
แบบนี้ผิดศีลข้อ3 และขึ้นต้นงิ้วรึเปล่า
#1
โพสต์เมื่อ 04 April 2009 - 05:18 PM
ต่อมาผู้ชายคนนี้ ไปหลงผู้หญิงคนไหม่ หน้าตาดี และผู้หญิงก็หลงผู้ชายคนนี้ แต่ตอนจีบกันผู้ชายไม่ได้บอกว่ามีลูกมีเมียแล้ว เพราะผู้หญิงไม่ได้ถาม ความสัมพันลึกซึ้ง จนขั้นได้เสียกัน ต่อมาวันหนึ่งความจริงปรากฎต่อหน้าผู้หญิงคนนี้ ถึงกลับร้องไห้ร้องห่ม เพราะรับไม่ได้ที่คนรักมีลูกมีเมียอยู่แล้ว และตัดพ้อมาทำไมไม่บอก ผู้หญิงคนนี้จึงหนีไปด้วยความเสียใจแม้ยังรักมากมายอยู่ แต่ผู้ชายก็พยายามง้อคืนดี
....................................................
#2
โพสต์เมื่อ 04 April 2009 - 06:15 PM
เกิดมาทำพระนิพพานให้แจ้ง แสวงบุญ สร้างบารมี
#3
โพสต์เมื่อ 04 April 2009 - 08:42 PM
#4
โพสต์เมื่อ 04 April 2009 - 08:42 PM
ทุกสิ่งที่คิด ทุกกิจที่ทำ ทุกคำที่พูด จะถูกบันทึกเทปไว้ ในใจของเราเอง....
บอกได้แต่เพียงว่า ถ้ากระทู้เป็นความจริง สิ่งที่กำลังกระทำอยู่นั้น จักเป็นภัยต่อตนเองในสังสารวัฏ....ทุกอย่างล้วนรอการออกผล ควรแก้ไขด้วยการประกอบกุศล ก่อนจะสายเกินแก้...
#5
โพสต์เมื่อ 04 April 2009 - 09:11 PM
#6
โพสต์เมื่อ 04 April 2009 - 09:18 PM
#7
โพสต์เมื่อ 05 April 2009 - 04:31 AM
#8
โพสต์เมื่อ 06 April 2009 - 10:15 AM
รักษาศีล 8 ไปเลยค่ะ ช่วงเวลาทำผิดบนโลกมนุษย์ดูเหมือนสั้น ๆ แต่หากต้องไปเสวยวิบากกรรม
ในภพภูมิต่าง ๆ ล้วนยาวนานมาก ๆ คิดแล้วไม่คุ้มค่ะ
#9
โพสต์เมื่อ 06 April 2009 - 12:12 PM
#10
โพสต์เมื่อ 06 April 2009 - 02:03 PM
ถ้าเป็นคนที่มีความรับผิดชอบ ตอนที่คบกันรักกัน ก็ต้องบอกกันว่ามีครอบครัวแล้ว
การที่ไม่บอกความจริงข้อนี้อย่างนี้ก็ถือว่าเจตนาปิดบังความจริง โป้ปด
คนที่หลอกลวงผู้อื่น เจตนาให้เขารักชอบโดยไม่บอกความจริง
ซึ่งเขาคิดไว้แล้วว่า ถ้าวันใดเกิดผู้หญิงจับได้ มารู้ความจริงแล้วมาต่อว่า ผู้ชายนั้นก็อ้างได้ว่า ก็หญิงนั้นไม่ได้ถามเอง หรืออ้างว่า เขาไม่ได้ขอให้มา แต่ผู้หญิงนั้นมาหาผู้ชายเอง ทำนองให้บุคคลที่สามเข้าใจผิดว่าหญิงนั้นแพศยามาจับผู้ชาย ทำตนให้ใครๆดูว่าเป็นผู้ชายที่ขี้สงสาร เป็นคนดีแต่ใจอ่อน นี้เป็นความชั่วร้ายของชายนั้นที่วางแผนไว้แล้ว
