:34 PM
- เช่น ประสาทตามนุษย์ทั่วไปรับ Visible light ได้เท่านั้น ไม่สามารถเห็น Infrared หรือ Ultraviolet ได้(แต่ก็รู้จากทฤษฎีความร้อนจากแสงแดดคือ infrared) ขณะที่โสตประสาทมนุษย์ก็รับความถี่ได้ 20-20000 Hz. ขณะที่สุนัข ค้าวคาวรับความถี่ได้สูงกว่ามนุษย์ ถ้าจะรับรู้ที่เกินขีดกว่านี้มนุษย์ก็ต้องคิดค้นอุปกรณ์หยาบช่วยแปรสัญญาน
- เดรัฐฉาน ก็อยู่ร่วมกับมนุษย์ และมีอายตนะซ้อน-เหลื่อมกับมนุษย์มากที่สุด
- สัมภเวสีซึ่งอาศัยในภพซ้อนภพของมนุษย์สามารถรับโอชารสจากการเครื่องเซ่นสรวงได้
- แสงอาทิตย์-แสงจันทร์ ที่ให้ความสว่างต่อภพมนุษย์ ยังโคจรไปจาตุมหาราชิจนถึงดาวดึงส์
#12
โพสต์เมื่อ 30 December 2008 - 11:23 AM
ประสาทสัมผัสของคนมีขีดจำกัดในการรับรู้ สิ่งที่คนไม่สามารถรับรู้ได้เราก็บอกว่ามันเป็นของละเอียด ในภาวะปกติ คนไม่สามารถเห็นผี หรือเทวดาได้ แต่หมาเห็นผีได้ แต่ก็ยังไม่สามารถเห็นเทวดาได้ ผีจึงเป็นของหยาบ และเทวดาเป็นของละเอียดสำหรับหมา แสดงว่าในสภาพความละเอียดนั้นยังแบ่งเป็นอีกหลายระดับ
พระอริยะบุคคลระดับพระอรหันต์ท่านสามารถระลึกชาติได้ เห็นอดีต เห็นอนาคตได้ แสดงว่าสภาวะจิตของท่านต้องเคลื่อนที่ได้เร็วมาก อย่างน้อยก็ต้องเร็วกว่าคลื่นแสง เพราะว่าการที่เรามองเห็นวัตถุต่าง ๆ ได้ เกิดจากมีแสงสะท้อนจากวัตถุนั้นมาเข้าสู่ตาเรา (ถ้าเราอยู่ในห้องมืดไม่มีแสงเลยเราจะไม่เห็นอะไรทั้งสิ้น) แสงจากดวงอาทิตย์เดินทางมาถึงโลกเราใช้เวลา 8 นาที ( ถ้าเราเห็นจุดระบิดบนผิวดวงอาทิตย์ การระเบิดนั้นได้ผ่านไปแล้ว 8 นาที) ดังนั้นถ้าเราต้องการรู้ว่าเมื่อ 100 ปีที่แล้วเกิดอะไรขึ้นบนโลกตรงนี้ เราจะต้องเดินทางไปดักหน้าแสงที่สะท้อนออกไปเมื่อ 100 ปีก็สามารถเห็นเหตุการณ์นั้น ๆ ได้ สภาวะจิตของพระอริยะ จึงน่าจะเป็นอะไรสักอย่างที่ละเอียดยิ่งกว่า และเร็วกว่าคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าที่นักวิทยาศาสตร์ค้นพบ
การใช้ มวลของวัตถุเป็นตัวจัดแบ่ง หยาบ ละเอียด น่าจะต้องมีปัจจัยอื่น ๆ มาจับด้วย เช่น อนุภาคอิเล็กตรอนมีมวลน้อยมาก บางครั้งก็แสดงสมบัติเป็นคลื่นได้ แสงไม่มีมวล บางครั้งก็แสดงสมบัติเป็นอนุภาคได้ เช่นฉายแสงบางความถี่ไปบนโลหะทำให้อิเล็กตรอนกระเด็นหลุดออกมาได้ (เหมือนกับเราปาก้อนหินไปกระทบก้อนหินอีกก้อนกระเด็นออกไป)
ความเห็นที่ร่วมเสนอนี้เป็นความเห็นทางเหตุผลด้านวิทยาศาสตร์ที่พอมีความรู้อยู่บ้างเท่านั้น ความจริงเรื่องกายละเอียด เรื่องจิตประภัสสร ผมก็ยังอยู่ในขั้นอนุบาลครับ
#13
โพสต์เมื่อ 30 December 2008 - 08:30 PM
#14
โพสต์เมื่อ 30 December 2008 - 11:03 PM
#15
โพสต์เมื่อ 31 December 2008 - 01:56 PM
เรื่องนี้บ่าวอุบลก็คิดเล่น ๆ ตามสูตร ที่ว่า อีเท่ากับเอ็มคูณซียกกำลังสองน่ะครับ คิดแล้วเพลินดี เข้ากับคำตอบของ
อาวุโสDJ และคุณโวยาเกอร์ด้วย อิ อิ
#16
โพสต์เมื่อ 31 December 2008 - 02:06 PM
(ห้ามตอบว่า รู้ไปก็ไม่ได้ประโยชน์)
ล้อเล่น 5 5 5
#17
โพสต์เมื่อ 31 December 2008 - 10:17 PM

2.ฝึกแสดงธรรมอย่างสม่ำเสมอให้เชี่ยวชาญยิ่งขึ้น
3.สอนตัวเองได้ เพื่อรองรับงานบุญอันยิ่งใหญ่ในอนาคต
4.พัฒนาพื้นฐานวิชาการทางด้านศาสนา เพื่อรับมือกับภาระกิจอันท้าทายยิ่ง
ยิ่งเป็นคำชมยิ่งทำให้ผมนึกสิ่งที่พระเดชพระคุณฯกล่าวว่า ด่าแล้วไม่โกรธ


คุณสิริปโภ หายไปนาน ทราบว่าไปต่างประเทศ กลับมาพักฟื้นสภาพแล้วกลับมาชุบตัวในทะเลบุญกันนะ เดี๋ยวเพื่อนๆในเว็บแซง