ได้ยินมาว่า การสร้างโบสถ์ สร้างวิหาร เป็นบุญใหญ่บุญแรง ไม่ให้สร้างคนเดียว ต้องชักชวนคนอื่นมาทำร่วม อยากรู้เหตุผลว่าเพราะอะไร

ใครรู้บ้าง รบกวนตอบด้วยนะ
เริ่มโดย Manduka, May 15 2009 08:40 PM
มี 11 โพสต์ตอบกลับกระทู้นี้
#1
โพสต์เมื่อ 15 May 2009 - 08:40 PM
#2
โพสต์เมื่อ 16 May 2009 - 08:06 PM
การสร้างบุญด้วยทรัพย์ของตัวเองด้วยจิตศรัทธา ได้อานิสงส์โดยตรงคือ ต่อไปจะเป็นผู้มีทรัพย์มาก เป็นเศรษฐี เป็นต้น ซึ่งใครหากได้ทำบุญ ต่อไปก็จะได้เป็นคนรวยมั่งมี
และการชวนผู้อื่นสร้างบุญคือการช่วยทำให้ผู้อื่นได้ทำความดีได้สร้างบารมี
คนผู้นั้นก็จะได้อานิสงส์ ภายภาคหน้าก็จะมีเพื่อนดีๆ เป็นบัณฑิตกัลยาณมิตร มีทรัพย์มาก พูดง่ายๆ คือจะได้มีเพื่อนเป็นคนที่ร่ำรวย
โดยทั่วไปการสร้างโบสถ์วิหารมีขนาดใหญ่ต้องใช้เงินมาก คนๆเดียวอาจมีเงินไม่พอที่จะทำบุญเองทั้งหลัง แต่ถ้าเป็นมหาเศรษฐี ก็มีกำลังที่จะเหมาทำบุญเองคนเดียวได้ แต่การทำบุญไม่บอกใคร เวลาบุญส่งผลให้รวยก็จะรวยเดี่ยวๆ ไร้เพื่อนรวยๆที่เป็นคู่คิดเป็นกัลยาณมิตรให้ เมื่อรู้อย่างนี้แล้วการชวนคนอื่นทำบุญก็ยิ่งได้บุญมากขึ้น
ดังนั้น การสร้างบุญ ถ้าทำได้ครบ คือต้องยินดีที่จะได้ทำทานเอง และชักชวนผู้อื่นมาทำทานด้วย ก็จะได้บุญสองต่อ บุญที่จะได้แรง ก็จะยิ่งแรงขึ้น
และการชวนผู้อื่นสร้างบุญคือการช่วยทำให้ผู้อื่นได้ทำความดีได้สร้างบารมี
คนผู้นั้นก็จะได้อานิสงส์ ภายภาคหน้าก็จะมีเพื่อนดีๆ เป็นบัณฑิตกัลยาณมิตร มีทรัพย์มาก พูดง่ายๆ คือจะได้มีเพื่อนเป็นคนที่ร่ำรวย
โดยทั่วไปการสร้างโบสถ์วิหารมีขนาดใหญ่ต้องใช้เงินมาก คนๆเดียวอาจมีเงินไม่พอที่จะทำบุญเองทั้งหลัง แต่ถ้าเป็นมหาเศรษฐี ก็มีกำลังที่จะเหมาทำบุญเองคนเดียวได้ แต่การทำบุญไม่บอกใคร เวลาบุญส่งผลให้รวยก็จะรวยเดี่ยวๆ ไร้เพื่อนรวยๆที่เป็นคู่คิดเป็นกัลยาณมิตรให้ เมื่อรู้อย่างนี้แล้วการชวนคนอื่นทำบุญก็ยิ่งได้บุญมากขึ้น
ดังนั้น การสร้างบุญ ถ้าทำได้ครบ คือต้องยินดีที่จะได้ทำทานเอง และชักชวนผู้อื่นมาทำทานด้วย ก็จะได้บุญสองต่อ บุญที่จะได้แรง ก็จะยิ่งแรงขึ้น
ขออนุโมทนาบุญนะคะ สาธุ
#3
โพสต์เมื่อ 16 May 2009 - 08:07 PM
TEAM WORK..
