
ระงับความโกรธ เกลียด เสียใจ ต่อ บุคคลอื่น อย่างไร
#1
โพสต์เมื่อ 06 May 2009 - 01:01 PM
รับบุญได้ไม่เต็มที่เลยค่ะ
ใครมีวิธี
ระงับความโกรธ เกลียด เสียใจ ต่อ บุคคลอื่น อย่างไร คะ
รบกวนแชร์แนวทางด้วยค่ะ
#2
โพสต์เมื่อ 06 May 2009 - 02:01 PM
#3
โพสต์เมื่อ 06 May 2009 - 04:59 PM
เราก็ต้องบอกกับตัวเองนะคะว่าเราจะไม่เก็บความโกรธหรือความแค้นใดใดนานข้ามวันข้ามคืน ถ้าเราโกรธใครก็ให้อภัยเขาเป็นอภัยทาน เราก็จะได้บุญค่ะ ที่สามารถให้คำแนะนำได้ขนาดนี้ก็เพราะอ่านคำสอนของพระเดชพระคุณหลวงพ่อทัตตชีโว ที่อยู่ในวารสารอยุ่ในบุญน่ะค่ะ เรื่องทุกวินาทีมีไว้ให้สร้างบุญน่ะค่ะ ลองไปอ่านดูนะคะ แต่ฉบับที่เท่าไหร่อันนี้ดิฉันก็จำไม่ได้ค่ะ
เกิดมาทำพระนิพพานให้แจ้ง แสวงบุญ สร้างบารมี
#4
โพสต์เมื่อ 06 May 2009 - 05:03 PM
ให้นึกถึงบุญ นึกถึงองค์พระ เมื่อใดก็ตามที่ใจแวบไปคิดเรื่องที่ทำให้ใจหมอง เมื่อนั้นก็ให้นึกถึงบุญ นึกถึงองค์พระ ให้เอาใจมาไว้ทีี่ศูนย์กลางกายฐานที่เจ็ด ลองทำอย่างนี้ทุกๆ ครั้งที่คิดเรื่องที่ทำให้ใจหมอง
ต้องปล่อยวางค่ะ สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม
แม้ตัวของเรา ใจของเราเอง เรายังไม่สามารถบังคับจิตใจของเราเองได้ตลอดเวลา แล้วนับประสาอะไรกับใจของคนอื่น ยิ่งไม่อาจคาดหวัง และตั้งความหวัง
หรือไม่ก็ให้นึกว่าเป็นเกม เรากำลังเล่นเกม เกมวัดใจไงคะ และเป็นเกมที่เราต้องเอาชนะให้ได้ นั่นคือการชนะใจของเราเอง เอาชนะใจของเราเอง โดยการไม่โกรธ ไม่เกลียด ไม่เสียใจ ให้ได้
ความพร้อมเกิดขึ้น เมื่อเริ่มต้นลงมือทำ (โอวาทหลวงพ่อ 27/4/51)
ไม่มีสิ่งใดที่จะรัดตรึงใจบุรุษให้หลงใหลได้มากเท่ากับสตรี ไม่มีสิ่งใดที่จะรัดตรึงใจสตรีให้หลงใหลได้มากเท่ากับบุรุษ
แท้จริงแล้วความรักก็เปรียบดั่งเครื่องพันธนาการ ที่มัดตรึงเหนียวแน่น ให้ลุ่มหลงอยู่ ย่อมจะต้องเวียนว่ายตายเกิดและจมอยู่ในกองทุกข์ร่ำไป
#5
โพสต์เมื่อ 06 May 2009 - 05:31 PM

#6
โพสต์เมื่อ 06 May 2009 - 07:52 PM
1. รู้ว่าเราเศร้าหมองในเรื่องใด
(เรื่องใดที่ยังค้างคาใจ ก็สมควรที่จะอโหสิกรรมให้
โดยเอาชนะด้วยความไม่โกรธ คือทางออกที่ดีที่สุด)
2. หาสาเหตุแห่งความเศร้าหมองนั้น
(บางครั้งที่เราเห็นเป็นเรื่องใหญ่ ความจริงแล้วมีสาเหตุ
เริ่มจากสิ่งเล็กๆ แต่ใจเราต่างหากที่ปรุงแต่งมันขึ้น)
3. ค่อยๆหาทางแก้ที่ดีที่สุด
(ทุกปัญหาย่อมมีทางออก การดับทุกข์ในใจเรา
เราเองก็ต้องมองเห็นทางออกในใจเราเองได้ด้วย)
4. ปฏิบัติตามทางแก้นั้นอย่างมีสติ