(เมื่อผู้หญิงรู้อย่างนี้แล้วควรหลีกคนแบบนี้ให้ไกล เลิกคิดทำร้ายตนเอง เลิกเศร้า มาประพฤติพรหมจรรย์ดีกว่า ปลอดภัย ได้บุญด้วย)
มี3ภรรยา แล้วยังอยากมีอีก อย่างนี้เรียกได้ว่า มักมากในกาม และไม่รู้สึกรู้สากับความทุกข์ใจของภรรยาแต่ละคนเลย
การทำผิดศีล5 มีจุดหมายคืออบาย ซึ่งความตายยังไม่น่ากลัวเท่า
เพราะถ้าเทียบกับอบายแล้ว ความตายเป็นเรื่องจิ๊บๆ เหมือนมดเล็กๆกัดทีเดียวก็หายเจ็บหายคันแล้ว
คนพาลที่ไม่รู้ว่า ทำชั่ว แล้วต้องรับผลกรรมชั่ว มักหลงระเริงไปกับความสุขจอมปลอมที่ตนฉกฉวยมาในปัจจุบัน
เมื่อหมดเวลาแห่งความสุขแล้ว ต่อไปก็คือบทเรียนแห่งความเศร้าและความทรมาน ที่ไม่มีทางหนีได้
หากได้รู้ดังนี้แล้ว ควรรีบกลับตัวและกลับใจใหม่ หยุดความชั่วทุกอย่าง สิ่งที่ทำแล้วก็ต้องรับผิดชอบดูแลให้ดี
แล้วรักษาศีลให้ครบอย่างน้อยศีล5ไม่ให้ขาด สร้างบุญใหญ่มากๆ รีบๆสร้างบุญ เพราะใครก็ไม่รู้ว่าชีวิตจะสิ้นสุดวันใด
#11
โพสต์เมื่อ 06 April 2009 - 09:30 PM

น่ากลัว...นะคะ ไม่กล้าคิดเลยค่ะ
หยอง...!

#12
โพสต์เมื่อ 07 April 2009 - 12:03 AM
#13
โพสต์เมื่อ 07 April 2009 - 02:27 PM
คำว่า "คู่ชีวิต" ถ้าไม่ใช่ สอง ก็ไม่ใช่คู่ชีวิตแล้วจะเรียกว่าอะไร?

ถ้าอยากได้"จริง"จะได้...แต่ตอนจะได้ไม่"อยาก"
#14
โพสต์เมื่อ 08 April 2009 - 07:14 PM

/forum/index.php?s=&showtopic=20349&view=findpost&p=151416
อนุโมทนากับการแนะนำจากความเห็นนี้ด้วย แต่ว่าผมก็ขอแนะนำนิดนึงนะครับ
ตามหลักพุทธศาสนา ทำบุญ จะมากจะน้อย สำคัญที่กำลังใจ เราทำ 1 บาท หรือทำ 1M ถ้าเรามีกำลังใจเท่ากัน อานิสงส์ก็ได้เท่ากัน ไม่แตกต่างกันเลย ถ้ามีกำลังใจเต็มที่ ถึงจะทำน้อย บุญก็ได้เต็มเม็ดเต็มหน่วย ไม่จำเป็นต้องทุ่มสุดชีวิต ทำตามกำลังของเราที่เราทำได้ เรามีความสุขหลังจากที่ทำ เท่านั้นก็คือผลของบุญที่เราได้แล้วเบื้องต้น จะได้อานิสงส์อะไรต่อไปนั้น กฏแห่งกรรมจะเป็นตัวตัดสินครับ
ส่วนการรักษาศีล 5 นั้น ในพระไตรปิฎก พระพุทธเจ้าตรัสว่ามีอานิสงส์ยิ่งไปกว่าการทำบุญด้วยทรัพย์สินเงินทองอีกนะครับ รักษาเป็นศีลบารมี เป็นเสบียงติดตัวทุกภพทุกชาติ ก็ขออนุโมทนาครับสำหรับผู้ที่ตั้งใจรักษาศีลตลอดชีวิต
#15
โพสต์เมื่อ 09 April 2009 - 12:00 PM