ในการทำงานอะไรก็ตามถ้าทำคนเดียวพลังมันน้อยครับ
ถ้ารวมกันทำพร้อมเพรียง พลังมหาศาล
รับรู้ได้จาก ตอนมาวัด หลวงพ่อนำนั่งธรรมมะ นั่งหลับตารวมพลังกันเป็นแสนๆ คน พลังมหาศาล
ดังนั้น การสร้างศาสนสถาน เพื่อสืบทอดพระศานา ต้องทำกันเป็นทีม ถึงจะสำเร็จ
ดังนั้นเราต้อง believe ใน TEAM หมายถึง
1.Together ไปด้วยกันครูไม่ใหญ่ว่าอย่างไรก็ทำตามนั้น
2.Everyone มีส่วนร่วมในทุกๆๆบุญ
3.Achieves สำเร็จ
4.More แน่นอน มากกว่านั้น คือที่สุดแห่งธรรม ครับ
ในการทำงานอะไรก็ตามถ้าทำคนเดียวพลังมันน้อยครับ
ถ้ารวมกันทำพร้อมเพรียง พลังมหาศาล
รับรู้ได้จาก ตอนมาวัด หลวงพ่อนำนั่งธรรมมะ นั่งหลับตารวมพลังกันเป็นแสนๆ คน พลังมหาศาล
ดังนั้น การสร้างศาสนสถาน เพื่อสืบทอดพระศานา ต้องทำกันเป็นทีม ถึงจะสำเร็จ
ดังนั้นเราต้อง believe ใน TEAM หมายถึง
1.Together ไปด้วยกันครูไม่ใหญ่ว่าอย่างไรก็ทำตามนั้น
2.Everyone มีส่วนร่วมในทุกๆๆบุญ
3.Achieves สำเร็จ
4.More แน่นอน มากกว่านั้น คือที่สุดแห่งธรรม ครับ
ในฐานะที่ข้าพเจ้าเรียนมาทางวิทยาศาสตร์ วิศวกรรมศาสตร์ กระทู้ต่างๆ ที่ข้าพเจ้าแสดงความเห็นใน DMC.tv นี้
อาจเป็นเรื่องที่แตกต่างหรือเกี่ยวข้องกับ วิทยาศาสตร์ หรือ วิศวกรรมศาสตร์
ดังนั้นเรื่องที่ข้าพเจ้าเขียนถ้าไม่ตรงกับความคิดเห็นของท่านใด ขออย่าได้มีอคติก่อน
แต่ถ้าตรงกับความคิดเห็นของท่านผู้ใด ขออย่าได้เชื่อไปก่อน
ข้าพเจ้าขอยืนยันว่าเรื่องที่แสดงความเห็นเป็นแนวคิดของข้าพเจ้า
และข้อมูลที่ค้นคว้าเพื่อเสริมสร้างศรัทธาในพระพุทธศาสนาให้มั่นคง
ซึ่งอาจจะถูกบ้างผิดบ้างเป็นธรรมดา แต่ก็จะเป็นประโยชน์ เป็นข้อมูลหนึ่ง กับท่านที่ศึกษาทางพุทธศาสตร์
ข้าพเจ้ามีความเชื่อว่า แต่ละคนก็มีกรรมเป็นของตนเอง เราเป็นทายาทแห่งกรรม
ทำดีตามครูไม่ใหญ่ ต้องได้ดีแน่นอน
และสรุปได้ว่า การเอาธรรมในพุทธศาสนามาใช้ในการดำรงชีวิตไม่เคยล้าสมัย สามารถใช้ได้กับทุกยุคทุกสมัย
ถึงจะเป็นตะเกียงดวงน้อยด้อยแสง แต่ไฟแรงจุดติดดวงอื่นได้
ไม่เสียดายให้แสงสว่างกับผู้ใด ชักนำใจให้สว่างเพียงแต่ธรรม
ถึงจะเป็นตะเกียงดวงน้อยด้อยแสง แต่ไฟแรงจุดติดดวงอื่นได้
ไม่เสียดายให้แสงสว่างกับผู้ใด ชักนำใจให้สว่างเพียงแต่ธรรม
#4
โพสต์เมื่อ 16 May 2009 - 09:29 PM
QUOTE
ต้องชักชวนคนอื่นมาทำร่วม อยากรู้เหตุผลว่าเพราะอะไร