(การทำใจให้ใส เริ่มจากความว่างเปล่า ไม่ยึดติดกับสิ่งใดๆ
การที่เราตัดความกังวลต่างๆออกไปได้ เท่ากับสำเร็จไปแล้วครึ่งหนึ่ง)

#7
โพสต์เมื่อ 06 May 2009 - 07:55 PM


นิวรณ์อันเป็นกิเลสขั้นกลางอันเป็นเครื่องกั้นความดี....มีพยาบาท



เมื่อพิจารณาเล็งเห็นโทษของโทสะด้วยปัญญาแล้ว อย่าลืมชำระล้างใจด้วยศีลให้สะอาด ผ่องใส ฝึกใจเป็นสมาธิเข้าสู่อธิจิตให้สงบ ภาวนามยปัญญาคือความสว่างก็จะบังเกิดขึ้น แล้วคุณจะรู้สึกว่า...ไม่เสียดายเวลาที่ผ่านมา

ยิ้มกันรึยังจ๊ะ

ลองศึกษาหนึ่งในตัวอย่างของการผูกโกรธดูนะครับ

http://www.dmc.tv/fo...wtopi...hl=โทสะ
#8
โพสต์เมื่อ 06 May 2009 - 08:52 PM
ใจเย็นคับ ต้องตั้งหลักคิดใหม่ว่า ความโกรธ คือ ความบกพร่องของคนอื่นที่เราเก็บมาไว้ในใจเรา เป็นความบกพร่องที่ต้องได้รับการแก้ไข ทำให้เกิดความทุกข์ ในใจเรา ดังนั้น ลองเปลี่นยวิธีคิดใหม่ จงรู้จักให้อภัย ปล่อยวาง แล้วแผ่เมตตาเยอะๆ นะคับ ทุกคนล้วนเป็นเพื่อนทุกข์ด้วยกันทั้งสิ้น จะช่วยให้รู้สึกดีขึ้นได้ ตื่นเช้า ใส่บาตรแล้วกรวดน้ำให้คนที่เบียดเบียนเราทุกคน ก็ดีนะคับ ลองดู.....เคยมีคนทำได้ผลมาแล้ว ..... .สุดท้ายมีไฟล์pdf เรื่อง มนต์คลายโกรธ มาให้อ่านเล่น เขาว่าอ่านแล้วจะคลายโกรธได้ถึง 99.3% เชียวนะ ...ดีมากๆเลย( ใครอยากได้เมล์มาขอได้คับผม )พอดีแนบไฟล์ไม่เป็นคับ..อิอิ
#9
โพสต์เมื่อ 07 May 2009 - 01:24 AM
ทำทุกทางนะคะตามคำสอนของหลวงพ่อ ต้องใสจนได้สิใจเรา ตอนนี้หายสนิท แม้พูดถึงคนที่เราเคยโกรธคนนั้นก็รู้สึกเฉยๆแล้ว จบแล้ว ไม่มีเวรต่อกันคิดได้จริงๆ แต่เข้าใจเลยค่ะว่ามันยากเหลือเกิน เป็นกำลังใจให้นะคะ
#10
โพสต์เมื่อ 07 May 2009 - 08:54 AM
กำลังพยายามอย่างมาก
พยายาม ไม่ได้ยิน ไม่ให้ใครพูดถึง ไม่รู้ ไม่เห็น
เพราะเดี๋ยวพรุ่งนี้ก็วันวิสาขบูชาแล้ว
เดี๋ยวไม่ใส
อิอิ
ขออนุโมทนาบุญกับทุกข้อแนะนำค่ะ
#11
โพสต์เมื่อ 07 May 2009 - 12:20 PM
คือ พอเริ่มมีจิตรู้ตัวว่า จิตใจกำลังจะหมองแล้ว ก็ให้สั่ง(ทำคล้ายๆ สั่งขี้มูก แต่ไม่ต้องแรง)ลมหายใจที่หมองออกไป
ทำแล้วก็ดีเหมือนกันนะเนี่ย
#12
โพสต์เมื่อ 07 May 2009 - 07:28 PM
[color="#8B0000"]ปัญหา
อสุรินทกภารทวาชพราหมณ์ ได้ทราบว่าพราหมณ์ผู้ร่วมนามสกุลภารทวาชหลายคน ได้จากเรือนไปบวชในสำนักของพระพุทธเจ้าก็โกรธ จึงตรงไปด่าบริภาษพระผู้มีพระภาคถึงพระเวฬุวัน แต่พระผู้มีพระภาคทรงนิ่งเสีย ไม่ได้โต้ตอบ ฝ่ายพราหมณ์เมื่อเป็นพระผู้มีพระภาคทรงนิ่ง ก็ดีใจประกาศว่าเราชนะท่านแล้ว เราชนะท่านแล้ว ?
