ผมมีดวงแก้วที่รับมาจากวัด แต่ว่ามีแต่ดวงเล็ก (บุญบารียังมีไม่มากพอที่จะได้ครอบครองดวงใหญ่) แล้วได้มีโอกาสผ่านไปแถวร้านที่ขายพวกเครื่องลางแล้วมีดวงแก้วดวงใหญ่ประมาณเกือบไข่ไก่ขายด้วย เคยเห็นตามร้านค้าทั่วไปเขาชอบซื้อไปไว้ในร้านกัน แต่คนที่ซื้อไปเขาก็ไม่รู้หรอกว่าต้องบูชายังไงและมีความสำคัญแบบไหน เห็นตั้งกันไว้เฉย ๆ ดังนั้นเมื่อผมเห็นแล้วรู้สึกสะดุดจึงได้ซื้อมาเพราะสวยใสชอบดีเหลือเกิน แล้วทีนี้ผมก็ชอบเอาดวงแก้วที่ซื้อมานี้มานึกอยู่ในกลางกายรู้สึกว่าเห็นได้ง่าย เห็นชัด ใสดี ยิ่งเวลาได้สัมผัสดวงแก้วที่ซื้อมานี้แล้วเอามาส่องกลางอากาศท่านใสดีเหลือเกินทำให้นึกไว้ในกายของเราได้ง่ายมาก ๆ แล้วผมก็บูชาด้วยดอกมะลิเหมือนของจริงทุกประการ
ข้อสงสัยของผมก็มีอยู่ว่า ถ้าเราเอาดวงที่ซื้อมานี้มานึกไว้ศูนย์กลางกาย ดวงที่อยุ่ในตัวเราจะเป็นดวงที่ซื้อมาหรือว่าเป็นดวงในตัวจริง ๆ เพราะกลัวว่าเอาของปลอมมานึกแล้วในตัวจะกลายเป็นของปลอมไปด้วย รู้สึกกังวลครับ แต่เวลาเห็นแล้วรู้สึกสบายใจจริง ๆ มีข้อสงสัยแค่นี้แหละครับ ขอคำแนะนำด้วย
กราบอนุโมทนาบุญล่วงหน้าครับ

สงสัยเรื่องดวงแก้วที่ขายทั่วไปครับ
เริ่มโดย ball_za, Apr 08 2009 11:15 AM
มี 10 โพสต์ตอบกลับกระทู้นี้
#1
โพสต์เมื่อ 08 April 2009 - 11:15 AM
#2
โพสต์เมื่อ 08 April 2009 - 12:15 PM
QUOTE
ดวงที่อยู่ในตัวเราจะเป็นดวงที่ซื้อมาหรือว่าเป็นดวงในตัวจริง ๆ
- เป็นกุศลนิมิตครับ อย่าใส่ใจQUOTE
เพราะกลัวว่าเอาของปลอมมานึกแล้วในตัวจะกลายเป็นของปลอมไปด้วย รู้สึกกังวลครับ
- ตัดความรู้สึกกังวลออกครับ เพราะนำไปสู่วิจิกิจฉา คือ ความลังเลสงสัยQUOTE
แต่เวลาเห็นแล้วรู้สึกสบายใจจริง ๆ
- ถูกแล้วครับ ค่อยๆตะล่อม ปล่อยวาง ดำดิ่งสู่ทางสายกลางด้วยความเชื่อมั่น ปราศจากนิวรณ์ เดี๋ยวสิ่งดีดีจะบังเกิดขึ้นเอง
ทำไมต้อง หาคำตอบ ณ แดนไกล ลืมหรือไร ว่าอยู่ใกล้ DMC
#3
โพสต์เมื่อ 08 April 2009 - 12:28 PM
ดวงแก้วนั้น ไม่ว่าจะเป็นที่วางขายกันทั่วๆไป หรือ ที่พระอาจารย์ท่านแจกมาให้ร่วมบุญนั้น จะมีกายสิทธิ์อยู่ตลอดหรือไม่ ขึ้นอยู่กับ ความประพฤติของผู้ที่ได้ครอบครองดวงแก้วน่ะครับ