- นอกจากจะเป็นผู้ได้ประโยชน์ในปัจจุบัน และภายภาคหน้าแล้ว ทั้งมนุษย์สมบัติ ทิพยสมบัติ และนิพพานสมบัติแล้ว...ยังเป็นผู้ให้โอกาสสงเคราะห์แก่หมู่ญาติทั้งมวล...นำพาซึ่งบริวารสมบัติ...แวดล้อมไปด้วยกัลยาณมิตรผู้ซึ่งให้แสงสว่างแก่โลกทำไมต้อง หาคำตอบ ณ แดนไกล ลืมหรือไร ว่าอยู่ใกล้ DMC
#5
โพสต์เมื่อ 16 May 2009 - 09:32 PM
สร้างเ้องก็ได้ทำทาน ผลของทานคือทรัพย์
ชวนคนสร้างก็ได้บริวารสมบัติด้วยไงครับ
ชวนคนสร้างก็ได้บริวารสมบัติด้วยไงครับ
อัตตาหิ อัตตโนนาโถ = กายเป็นที่พึ่งแห่งกาย
#6
โพสต์เมื่อ 17 May 2009 - 05:02 PM
เพื่อนๆ ตอบได้ดีจังเลย อ่านแล้วรู้สึกมีเนื้อสมองเพิ่มขึ้น ฮิ ฮิ กรุงศรีไม่สิ้นคนดี คนเก่งจริงๆ
เรื่องทำบุญคนเดียว ก็รวยคนเดียว ภพชาติต่อไป เมื่อเกิดมารวยก็จริง แต่ต้องทำงานด้วยตนเอง คือว่ามันจะเหนื่อยน่ะค่ะ เพราะไม่มีบริวารสมบัติ ไม่มีเพื่อน ญาติมิตร สหาย หรือ ลูกน้องดีๆ มีเงินจ้างก็จริง แต่หาคนดีๆ แวดล้อมไม่ได้ใ เพราะใช้เงินอย่างเดียวไม่ได้ ต้องสร้างบุญด้านนี้มาด้วยค่ะ
หากจังหวะไม่ดี ไม่เจอกัลยาณมิตรชวนมาสร้างบุญสร้างบารมีต่อ มัวแต่ทำงาน เพราะคนรวย ก็มีงานที่ต้องบริหารทรัพย์มากน่ะ เอาแบบว่า รวยด้วย มีเวลาด้วย เพราะมีลูกน้องบริวารดี ช่วยทำงานแทน เอาเวลา และทรัพย์มาสร้างบุญสร้างบารมีต่อ น่าจะยังประโยชน์ในระยะยาวดีกว่าค่ะ
เรื่องทำบุญคนเดียว ก็รวยคนเดียว ภพชาติต่อไป เมื่อเกิดมารวยก็จริง แต่ต้องทำงานด้วยตนเอง คือว่ามันจะเหนื่อยน่ะค่ะ เพราะไม่มีบริวารสมบัติ ไม่มีเพื่อน ญาติมิตร สหาย หรือ ลูกน้องดีๆ มีเงินจ้างก็จริง แต่หาคนดีๆ แวดล้อมไม่ได้ใ เพราะใช้เงินอย่างเดียวไม่ได้ ต้องสร้างบุญด้านนี้มาด้วยค่ะ
หากจังหวะไม่ดี ไม่เจอกัลยาณมิตรชวนมาสร้างบุญสร้างบารมีต่อ มัวแต่ทำงาน เพราะคนรวย ก็มีงานที่ต้องบริหารทรัพย์มากน่ะ เอาแบบว่า รวยด้วย มีเวลาด้วย เพราะมีลูกน้องบริวารดี ช่วยทำงานแทน เอาเวลา และทรัพย์มาสร้างบุญสร้างบารมีต่อ น่าจะยังประโยชน์ในระยะยาวดีกว่าค่ะ
#7
โพสต์เมื่อ 17 May 2009 - 06:48 PM
บุญใหญ่ บุญแรง ไม่ชวนญาติสนิทมิตรสหาย ก็แล้งน้ำใจนะคับ
#8
โพสต์เมื่อ 17 May 2009 - 08:38 PM
ขอบคุณทุกๆคำบรรยายจ้า กระจ่าง แบบไม่มีข้อกังขา
#9
โพสต์เมื่อ 17 May 2009 - 11:33 PM
สาธุๆๆกับทุกๆท่านครับ ตอบกันได้ดีมากจริงๆ.