พุทธดำรัสตอบ
“ชนพาลกล่าวคำหยาบด้วยวาจา ย่อมสำคัญว่าวชนะทีเดียว แต่ความอดกลั้นได้ เป็นความชนะของบัณฑิตผู้รู้แจ้งอยู่ ผู้ใดโกรธ ตอบบุคคลผู้โกรธแล้ว ผู้นั้นเป็นผู้ลามกกว่าบุคคลผู้โกรธแล้ว เพราะการโกรธตอบนั้น บุคคลไม่โกรธตอบบุคคลผู้โกรธแล้ว ย่อมชื่อว่าชนะสงครามอันบุคคลชนะได้โดยยาก ผู้ใดรู้ว่าผู้อื่นโกรธแล้ว เป็นผู้มีสติ สงบอยู่ได้ ผู้นั้นย่อมชื่อว่าประพฤติประโยชน์แก่ทั้งสองฝ่าย คือ แก่ตนและแก่ผู้อื่น เมื่อผู้นั้นรักษาประโยชน์ทั้ง ๒ ฝ่าย คือของตนและของผู้อื่น ชนทั้งหลายผู้ไม่ฉลาดในธรรม ย่อมสำคัญบุคคลนั้นว่า เป็นคนเขลา ดังนี้”
อสุรินทกสูตรที่ ๓ ส. สํ. (๖๓๖)
ตบ. ๑๕ : ๒๔๐ ตท. ๑๕ : ๒๒๗
ตอ. K.S. I : ๒๐๔
*****************************************************
ทำอย่างไรจึงจะมีรูปงาม
ปัญหา
เพราะเหตุไรบางคนจึงมีรูปร่างขี้ริ้วขี้เหร่ ทั้ง ๆ ที่มารดาบิดามีรูปงาม เพราะเหตุไรคนบางคนจึงมีรูปร่างสวย มีผิวพรรณงาม ทั้ง ๆ ที่มารดาบิดามีรูปร่างไม่สวย ?
พุทธดำรัสตอบ
“...บุคคลบางคนย่อมเป็นผู้มักโกรธแค้นมาก ถูกว่าแม้น้อยย่อมขัดใจโกรธ พยาบาทคิดแก้แค้น ทำความโกรธความดุร้ายแลความขึ้งเคียดให้ปรากฏ ครั้นตายไปย่อมเกิดในอบายทุคตินรกด้วยกรรมนั้น..ถ้าตายไปไม่เกิดในอบายทุคตินรก มาเกิดเป็นมนุษย์ในที่ใด ๆ จะเป็นผู้มีผิวพรรณน่าชัง
“บุคคลบางคนย่อมเป็นผู้ไม่มักโกรธแค้นมาก ถูกว่าแม้มากย่อมทำความโกรธ ความดุร้ายและความขึ้งเคียดให้ปรากฏ ครั้นตายไปย่อมเกิดในสุคติโลกสวรรค์ด้วยกรรมนั้น. ถ้าภายไปไม่เกิดในสุคติโลกสวรรค์ มาเกิดเป็นมนุษย์ ในที่ใด ๆ จะเป็นผู้มีผิวพรรณน่าชม"
*****************************************************
วิธีแก้ความอาฆาต
ปัญหา
ถ้าเกิดความอาฆาตขึ้นในจิตใจเรา ทำให้เราคิดมุ่งร้ายหมายแก้แค้นต่อบุคคลบางคน ซึ่งได้ล่วงเกินเราก่อน ควรจะแก้ไขอย่างไร?
