
ขอความเมตตาจากท่านผู้รู้ช่วยตอบทีครับ
#1
โพสต์เมื่อ 30 November 2007 - 06:34 PM
#2
โพสต์เมื่อ 30 November 2007 - 07:50 PM






ทั้งวาจานั้นไม่เป็นที่รัก ไม่เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ ตถาคตไม่ตรัสวาจานั้น
ตถาคตรู้วาจาใด เป็นของจริง ของแท้ แต่ไม่ประกอบด้วยประโยชน์
ทั้งวาจานั้นไม่เป็นที่รัก ไม่เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ แม้วาจานั้นตถาคตก็ไม่ตรัส
อนึ่ง ตถาคตรู้วาจาใด เป็นของจริง เป็นของแท้ ประกอบด้วยประโยชน์
แต่วาจานั้นไม่เป็นที่รัก ไม่เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ ตถาคตย่อมรู้กาลอันควรที่จะใช้วาจานั้น
ตถาคตรู้วาจาใด ไม่จริง ไม่แท้ ไม่ประกอบไปด้วยประโยชน์
แต่วาจานั้นเป็นที่รัก เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ ตถาคตไม่ตรัสวาจานั้น
ตถาคตรู้วาจาใด แม้เป็นของจริง เป็นของแท้ และไม่ประกอบด้วยประโยชน์
แต่วาจานั้นเป็นที่รัก เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ แม้วาจานั้นตถาคตก็ไม่ตรัส
อนึ่ง ตถาคตรู้วาจาใด เป็นของจริง เป็นของแท้ ประกอบด้วยประโยชน์
ทั้งวาจานั้นเป็นที่รัก เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ ตถาคตย่อมรู้กาลอันควรที่จะใช้วาจานั้น
[/color]
แต่จะต้องศึกษาให้มีความรู้ความเข้าใจ และปฏิบัติให้เหมาะสมแก่ภาวะปัจจุบัน
ด้วยศรัทธาและปัญญาที่ถูกต้อง จึงจะเกิดเป็นประโยชน์ขึ้นได้..."
พระบรมราโชวาท พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
๑๗ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๑๒
"รู้ใดก็ไม่ประเสริฐ เท่ารู้แจ้งด้วยปัญญาธรรมอันเกิดมีในตน"
"อัศวินปฏิญาณตนเป็นคนกล้า
ดวงใจเปี่ยมคุณธรรม
ซื่อตรงยึดมั่นในวาจาสัตย์
อุทิศชีวิตพิชิตมาร"
#3
โพสต์เมื่อ 01 December 2007 - 04:45 AM
#4
โพสต์เมื่อ 01 December 2007 - 08:23 AM
#5
โพสต์เมื่อ 01 December 2007 - 10:15 AM

จากทั้งหมดคือ หยุด เป็นตัวสำเร็จ (๐๗๒)
#6
โพสต์เมื่อ 01 December 2007 - 11:27 AM
ทำเช่นนั้นเช่นนี้เป็นธรรมะ หรือไม่ หากเราเพียงแต่ฟัง แล้วก็เฉยๆ เราก็ไม่ทราบถ่องแท้หรอกครับ แต่ให้เราลองพิสูจน์ดู ด้วยการลงมือ ละชั่ว ทำดี ทำใจให้ผ่องใส เดี๋ยวเราก็จะทราบเองแหละครับ
ส่วนเรื่องพระพุทธเจ้าไม่ทรงพยากรณ์นรกสวรรค์ให้ใครนั้น ก็เป็นกรณีปรกติครับ เพราะมนุษย์โดยทั่วๆไป บุญบาปชิงช่วงช่วงชิงกันตลอดเวลา ตอนเช้าใจหมอง ตกบ่ายใจใส หากไม่ได้ทำบุญใหญ่ หรือ ทำบาปมหันต์ อย่างนี้พระพุทธเจ้า ท่านจะไม่พยากรณ์ครับ เพราะยังไม่แน่ หากพยากรณ์ว่า เขาจะขึ้นสวรรค์แน่นอน แต่พอตอนตาย ใจเขาเศร้าหมอง กลับลงนรกแทนก็มีครับ
แต่ใครก็ตามที่สร้างบุญใหญ่กำลังบุญส่งผลอย่างแน่นอน ไม่เปลี่ยนเป็นอื่น กรณีนี้ พระพุทธเจ้าท่านจะพยากรณ์ครับ เช่น ด้วยบุญที่นายสุมนมาลาการ อุทิศชีิวิตถวายทานแด่เรานี้ เขาจะไม่รู้จักทุคติเลย ตลอดแสนกัป ชาติสุดท้ายจะได้เป็นพระปัจเจกพุทธเจ้าองค์หนึ่ง นามว่า สุมนะ เป็นต้น
หรือใครก็ตามที่สร้างบาปมหันต์ จนกำลังแห่งบาปต้องส่งผลแน่นอนว่า ลงนรกแน่ อย่างนี้พระพุทธองค์ก็จะทรงพยากรณ์ว่า เป็นไปตามนั้นครับ เช่น พระเทวทัตทำบาปมหันต์ ตอนท้ายสำนึกผิดมากราบพระพุทธเจ้า แต่พระพุทธองค์บอกว่า พระเทวทัต จะไม่ได้เห็นพระพุทธเจ้าหรอก แต่จะต้องไปอบาย พระสาวกรายงานว่า ตอนนี้เดินทางมาถึงหน้าวัดแล้วนะ พระพุทธเจ้าก็ยังทรงพยากรณ์ยืนยันว่า ไม่ได้เห็นแน่นอน แล้วธรณีก็สูบพระเทวทัตอยู่ตรงนั้นเอง
เข้าใจหรือยังครับ เมื่อบุญบาปยังไม่แน่ว่า อะไรก็ให้ผล ผู้รู้ท่านย่อมไม่พยากรณ์ ต่อเมื่อรู้ผลแน่นอนนั่นแหละครับ จึงจะพยากรณ์ได้ครับ
#7
โพสต์เมื่อ 01 December 2007 - 03:03 PM
ทำเช่นนั้นเช่นนี้เป็นธรรมะ หรือไม่ หากเราเพียงแต่ฟัง แล้วก็เฉยๆ เราก็ไม่ทราบถ่องแท้หรอกครับ แต่ให้เราลองพิสูจน์ดู ด้วยการลงมือ ละชั่ว ทำดี ทำใจให้ผ่องใส เดี๋ยวเราก็จะทราบเองแหละครับ