"มีอยู่วันหนึ่ง ผมกับเพื่อนๆได้ยืนนิ่งๆนานๆ มองดูมหาธรรมกายเจดีย์
แล้วพวกเราก็พูดกันว่า
"เราสร้างของเรากันมาด้วยความยากลำบาก !!!"
ผมเชื่อว่าทุกๆคนก็คงมีความรู้สึกเช่นนี้,
"เรากินนอนปัดกวาดเช็ดถูที่นี่,
เรานั่งเนสัชฯที่บ้านยายฯวันครูธรรมกาย,
เราหัวชนกันสอบ WORLD PEC ที่สภาฯ,
เราอัญเชิญจักรแก้วที่วิหารหลวงปู่,
เรารับอั่งเปาจากหลวงพ่อตอนตรุษจีน,
เราถวายมหาสังฆทาน,ทอดกฐิน,จุดเทียนชัยฯที่สภาฯ,
เรานัดเจอกันที่วัด ไม่ใช่ที่ห้าง,
เราเก็บเพชรพลอยที่พื้นเมื่อเดินผ่าน,
เราถวายสรรพสิ่งสรรพบุญที่หอฉันฯ,
เราปักโคมมาฆะประทีปที่ลานธรรมฯ,
เราเวียนเทียนรอบวิหารคต,
เราถวายผ้าไตรทีชมรมพุทธฯ,
เราบวชและลงปาฏิโมกข์ที่โบสถ์
เราสลับกันปลงผมเลือดไหลซิบๆ,
เราแย่งกันขัดห้องน้ำวันลาสิกขา,
เรามาวัดทุกๆอาทิตย์และทุกงานบุญเล็กใหญ่,
เรามาวัดตรงเวลาจนพนักงานเก็บเงินค่าทางด่วนจำเราได้เพราะเราใส่ชุดอุบาสกและเราก็เอาหนังสือธรรมะให้เธอ,
รถของเราจะขับมาที่วัดเองโดยอัตโนมัติเมื่อไม่รู้ว่าจะไปที่ไหนดี แล้วก็มานั่งสมาธิที่วิหารหลวงปู่หรือห้องปัญญา,
เรานอนหลับก็ฝันถึงวัด ไม่ได้ฝันถึงที่ทำงาน,
แล้วพวกเราก็จะรับปริญญา DOU. กันที่สภาฯ.
นี้คงพอเป็นคำตอบหนึ่งของกระทู้ได้.
"มีอยู่วันหนึ่ง ผมกับเพื่อนๆได้ยืนนิ่งๆนานๆ มองดูมหาธรรมกายเจดีย์
แล้วพวกเราก็พูดกันว่า
"เราสร้างของเรากันมาด้วยความยากลำบาก !!!"