พุทธดำรัสตอบ
“......ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย
ความอาฆาตพึงเกิดขึ้นในบุคคลใด พึงเจริญเมตตาในบุคคลนั้น ๑
ความอาฆาตพึงเกิดขึ้นในบุคคลใด พึงเจริญกรุณาในบุคคลนั้น ๑
ความอาฆาตพึงเกิดขึ้นในบุคคลใด พึงเจริญอุเบกขาในบุคคลนั้น ๑
ความอาฆาตพึงเกิดขึ้นในบุคคลใด พึงถึงการไม่นึกไม่ใฝ่ใจในบุคคลนั้น ๑
ความอาฆาตพึงเกิดขึ้นในบุคคลใด พึงนึกถึงความเป็นผู้มีกรรมเป็นของของตน ให้มั่นในบุคคลนั้นว่าท่านผู้นี้เป็นผู้มีกรรมเป็นของของตน เป็นทายาทแห่งกรรม มีกรรมเป็นกำเนิด มีกรรมเป็นเผ่าพันธุ์ มีกรรมเป็นที่พึ่ง จักทำกรรมใดไว้ดีก็ตามชั่วก็ตาม จักเป็นผู้รับผลของกรรมนั้นดังนี้ ๑.... พึงระงับความอาฆาตในบุคคลนั้นด้วยประการฉะนี้”
อาฆาตวินัยสูตร ที่ ๑ ป. อํ. (๑๖๑)
ตบ. ๒๒ : ๒๐๗ ตท. ๒๒ : ๑๘๙
ตอ. G.S. III : ๑๓๗
โทษของความโกรธ
ปัญหา
ความโกรธมีโทษอย่างไรบ้าง พระสัมมาสัมพุทธเจ้าจึงทรงแนะนำให้ระงับกำจัดเสีย ?
พุทธดำรัสตอบ
“.....คนผู้โกรธ ถูกความโกรธครอบงำย่ำยีแล้ว แม้จะอาบน้ำ ไล้ทา ตัดผม โกนหนวด นุ่งผ้าขาวสะอาดแล้วกตาม...
ย่อมเป็นผู้มีผิวพรรณทราม.....
“.....คนผู้โกรธ ถูกความโกรธครอบงำย่ำยีแล้ว แม้จะนอนบนบัลลังก์อันลาด้วยฝ้าขนสัตว์ ลาด้วยฝ้าขาวเนื้ออ่อน ลาดด้วยเครื่องลาดอย่างดีทำด้วยหนังชะมด มีผ้าดาดเพดาน มีหมอนหนุนศีรษะและหนุนเท้าแดงทั้งสองข้างก็ตาม ย่อมนอนเป็นทุกข์....
“.....คนผู้โกรธ ถูกความโกรธครอบงำย่ำยีแล้ว แม้จะถือเอาสิ่งที่ไม่เป็นประโยชน์ ก็สำคัญว่าเราถือเอาสิ่งเป็นประโยชน์ แม้จะถือเอาสิ่งที่เป็นประโยชน์ก็สำคัญว่าเราถือเอาสิ่งไม่เป็นประโยชน์ ธรรมเหล่านี้อันคนผู้โกรธ... ถือเอาแล้ว ย่อมเป็นไปเพื่อความฉิบหายมิใช่ประโยชน์เกื้อกูล เพื่อทุกข์ตลอดกาล
“.....คนผู้โกรธ ถูกความโกรธครอบงำย่ำยีแล้ว แม้จะมีโภคะที่ตนหามาได้ด้วยความขยันขันแข็ง สั่งสมได้ด้วยกำลังแขนอาบเหงื่อต่างน้ำ เป็นของชอบธรรม ได้มาโดยธรรม พระราชาย่อมริบโภคะของคนขี้โกรธเข้าพระคลังหลวง....
“.....คนผู้โกรธ ถูกความโกรธครอบงำย่ำยีแล้ว แม้เขาจะมีมิตร อมาตย์ ญาติสายโลหิต เหล่านั้นก็เว้นเสียห่างไกล...
“.....คนผู้โกรธ ถูกความโกรธครอบงำย่ำยีแล้ว ย่อมประพฤติทุจริตด้วยกาย ด้วยวาจา ด้วยใจ ครั้นแล้วเมื่อตายไปย่อมเข้าถึง อบาย ทุคติ วินิบาตนรก....”
โกธนาสูตร ส. อํ. (๖๑)
ตบ. ๒๓ : ๙๖-๙๗ ตท. ๒๓ : ๘๙-๙๑
ตอ. G.S. IV : ๕๙-๖๐
**********************************************************
คนที่มีจิตเหมือนแผลเก่า ฟ้าแลบ เพชร
ปัญหา
บุคคลที่มีจิตเหมือนแผลเก่า เหมือนฟ้าแลบ เหมือนเพชรคืออย่างไร ?