หากเดิมวางขายทั่วๆไป ไม่มีกายสิทธิ์ แต่ครั้นผู้ครอบครองไปซื้อมาแล้วตั้งใจประพฤติปฏิบัติธรรม กายสิทธิ์จะเข้ามาสถิตย์อยู่ที่ดวงแก้วนั้น ตรงกันข้าม ต่อให้ได้รับดวงแก้วจากพระอาจารย์มา แต่ผู้ครอบครองกลับใช้ชีวิตสำมะเรเทเมา ผิดศีลเป็นว่าเล่น ละเลยการปฏิบัติธรรม หากเป็นเช่นนี้ แม้เดิมจะมีกายสิทธิ์อยู่ แต่กายสิทธิ์นั้นก็ย้ายไปอยู่กับผู้มีบุญท่านอื่นได้ เป็นต้นครับ
มีเรื่องราวจริงในสมัยพุทธกาล ชื่อเรื่องว่า สิริไม่อยู่กับผู้ไม่มีบุญ
เนื้อเรื่องก็มีอยู่ว่า มีพราหมณ์คนหนึ่ง แกไปได้วิชาดี(พอควร) มา เป็นวิชาที่สามารถดู สิืริมงคล ในตัวคนได้ คือ แกสามารถรู้ได้ว่า คนๆ นี้มีสิิริมงคลหรือไม่ และสิริมงคลนั้น ตอนนี้สถิตย์อยู่ที่ไหน
ต่อมา แกก็เกิดความคิดพิเรนทร์ อยากรวยทางลัดขึ้นมา โดยคิดว่า ท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี เป็นเศรษฐีผู้มีทรัพย์มาก อีกทั้ง ยังเป็นคนใจดี อีกด้วย
พราหมณ์ก็คิดต่อว่า หากพราหมณ์ไปที่บ้านท่านเศรษฐี แล้วใช้วิชาดูว่า สิริมงคล อยู่ที่ของชิ้นไหนของท่าน จากนั้น ก็แกล้งเอ่ยปากขอของสิ่งนั้น คราวนี้พราหมณ์ก็จะได้สิริมงคลกลับมาบ้านทันที คิดเช่นนี้ พราหมณ์ก็กระหยิ่มใจ ลงมื่อปฏิบัติการตามแผน ตรงไปบ้านท่านเศรษฐีทันที
พอไปถึงก็ทักท่ายท่านเศรษฐีพอสมควร แล้วใช้วิชาที่พราหมณ์ร่ำเรียนมา ก็เห็น สิริมงคล สถิตย์อยู่ที่ตวงแก้วมณีของท่านเศรษฐี พราหมณ์ไม่รอช้า เอ่ยปากขอดวงแก้วมณีจากท่านเศรษฐีทันที
ท่านเศรษฐีก็ใจดี ให้อย่างง่ายดาย ขณะที่พราหมณ์กำลังรอสิริมงคลให้มาถึงมืออย่างใจจรดใจจ่อ ฉับพลันทันทีที่ดวงแก้วตกถึงมือของพราหมณ์ พราหมณ์ก็เห็นสิริมงคลย้ายจากดวงแก้วมณีไปอยู่ที่หงอนไก่ ของท่านเศรษฐี
พราหมณ์เห็นเช่นนั้น ก็ไม่ยอมแพ้ สร้างนิยายว่า บ้านพราหมณ์ไม่มีไก่ขันบอกเวลา อยากได้ไก่ของท่านเศรษฐี ท่านเศรษฐีก็ให้ไก่แก่พราหมณ์ไปอีก
แต่สิริมงคลก็ย้ายจากไก่ ไปอยู่ที่ไม้เท้าของท่านเศรษฐีเข้าให้อีก พราหมณ์จึงเอ่ยปากขอไม้เท้าอีก แต่ก็แห้ว เพราะสิริมงคลก็ย้ายจากไม้เท้า ไปอยู่ที่ศีรษะของภรรยาท่านเศรษฐี
คราวนี้พราหมณ์ไม่กล้าเอ่ยปากขอภรรยาท่านเศรษฐี ก็กลัวจะโดนบาทา ดังนั้น จึงสารภาพเรื่องราวทั้งหมดให้ฟัง แล้วคืนของทั้งหมดให้ท่านเศรษฐีไป
ท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี รู้สึกอัศจรรย์ใจในสิริมงคลของตน จึงไปกราบทูลเล่าเรื่องราวให้พระสัมมาสัมพุทธเจ้าฟัง
