มีช่วงหนึ่ง โทรทัศน์ที่บ้านเสีย เอาไปซ่อม ช่างใช้เวลาซ่อมนานถึงเกือบหนึ่งปี แต่เราก็ไม่ยอมซื้อใหม่ เพราะถ้าซ่อมเสร็จแล้ว ไม่รู้จะเอาของเก่าไปทิ้งไว้ไหน จึงรอจนกว่าจะซ่อมเสร็จ ที่ซ่อมนานก็เพราะมันเป็นรุ่นสิบกว่าปีที่แล้ว แต่ของพ่อแม่ให้มา ไม่ยอมทิ้งค่ะ
เป็นเหตุให้ในช่วงหนึ่งปี ไม่ได้ดูหนัง ละคร เลย แม้แต่เล็กน้อย ส่วนเรื่องเข้าโรงเรียนอนุบาลฯ ก็ไม่มีปัญหา เพราะเราเข้าเว๊ปทุกวันอยู่แล้ว ไม่ตกเทรนแน่นอน
ในช่วงหนึ่งปี ก็หมั่นไปวัดทุกวันอาทิตย์ ถึงแม้จะไม่ได้นั่งสมาธิเป็นประจำได้ทุกวัน แต่เมื่อนั่งครั้งใด ใจมันเบา สบาย รวมใจได้ง่าย หยุดใจได้เร็ว จนตัวเองสังเกตุการเปลี่ยนแปลงได้อย่างชัดเจน ในเวลาปกติ ที่ไม่ได้นั่งสมาธิ ใจก็จะใสๆ เย็นๆ เหมือนติดเครื่องปรับอากาศในใจเลย
แต่แล้ว เจ้าหนูโทรทัศน์ก็กลับมาบ้าน ใหม่ๆ ก็เปิดเฉพาะช่อง DMC ช่องนี้ช่องเดียว แต่สองเดือนหลังนี้ มือเริ่มอยู่ไม่เป็นสุข ไปเปิดช่องละครน้ำไม่ดีดู ได้เรื่องเลย พอดูวันที่หนึ่ง ก็มีวันที่สอง มีวันที่สามตามมา ตอนดูก็สนุกดี น่ะ ละครแย่งโน้น แย่งนี้กัน บางทีก็แย่งหนุ่มๆ สาว ๆ บางทีก็แย่งสมบัติ ดูข่าวการเมือง ข่าวดุเดือด โอ๊ แม่เจ้า ทำไมมันเป็นกันได้ขนาดนี้ ไม่ได้ดูข่าวมาหนึ่งปี เป็นกันถึงขนาดนี้เลย
มารู้ตัวอีกที เวลาผ่านไปสองเดือน เราดูเกือบทุกวัน มาสังเกตใจตัวเอง มันหมอง ๆ มัวๆ ค่ะ เวลานั่งธรรมะ ก็ไม่ค่อยรวมง่ายเหมือนเมื่อก่อน เวลาเผลอๆ ตัว เมื่อก่อน จะ สัมมา อะระหัง แบบฮัมเพลง เวลาสบายใจ จะออกมาเองเป็นอัตโนมัติ แต่ตอนนี้ ดันฮัมเพลงในละคร
นั่นไง ใครบอกไม่มีผล เข้าใจแล้วว่า ทำไม มหาปูชานียาจารย์ท่านถึงสอนว่า อย่า ดู หนัง ดู ละคร เพราะมันเป็นข้าศึกกับเรา
ใจใสๆ กับใจ มัวๆ มันต่างกัน ถึงแม้จะมองไม่เห็น แต่หากสังเกตตัวเองสักนิด จะรู้ถึงความแตกต่างได้ง่ายมาก
ตอนนี้ ต้องเข็กหัวตัวเองแรงๆ แล้วเริ่มต้นใหม่ค่ะ (โอ๊ยเจ็บหัวจัง) เดี๋ยวอาทิตย์หน้าจะไปล้างใจ ไปปฏิบัติธรรมสามวัน จะได้ทำทาน รักษาศีล เจริญภาวนา เอาใจใสๆ ของเราคืนมาให้จงได้ ฮิ ฮิ
ใครยังติดละครน้ำไม่ดีอยู่บ้างเอ่ย ยกมือขึ้น