พุทธดำรัสตอบ
“ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย บุคคลที่มีจิตเหมือนแผลเก่าเป็นอย่างไร
บุคคลบางคนในโลกนี้เป็นผู้มักโกรธ มากด้วยความแค้นใจ ถูกเขาว่าแม้เล็กน้อยก็ขัดใจ โกรธเคืองพยาบาทขึ้งเคียด
ทำความโกรธ ความขัดเคือง และความโทมนัสให้ปรากฏ เปรียบเหมือนแผลเก่า ถูกไม้หรือกระเบื้องกระทบเขาย่อมให้สิ่งหมักหมมกระจัดกระจายมากมาย.....บุคคลนี้เรียกว่ามีจิตเหมือนแผลเก่า
“บุคคลที่มีจิตเหมือนฟ้าแลบคืออย่างไร ? บุคคลบางคนในโลกนี้ ย่อมรู้ชัดตามความเป็นจริงว่านี้ทุกข์ นี้ทุกขสมุทัย นี้ทุกขนิโรธ นี้ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทา... เหมือนบุรุษผู้มีดวงตา เห็นรูปในขณะฟ้าแลบในเวลากลางคืนอันมืดมิด.....บุคคลนี้เรียกว่ามีจิตเหมือนฟ้าแลบ.....
“บุคคลที่มีจิตเหมือนเพชรคืออย่างไร ? บุคคลบางคนในโลกนี้ ทำให้แจ้งซึ่งเจโตวิมุต ปัญญาวิมุติ อันหาอาสวะมิได้ เปรียบเหมือนแก้วมณี หรือหินชนิดใดชนิดหนึ่ง ที่เพชรจะทำลายไม่ได้ไม่มี.... บุคคลนี้เรียกว่ามีจิตเหมือนเพชร.....”
วชิรสูตร ติก. อํ. (๔๖๔)
ตบ. ๒๐ : ๑๕๕-๑๕๖ ตท. ๒๐ : ๑๔๐-๑๔๑
ตอ. G.S. ๑ : ๑๐๖-๑๐๗
ในฐานะที่ข้าพเจ้าเรียนมาทางวิทยาศาสตร์ วิศวกรรมศาสตร์ กระทู้ต่างๆ ที่ข้าพเจ้าแสดงความเห็นใน DMC.tv นี้
ถึงจะเป็นตะเกียงดวงน้อยด้อยแสง แต่ไฟแรงจุดติดดวงอื่นได้
ไม่เสียดายให้แสงสว่างกับผู้ใด ชักนำใจให้สว่างเพียงแต่ธรรม
#13
โพสต์เมื่อ 11 May 2009 - 04:38 PM
ถ้าทำแล้วไม่ได้ผลก็เข้าเวป DMC.TV อ่าน webbord ดูหลวงพ่อ อ่านบทความธรรมะ อ่านไปเรื่อยๆ ก็จะทำให้เราเพลินแล้วก็ลืมเรื่องที่เราไม่สบายใจ
แต่ถ้าทำแล้วไม่เกิดผลอะไรอีก ก็นี่เลย นั่งสมาธิ
ตอนนี้ยึดมั่นความดีก็ทำอยู่ค่ะ ได้ผลเหมือนกันนะ ขอบอก...
#14
โพสต์เมื่อ 19 May 2009 - 04:37 AM
บางครั้งโกรธมากถึงขั้นไม่อยากมาวัด ไม่อยากดู DMC
เราอาจจะอาการหนักกว่านะ ทุกวันนี้พยายามแผ่เมตตาให้อยู่
แต่ยังไม่ประสบความสำเร็จ บางครั้งแค่นึกก็ไม่อยากหายใจร่วมโลกด้วยแล้ว
รู้ทั้งรู้ว่าจะทำให้การสร้างบารมีของเราหย่อนลงไป....แต่ก็กำลังทำใจให้ได้อยู่
สงสัยเหมือนกันนะ ปกติเราจะไม่ผูกเวรกะใคร ให้อภัยได้ก็ให้อภัย ความสบายใจก็จะตามมา
แต่กับ....Lord Voldemort ยากเกินกว่าจะรับมือจริงๆ
เป็นกำลังใจให้เช่นกัน
PS. หากเห็นว่าข้อความไม่เหมาะสมเชิญลบตามสบาย