พระพุทธเจ้าจึงตรัสว่า "อย่างนั้นแล ท่านเศรษฐี สิริย่อมไม่อยู่กับผู้ไร้บุญ แต่สิริย่อมอยู่กับผู้มีบุญเท่านั้น"
ซึ่งครูไม่ใหญ่เคยบอกไว้ว่า "ผู้มีบุญ จะมีบุญได้ ก็ต้องทำบุญ จะรอเฉยๆ ให้บุญหล่นทับนั้นไม่มี"
บุญใหญ่ 22 เมษายนนี้ คือ สังฆทาน 3 หมื่นวัด และองค์พระธรรมกายประจำตัวรุ่นปิดเจดีย์ กำลังรอพวกเราทุกคนอยู่ อย่าพลาดบุญนี้กันนะครับ (เอ ตอบกระทู้อยู่ดีๆ ไหงมาลงตรงนี้ได้ไงเนี่ย)
หากเดิมวางขายทั่วๆไป ไม่มีกายสิทธิ์ แต่ครั้นผู้ครอบครองไปซื้อมาแล้วตั้งใจประพฤติปฏิบัติธรรม กายสิทธิ์จะเข้ามาสถิตย์อยู่ที่ดวงแก้วนั้น ตรงกันข้าม ต่อให้ได้รับดวงแก้วจากพระอาจารย์มา แต่ผู้ครอบครองกลับใช้ชีวิตสำมะเรเทเมา ผิดศีลเป็นว่าเล่น ละเลยการปฏิบัติธรรม หากเป็นเช่นนี้ แม้เดิมจะมีกายสิทธิ์อยู่ แต่กายสิทธิ์นั้นก็ย้ายไปอยู่กับผู้มีบุญท่านอื่นได้ เป็นต้นครับ
มีเรื่องราวจริงในสมัยพุทธกาล ชื่อเรื่องว่า สิริไม่อยู่กับผู้ไม่มีบุญ
เนื้อเรื่องก็มีอยู่ว่า มีพราหมณ์คนหนึ่ง แกไปได้วิชาดี(พอควร) มา เป็นวิชาที่สามารถดู สิืริมงคล ในตัวคนได้ คือ แกสามารถรู้ได้ว่า คนๆ นี้มีสิิริมงคลหรือไม่ และสิริมงคลนั้น ตอนนี้สถิตย์อยู่ที่ไหน
ต่อมา แกก็เกิดความคิดพิเรนทร์ อยากรวยทางลัดขึ้นมา โดยคิดว่า ท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี เป็นเศรษฐีผู้มีทรัพย์มาก อีกทั้ง ยังเป็นคนใจดี อีกด้วย
พราหมณ์ก็คิดต่อว่า หากพราหมณ์ไปที่บ้านท่านเศรษฐี แล้วใช้วิชาดูว่า สิริมงคล อยู่ที่ของชิ้นไหนของท่าน จากนั้น ก็แกล้งเอ่ยปากขอของสิ่งนั้น คราวนี้พราหมณ์ก็จะได้สิริมงคลกลับมาบ้านทันที คิดเช่นนี้ พราหมณ์ก็กระหยิ่มใจ ลงมื่อปฏิบัติการตามแผน ตรงไปบ้านท่านเศรษฐีทันที
พอไปถึงก็ทักท่ายท่านเศรษฐีพอสมควร แล้วใช้วิชาที่พราหมณ์ร่ำเรียนมา ก็เห็น สิริมงคล สถิตย์อยู่ที่ตวงแก้วมณีของท่านเศรษฐี พราหมณ์ไม่รอช้า เอ่ยปากขอดวงแก้วมณีจากท่านเศรษฐีทันที
ท่านเศรษฐีก็ใจดี ให้อย่างง่ายดาย ขณะที่พราหมณ์กำลังรอสิริมงคลให้มาถึงมืออย่างใจจรดใจจ่อ ฉับพลันทันทีที่ดวงแก้วตกถึงมือของพราหมณ์ พราหมณ์ก็เห็นสิริมงคลย้ายจากดวงแก้วมณีไปอยู่ที่หงอนไก่ ของท่านเศรษฐี
พราหมณ์เห็นเช่นนั้น ก็ไม่ยอมแพ้ สร้างนิยายว่า บ้านพราหมณ์ไม่มีไก่ขันบอกเวลา อยากได้ไก่ของท่านเศรษฐี ท่านเศรษฐีก็ให้ไก่แก่พราหมณ์ไปอีก