ยกตัวอย่าง เช่น ตอนเช้า เราคิดจะใส่บาตรถวายภัตตาหารพระ หากคิดแค่ว่า ทำ 1 บาท ก็ย่อมได้บุญ
เลยไปหาข้าวไปใส่บาตรสัก 4-5 ช้อนโต๊ะ (ซึ่งผมประมาณค่าแล้ว น่าจะมีมูลค่าราวๆ 1 บาท เำพราะปัจจุบันซื้อข้าว 5 บาทได้ข้าวเปล่า 1 ถุงย่อมๆ)
ลองคิดสิครับว่า ใส่บาตรด้วยข้าวเปล่า 4-5 ช้อนโต๊ะเช่นนี้ พระท่านจะอิ่มหรือเปล่า แล้วจะไปบำเพ็ญสมณธรรมได้หรือเปล่า
ที่ถูกที่ควรคือ ดูว่า ได้ประโยชน์เหมาะสมกับพระพุทธศาสนาหรือไม่เพิ่มเติมเข้าไปด้วยนะครับ เช่น อ้อ จะใส่บาตรพระทั้งที ควรลงทุนอย่างน้อย 20 บาท ซื้อข้าว 1 ถุง แกง 1 ถุง อย่างนี้ พระท่านก็ได้ฉันจนอิ่ม จึงจะได้บุญและได้ชื่อว่า ทำประโยชน์ให้พระพุทธศาสนาได้อย่างเต็มที่ด้วยนะครับ
การรักษาศีล ได้บุญยิ่งกว่า การทำทานจริงครับ แต่อย่างทีี่บอกแหละครับว่า ต้องดูประโยชน์แก่พระพุทธศาสนาด้วยครับ เพราะหากเราเอาแต่รักษาศีล ไม่ทำทาน หรือ ทำน้อยๆ แค่ 1 บาทต่อวัน แล้วใครจะมาใส่บาตรพระให้ได้เพียงพอกับที่พระท่านต้องการล่ะครับ ลองไปคิดดูสิครับ
#16
โพสต์เมื่อ 09 April 2009 - 03:49 PM
คำสอนของพระอาจารย์ท่านนึงนะครับ
ที่บอกว่า "การจะทำทาน 1 บาทหรือ 1 Mถ้าใจเท่ากันก็ได้อานิสงส์เท่ากัน"
การทำทานที่ได้บุญกุศลนั้นอาจแบ่งเป็น 2 ส่วนนะครับ
ส่วนนึงคือประโยชน์ที่เกิดจากผู้รับ เช่นผู้ที่ได้รับ หรือที่เราอนุเคราะห์หรือสังคมส่วนรวม
ที่จะได้ประโยชน์จากทานของเรา(ในทางพุทธฯมักใช้คำว่าเนื้อนาบุญ)
อีกส่วนคือ..."ประโยชน์ตน' หมายถึงเราได้ละความตระหนี่ออกจากใจ ความโลภ
ที่ฝังอยู่ในใจที่เกาะกุมใจจะหลุดร่อนไปเมื่อเราทำทาน
พระอาจารย์บอกว่าการทำบุญมากได้มากนั้นหมายความว่า ให้เราเที่ยบกับตัวเราเอง
ไม่ได้เทียบกับคนอื่นนะครับ
ฉะนั้นถ้านายAทำบุญ100บาทกับนายBทำบุญ100000บาทไม่ได้แปลว่านายBได้บุญ
มากกว่านายAนะครับเพราะต้องเทียบกับตัวเราเอง
แต่...ถ้าสมมติว่านายAเป็นมหาเศรษฐีมีทรัพย์สินเป็นร้อยล้าน
ถ้าระหว่างเขาทำบุญ 1บาทกับ ทำบุญ1Mหากปัจจัยอื่นเท่ากันหมดยังไงทำ1Mก็ได้บุญมากกว่านะครับ
แสดงให้เห็นว่าเขาละความตระหนี่ในใจได้มากกว่า

ถ้าอยากได้"จริง"จะได้...แต่ตอนจะได้ไม่"อยาก"
#17
โพสต์เมื่อ 12 April 2009 - 12:29 AM