ทั้งวาจานั้นไม่เป็นที่รัก ไม่เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ ตถาคตไม่ตรัสวาจานั้น
ตถาคตรู้วาจาใด เป็นของจริง ของแท้ แต่ไม่ประกอบด้วยประโยชน์
ทั้งวาจานั้นไม่เป็นที่รัก ไม่เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ แม้วาจานั้นตถาคตก็ไม่ตรัส
อนึ่ง ตถาคตรู้วาจาใด เป็นของจริง เป็นของแท้ ประกอบด้วยประโยชน์
แต่วาจานั้นไม่เป็นที่รัก ไม่เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ ตถาคตย่อมรู้กาลอันควรที่จะใช้วาจานั้น
ตถาคตรู้วาจาใด ไม่จริง ไม่แท้ ไม่ประกอบไปด้วยประโยชน์
แต่วาจานั้นเป็นที่รัก เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ ตถาคตไม่ตรัสวาจานั้น
ตถาคตรู้วาจาใด แม้เป็นของจริง เป็นของแท้ และไม่ประกอบด้วยประโยชน์
แต่วาจานั้นเป็นที่รัก เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ แม้วาจานั้นตถาคตก็ไม่ตรัส
อนึ่ง ตถาคตรู้วาจาใด เป็นของจริง เป็นของแท้ ประกอบด้วยประโยชน์
ทั้งวาจานั้นเป็นที่รัก เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ ตถาคตย่อมรู้กาลอันควรที่จะใช้วาจานั้น
[/color]
แต่จะต้องศึกษาให้มีความรู้ความเข้าใจ และปฏิบัติให้เหมาะสมแก่ภาวะปัจจุบัน
ด้วยศรัทธาและปัญญาที่ถูกต้อง จึงจะเกิดเป็นประโยชน์ขึ้นได้..."
พระบรมราโชวาท พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
๑๗ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๑๒
"รู้ใดก็ไม่ประเสริฐ เท่ารู้แจ้งด้วยปัญญาธรรมอันเกิดมีในตน"
"อัศวินปฏิญาณตนเป็นคนกล้า
ดวงใจเปี่ยมคุณธรรม
ซื่อตรงยึดมั่นในวาจาสัตย์
อุทิศชีวิตพิชิตมาร"
#8
โพสต์เมื่อ 05 December 2007 - 11:39 PM
#9
โพสต์เมื่อ 07 December 2007 - 12:46 PM
หลักธรรมที่ทำพระนิพพานให้แจ้ง
หลักธรรมที่กำจัดกเลสอาสะวะให้หมดสิ้น
หลักธรรมที่สามารถปราบพญามาร
หลักธรรมที่สามารถไปให้ถึงที่สุดแห่งธรรม
ล้วนเป็นหลักธรรมที่แท้จริง แต่การทำให้ปรากฎนั้นต้องเริ่มต้นให้ถูกทางก่อน
#10
โพสต์เมื่อ 17 January 2009 - 02:24 PM
คืออะไรค่ะแล้วเราจะนำมาให้ได้ไงค่ะ
#11
โพสต์เมื่อ 03 February 2009 - 10:18 PM
แต่ถ้าจะว่าตามลำดับขั้นตอนก็ต้อง ทำทานเพื่อให้ใจสบายคลายจากความยึดติด
รับษาศีลเพื่อชำระกายให้บริสุทธิหมดจดเมื่อหยาบๆบริสุทธิืหมดจดได้ จิตใจก็จะสามารถ
ทำให้หยุดนิ่งได้ง่ายและเมื่อใจหยุดได้จิตก็จะบริสุทธิ์
จิตที่บริสุทธิ์ ก็คือจิตที่ปราศจากความโลภ ความโกรธ และความหลงผิดนั่นเอง
และความโลภ โกรธ หลง ก็กำจัดได้ ด้วย ทาน ศีล ภาวนา นี่เองครับ