ผมเชื่อว่าทุกๆคนก็คงมีความรู้สึกเช่นนี้,
"เรากินนอนปัดกวาดเช็ดถูที่นี่,
เรานั่งเนสัชฯที่บ้านยายฯวันครูธรรมกาย,
เราหัวชนกันสอบ WORLD PEC ที่สภาฯ,
เราอัญเชิญจักรแก้วที่วิหารหลวงปู่,
เรารับอั่งเปาจากหลวงพ่อตอนตรุษจีน,
เราถวายมหาสังฆทาน,ทอดกฐิน,จุดเทียนชัยฯที่สภาฯ,
เรานัดเจอกันที่วัด ไม่ใช่ที่ห้าง,
เราเก็บเพชรพลอยที่พื้นเมื่อเดินผ่าน,
เราถวายสรรพสิ่งสรรพบุญที่หอฉันฯ,
เราปักโคมมาฆะประทีปที่ลานธรรมฯ,
เราเวียนเทียนรอบวิหารคต,
เราถวายผ้าไตรทีชมรมพุทธฯ,
เราบวชและลงปาฏิโมกข์ที่โบสถ์
เราสลับกันปลงผมเลือดไหลซิบๆ,
เราแย่งกันขัดห้องน้ำวันลาสิกขา,
เรามาวัดทุกๆอาทิตย์และทุกงานบุญเล็กใหญ่,
เรามาวัดตรงเวลาจนพนักงานเก็บเงินค่าทางด่วนจำเราได้เพราะเราใส่ชุดอุบาสกและเราก็เอาหนังสือธรรมะให้เธอ,
รถของเราจะขับมาที่วัดเองโดยอัตโนมัติเมื่อไม่รู้ว่าจะไปที่ไหนดี แล้วก็มานั่งสมาธิที่วิหารหลวงปู่หรือห้องปัญญา,
เรานอนหลับก็ฝันถึงวัด ไม่ได้ฝันถึงที่ทำงาน,
แล้วพวกเราก็จะรับปริญญา DOU. กันที่สภาฯ.
นี้คงพอเป็นคำตอบหนึ่งของกระทู้ได้.
#10
โพสต์เมื่อ 18 May 2009 - 12:13 PM

#11
โพสต์เมื่อ 18 May 2009 - 12:24 PM
ความจริงแล้ว การทำบุญทุกบุญ เช่น ถวายสังฆทาน ปล่อยสัตว์ปล่อยปลา สร้างถาวรวัตถุต่างๆ ควรทำด้วยตัวเอง และไปชักชวนผู้อื่นทำควบคู่ไปด้วยทุกๆ บุญนั่นแหละครับ
ไม่ได้จำกัดว่า ถ้าสร้างถาวรวัตถุ ให้ทำเองและชวนผู้อื่นด้วย ส่วน ปล่อยสัตว์ปล่อยปลา ถวายสังฆทาน ให้ทำด้วยตัวเองคนเดียว พระพุทธเจ้าท่านไม่เคยจำกัดแบบนั้นน่ะครับ คงเป็นนักคิด คิดขึ้นในภายหลังน่ะครับ
ไม่ได้จำกัดว่า ถ้าสร้างถาวรวัตถุ ให้ทำเองและชวนผู้อื่นด้วย ส่วน ปล่อยสัตว์ปล่อยปลา ถวายสังฆทาน ให้ทำด้วยตัวเองคนเดียว พระพุทธเจ้าท่านไม่เคยจำกัดแบบนั้นน่ะครับ คงเป็นนักคิด คิดขึ้นในภายหลังน่ะครับ
ได้ดี เพราะมีกัลยาณมิตร
#12
โพสต์เมื่อ 27 August 2009 - 02:50 PM
บุคคลทำบุญผู้เดียว ย่อมได้เพียงโภคทรัพย์ ไม่ได้บริวารสมบัติ
แต่บุคคลผู้ทำบุญด้วย ชวนผู้อื่่นด้วย ย่อมได้ทั้งโภคทรัพย์ และบริวารสมบัติ
แต่บุคคลผู้ทำบุญด้วย ชวนผู้อื่่นด้วย ย่อมได้ทั้งโภคทรัพย์ และบริวารสมบัติ