ตอบคุณหัดฝันก่อน
คือการทำบุญ เราก็ต้องคำนึงถึงประโยชน์ที่ผู้รับจะได้รับด้วยครับ ว่าุที่เราให้ไป มีความเหมาะสมรึเปล่า แล้วอีกอย่าง อย่างลืมดูต้นทุนตัวเองด้วยนะครับ ว่าทำเท่านี้เราจะอยู่ได้รึเปล่า
ตัวอย่าง ถ้าผมมีเงินอยู่ทั้งเนื้อทั้งตัว 200 บาทละกัน ผมตัดสินใจทำบุญซะ 100 บาท ซื้อภัตตาหาร 1 มื้อไปถวายพระ 1 รูป ด้วยเหตุผลที่ว่า ต้องเจียดค่าใช้จ่ายที่จำเป็นจริืงๆ เอาไว้ 100 บาท แล้ว 100 บาท ซื้ออาหารไป ก็มากเกินพอที่จะยังชีวิตพระ 1 รูปให้ดำรงอยู่ผ่านมื้อนั้นไปได้
แต่ถ้าสมมติว่าผมมีเงินอยูู่่ 105 บาท อยากจะทำบุญพอดี ต้องเจียดไว้ 100 บาทเท่าเดิืม เหลือ 5 บาท จะไปทำบุญถวายพระ ก็กระไรอยู่ ผมเหลือบไปเห็นตู้บริจาคสมทบทุนอาหารกลางวันให้เด็กยากไร้พอดี แล้วก็ไม่รู้จะทำที่ไหนอีกแล้ว
ผมก็มีทางเลือก จะทำตรงนั้น 5 บาท หรือจะเก็บเอาไว้ รอเงินมาให้ได้จำนวนหนึ่งก่อน แล้วค่อยถวายพระ
ถ้าเป็นคุณอยากจะทำบุญในเขตพระพุทธศาสนา คุณก็คงเลือกข้อหลัง แต่ผมก็ไม่อยากให้คุณทุ่มถึงขนาดทำไปเลย 100 บาท เหลือ 5 บาทติดกระเป๋า ไม่พอนู่นไม่พอนี่่อีก
ผมเองผมขอบอกอย่างนึงนะ คือการทำบุญนะครับ อย่าลืมใช้ปัญญาพิจารณาก่อนทำบุญด้วย การทำบุญ มีศรัทธา อย่าลืมปัญญา ถ้ามีศรัทธา แล้วไม่มีปัญญา ประเภททำบุญทุ่มหมดตัวไปเลย แบบนี้ผมเรียกว่า "งมงาย" ครับ ไม่ใช่ศรัทธาแล้ว เพราะมันศรัทธาจนเกินพอดีเกินไป
ผมว่าการทำบุญที่ดี ต้องมีวิจารณญาณด้วย ทำบุญแล้ว ผู้รับได้ประโยชน์ ผู้ให้ไม่เดือดร้อน ถ้าผู้ให้ไม่เดือดร้อน แต่ผู้รับไม่ได้ประโยชน์เท่าที่ควร อย่างที่คุณหัดฝันยกตัวอย่างมา มันก็ไม่ใช่การทำบุญที่ฉลาด ผมยังจะบอกว่า "ขี้เหนียว" อีกตะหาก แต่ถ้าผู้รับได้ประโยชน์เต็มที่ แล้วผู้ให้ดันมาเดือดร้อน ต้องมากู้หนี้ยืมสิน ผ่อนรายเดือน แบบนี้ผมก็ว่าไม่ฉลาดเหมือนกัน ทำบุญไม่ดูตัวเอง เดือดร้อนเอง เป็นคุณจะเลือกแบบไหน
แล้วอีกอย่างนึง การทำทาน ไม่จำเป็นต้องทำกับพระภิกษุสงฆ์ในเขตพระพุทธศาสนาอย่างเดียวหรอกครับ การให้ทานกับพระได้อานิสงส์มากที่สุด ใช่ แต่ถ้าสมมติคนทั้งโลกคิดจะให้ทานกับพระอย่างเดียว กับฆราวาสทั่วไปไม่ให้เลย คุณไม่คิดถึงคนอื่นๆ ที่ตกทุกข์ได้ยากบ่้างหรอว่าจะทุกข์ขนาดไหน เขาสมควรจะได้รับความช่วยเหลือ แต่ไม่ได้ แล้วทุกคนไปให้แต่กับพระจนหมด ผมฝากคุณไปคิดแล้วกันนะ