แต่สิริมงคลก็ย้ายจากไก่ ไปอยู่ที่ไม้เท้าของท่านเศรษฐีเข้าให้อีก พราหมณ์จึงเอ่ยปากขอไม้เท้าอีก แต่ก็แห้ว เพราะสิริมงคลก็ย้ายจากไม้เท้า ไปอยู่ที่ศีรษะของภรรยาท่านเศรษฐี
คราวนี้พราหมณ์ไม่กล้าเอ่ยปากขอภรรยาท่านเศรษฐี ก็กลัวจะโดนบาทา ดังนั้น จึงสารภาพเรื่องราวทั้งหมดให้ฟัง แล้วคืนของทั้งหมดให้ท่านเศรษฐีไป
ท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี รู้สึกอัศจรรย์ใจในสิริมงคลของตน จึงไปกราบทูลเล่าเรื่องราวให้พระสัมมาสัมพุทธเจ้าฟัง
พระพุทธเจ้าจึงตรัสว่า "อย่างนั้นแล ท่านเศรษฐี สิริย่อมไม่อยู่กับผู้ไร้บุญ แต่สิริย่อมอยู่กับผู้มีบุญเท่านั้น"
ซึ่งครูไม่ใหญ่เคยบอกไว้ว่า "ผู้มีบุญ จะมีบุญได้ ก็ต้องทำบุญ จะรอเฉยๆ ให้บุญหล่นทับนั้นไม่มี"
บุญใหญ่ 22 เมษายนนี้ คือ สังฆทาน 3 หมื่นวัด และองค์พระธรรมกายประจำตัวรุ่นปิดเจดีย์ กำลังรอพวกเราทุกคนอยู่ อย่าพลาดบุญนี้กันนะครับ (เอ ตอบกระทู้อยู่ดีๆ ไหงมาลงตรงนี้ได้ไงเนี่ย)
ได้ดี เพราะมีกัลยาณมิตร
#4
โพสต์เมื่อ 08 April 2009 - 04:14 PM
ขอบคุณทุกท่านมากครับ
คราวนี้จะได้ตัดความสงสัยนี้ออกไปได้ซะที
จะได้นึกได้ตลอด เพราะเอามาไว้ในห้องทำงานสามารถเห็นได้ตลอดเวลา
แค่มองดูเฉย ๆ ก็รู้สึกสบายแล้วครับ
กราบอนุโมทนาบุญทุกท่านครับ
คราวนี้จะได้ตัดความสงสัยนี้ออกไปได้ซะที
จะได้นึกได้ตลอด เพราะเอามาไว้ในห้องทำงานสามารถเห็นได้ตลอดเวลา
แค่มองดูเฉย ๆ ก็รู้สึกสบายแล้วครับ
กราบอนุโมทนาบุญทุกท่านครับ
#5
โพสต์เมื่อ 08 April 2009 - 04:16 PM
สาธุครับ
#6
โพสต์เมื่อ 08 April 2009 - 05:35 PM

#7
โพสต์เมื่อ 08 April 2009 - 08:52 PM
อนุโมทนาบุญคับบบบบบ......... สาธุ สาธุ
#8
โพสต์เมื่อ 09 April 2009 - 08:31 AM
สาธุ...ครับ
#9
โพสต์เมื่อ 09 April 2009 - 02:10 PM
สาธุ
ฉันคือธรรมบนเมฆา ล่องลอยบนท้องนภา มานานแสนนาน http://www.facebook.com/kathathep
#10
โพสต์เมื่อ 09 April 2009 - 03:49 PM
สาธุๆๆคุณหัดฝัน ยกเรื่องประกอบกระทู้ได้พอเหมาะพอสมมาก ลงท้ายบอกบุญตามกาลได้อย่างสวยงามด้วย.
ยอดเยี่ยมมากครับ.
ยอดเยี่ยมมากครับ.
#11
โพสต์เมื่อ 10 April 2009 - 04:42 AM
ดวงแก้ว นอกกาย ไหนๆ ก็สู้ดวงแก้วภายในกายไม่ได้
