
ชีวิตของสัตว์ทั้งหลายในโลกนี้ เมื่อจะตายก็ไม่มีนิมิตหมายที่แน่นอน จักถึงคราวใครๆก็ไม่รู้แน่
ชีวิตประกอบอยู่ด้วยความลำบาก อายุก็น้อยนิด ตั้งอยู่บนฐานแห่งความทุกข์
จะเที่ยวหาวิธีที่สัตว์ผู้เกิดมาแล้ว จะไม่ตายนั้นย่อมไม่มี
คนเราแม้จะอยู่ได้จนถึงแก่ แต่ก็จะต้องถึงความตายอยู่ดี
เพราะสัตว์ทั้งหลายมีความตายอย่างนี้เป็นธรรมดา
สัตว์ทั้งหลายเกิดมาแล้ว ย่อมมีภัยจากความตายอยู่เป็นนิตย์
เหมือนผลไม้ที่สุกแล้ว รอเวลาร่วงหล่นฉะนั้น
ภาชนะดินทั้งหลายที่ช่างหม้อทำไว้ทั้งหมด มีความแตกเป็นที่สุดฉันใด
ชีวิตของสัตว์ทั้งหลายก็เป็นฉันนั้น ย่อมแตกสลายไปในที่สุด
มนุษย์ทั้งหลาย ไม่ว่าจะเป็นเด็ก ผู้ใหญ่ จะโง่หรือฉลาด ทั้งหมดนั้น
ย่อมต้องไปสู่อำนาจแห่งความตาย มีความตายรออยู่ข้างหน้าทั้งนั้น
ก็เมื่อหมู่มนุษย์ถูกความตายครอบงำอยู่ กำลังจะจากโลกนี้ไปสู่ปรโลก
แม้คนเป็นพ่อแม่ผู้รักบุตรยิ่งกว่าสิ่งใด ก็มิอาจป้องกันลูกน้อย ต้านทานความตายไว้ไม่ได้
และขณะที่ญาติๆ กำลังมองดูอยู่ ต่างก็พากันรำพันกันเป็นอันมากว่า
เออหนอ จงดูสรรพสัตว์แต่ละตนๆ ผู้ถูกความตายนำไป เหมือนโคที่ถูกเขานำไปฆ่าฉะนั้น
เมื่อสัตว์โลกต่างก็ถูกความแก่และความตายครอบงำอยู่อย่างนี้แล้ว
ดังนั้น นักปราชญ์ทั้งหลาย เมื่อทราบชัดความเป็นจริงของสัตว์โลกแล้ว อย่าเศร้าโศกเลย
ก็ท่านไม่รู้แม้ทางของผู้มา หรือ ผู้ไป เหล่านั้น
เมื่อไม่เห็นที่สุดปลายทางทั้ง ๒ นี้ ถึงจะเฝ้าร้องร่ำคร่ำครวญไปก็ไร้ประโยชน์
ผู้ที่เที่ยวหลงคร่ำครวญ เบียดเบียนตนอยู่อย่างนั้น หากมันจะพึงนำประโยชน์อะไรมาได้บ้าง
บัณฑิตผู้มีปัญญาเห็นแจ้งก็จะพึงทำความคร่ำครวญเช่นนั้นบ้าง
คนเราจะได้รับความสงบใจเพราะการร้องไห้ เพราะความเศร้าโศก ก็หาไม่
รังแต่ความทุกข์จะเกิดแก่ผู้นั้นยิ่งขึ้น และร่างกายของเขาก็มีแต่ซูบซีดทรุดโทรมลง
เพราะผู้เบียดเบียดตนเองอย่างนี้ ย่อมจะซูบผอม ไม่ผ่องใส
อีกทั้งคนตายผู้ไปสู่ปรโลกนั้น ก็ไม่อาจคุ้มครองตนได้ ด้วยการคร่ำครวญของผู้อยู่ในโลกนี้
ฉะนั้น การคร่ำครวญอันเป็นเหตุเบียดเบียนตนนี้เป็นสิ่งที่ไร้ประโยชน์ต่อผู้ที่ละโลกนี้ไปแล้ว
ก็ผู้ทอดอาลัยถึงคนที่ตายไปแล้วอยู่เสมอ จักบรรเทาความโศกไม่ได้
ย่อมจมอยู่ในอำนาจแห่งความเศร้าโศก รังแต่จะได้รับทุกข์ทรมานอยู่อย่างนั้น
ท่านจงมองดูคนเหล่าอื่นบ้าง ทุกคนทั้งหมดล้วนแต่จะต้องตายไปตามกรรม
สัตว์ทั้งหลายเหล่านี้ ต่างก็ตกอยู่ในอำนาจแห่งความตาย ต่างพากันดิ้นรนเพื่อความอยู่รอดทั้งนั้น
สิ่งที่สัตว์ทั้งหลายเหล่านั้นสำคัญหมาย และวาดหวังไว้ ย่อมแปรผันเป็นอื่นไปเสมอ
การพลัดพรากจากกันและกันเช่นนี้ มีอยู่ประจำ ท่านจงพิจารณาดูความเป็นจริงของสัตว์โลกเถิด
คนเราแม้จะมีชีวิตอยู่ถึง ๑๐๐ ปี หรือเกินไปบ้างก็ตาม
ก็จำต้องถึงความพลัดพรากจากกันในที่สุด จำต้องละทิ้งชีวิตไว้ในโลกนี้แน่นอน
เพราะฉะนั้น เราเมื่อได้ฟังธรรมของพระอรหันต์เห็นปานนี้แล้ว
เมื่อใดเห็นคนล่วงลับดับชีวิตไป ให้กำหนดรู้ว่าผู้ตายไปแล้วนั้น
ไม่อาจเป็นอยู่ร่วมกับเราได้อีก ควรกำจัดความเศร้าโศกคร่ำครวญนั้นเสีย
ธีรชนผู้มีปัญญาฉลาดปราดเปรื่อง ควรขจัดความโศกเศร้าที่เกิดขึ้นโดยฉับพลัน
เหมือนลมที่พัดพาเอาปุยนุ่นปลิวไป และเหมือนคนใช้น้ำดับไฟที่กำลังไหม้ลุกลามอยู่ได้ฉะนั้น
บุคคลผู้แสวงหาความสุขแก่ตน ควรแท้ที่จะกำจัดความคร่ำครวญ ความโทมนัส
และความทะยานอยากทั้งปวง พึงเพียรถอนลูกศรคือกิเลสที่เสียบอยู่ในใจของตนให้ได้
เพราะบุคคลผู้ถอนลูกศรคือกิเลสได้แล้ว จักเป็นผู้ไม่มีตัณหาและทิฏฐิอาศัย
ย่อมถึงความสงบใจ จักสามารถล่วงพ้นความเศร้าโศกทั้งหมดได้
ผู้ไร้แล้วซึ่งความเศร้าโศกทั้งปวง ชื่อว่าดับกิเลสถอนลูกศรได้แล้ว
ศรีวยาฆร-เรียบเรียง
๘ มกราคม ๒๕๕๒
ป.ล. ให้ไว้ปลงธรรมสังเวชครับ อิ อิ