#18
โพสต์เมื่อ 15 April 2009 - 07:56 PM
หากคุณได้อ่านกระทู้ผมจริงๆ คุณจะพบประโยคนี้ครับว่า
"ถ้าเราเป็นผู้มีทรัพย์พอมีพอกินตามสมควรนั้น เราไม่ควรทำบุญ เพราะเห็นว่า ย่อมได้บุญแต่เพียงอย่างเดียวนะครับ"
คุณจะเห็นว่า ผมบอกว่า "ถ้าเราเป็นผู้มีทรัพย์พอมีพอกินตามสมควร" คุณเข้าใจคำนี้มั้ยครับ ผมหมายถึงว่า ถ้าเราไม่ใช่คนยากจนอดมื้อกินมื้อ เราควรทำบุญให้หวังประโยชน์แด่พระพุทธศาสนาด้วย นั่นคือ ทำบุญอย่างน้อยๆ 20 บาท ไม่ใช่ 1 บาท แต่เราถ้าเป็นคนยากจนไม่มีทรัพย์ แต่อยากทำบุญก็ทำได้ครับ 1 บาท
อีกอย่างตัวอย่างที่คุณยกมานั้น ก็ไม่ใช่ที่ผมอธิบายนะครับ คือ ยกตัวอย่างว่า มีเงิน 105 บาท แต่ไปทำบุญ 100 บาท เพราะผมบอกแค่ว่า ให้ทำอย่างน้อยๆ 20 บาท คนมีเงิน 105 บาท ทำ 20 บาท ผมคิดว่า ผู้ให้คงไม่เดือดร้อนนะครับ
ก็ยังดี ที่คุณไม่ได้ยกตัวอย่าง เขามีเงิน 105 บาท ดังนั้น ควรทำแค่ 1 บาท ก็ยังดีครับ
อีกอย่างเรื่องการทำบุญ อย่าไปกังวลว่า คนจะไปทำบุญกับพระหมด หรือ คนยากไร้หมดหรอกครับ แต่ควรจะกังวลว่า คนจะทำทานกับทั้งพระ และคนยากไร้ น้อยลงไปเรื่อยๆ ต่างหากครับ
เพราะ ความตระหนี่(สายของกิเลสตระกูลโลภ) นั้นครอบงำใจของมนุษย์ทั้งหลายมาช้านานแล้วล่ะครับ ยิ่งความรู้ที่สอนเรื่องการให้ค่อยๆ เสื่อมลงไปจากใจคน กิเลสคือ ความตระหนี่ ก็จะยิ่งครอบงำใจมนุษย์ทั้งหลายยิ่งๆขึ้นไปเรื่อยๆ ต่างหาก ลองไปถามปู่ย่าตายายคุณดูก็ได้ครับ ว่ายุคนี้ กับสมัยปู่ยาตายาย คนมีน้ำใจช่วยเหลือกัน (ทั้งใส่บาตรพระ ช่วยคนยากไร้) มากขึ้นหรือน้อยลง ลองไปคิดดูบ้างสิครับ
อย่าสมมุติโอเวอร์ครับว่าคนจะทำบุญกับพระหมด แล้วไม่ทำบุญกับคนยากไร้เลย แต่ควรหันหน้ามองดูโลกแห่งความเป็นจริงว่า เกิดอะไรขึ้นกันแน่ คนก็แล้งน้ำใจเพิ่มขึ้นเรือยๆ จนไม่ทำบุญทั้งพระและคนยากไร้ด้วย ต่างหาก
#19
โพสต์เมื่อ 15 April 2009 - 09:15 PM
ต่างคนต่างความคิด ต่างชีวิตต่างมุมมอง
ต่างคนต่างครรลอง ต่างหมายปองความสุขใจ
ใสๆนะครับ อนุโมทนาบุญด้วยครับ

ถ้าอยากได้"จริง"จะได้...แต่ตอนจะได้ไม่"อยาก"
#20
โพสต์เมื่อ 15 April 2009 - 09:24 PM