
จะทำยังไงให้มีความคิดอยากเป็นพระโพธิสัตว์
#1
โพสต์เมื่อ 12 October 2009 - 09:37 AM
คือเราเป็นคนที่ มีความรู้สึกอยากไปจากวัฏฏะสังสาร ตลอดเวลา
แต่ไม่เคยคิดจะเอาใครไปด้วยเลยค่ะ
เจอคนกิเลสหนาปัญญาหยาบแล้ว รู้สึกอยากจะทิ้งไปเลย
เรามีสันดานที่เห็นความทุกข์ได้ง่ายตั้งแต่เด็ก ซึ่งต่างกับเด็กอื่นที่ไม่ได้อยากสนใจธรรมะตอนโต
เราถามทุกคนแหละค่ะที่สนิท เลยรู้ว่าไม่เหมือน
ตอนเด็กๆเคยคิดว่า (ตอนนั้นสี่ขวบ) ทุกวันที่ผ่านมา และในอนาคตข้างหน้าตอนโต เป็นไปไม่ได้ที่จะ
กันไม่ให้ความทุกข์แทรกเข้ามาได้เลย แม้เพียงแค่วันเดียว
แล้วก็ได้แต่สลดใจ (ตอนนั้นยังเป็นพุทธแค่ในทะเบียนบ้าน)
แต่พอได้พบพระพุทธศาสนาวิชชาธรรมกาย
ได้พบหมู่คณะ ก็รู้สึกดีมาก (พบที่มหาวิทยาลัยค่ะ)
พอปีสี่ คือปีที่แล้ว เราก็ได้ถามเพื่อนคนนึง โดยการเล่าความคิดสมัยเด็ก
ให้เพื่อนฟัง แล้วถามเค้าว่า คิดยังไง ตอนเด็ก คิดยังไงกับโลกและชีวิต
กลับได้คำตอบที่คาดไม่ถึง
เธอตอบว่า
"บ้านเราอยู่ชั้นสอง ตอนเล็กๆชอบมองลงไปข้างล่างซึ่งเป็นถนนเล็กๆ
มีคนในหมู่บ้านเดินกันพลุกพล่าน
มีวันนึง เห็นคนเยอะแยะมากมายเป็นพิเศษ ทุกคนดูวุ่นวาย มีการงานต้องทำ
ดูไม่มีความสุข ยิ่งดูไป คนก็เยอะ เยอะเหมือนมดเหมือนปลวก....
แต่เอาเถอะ เยอะแค่ไหน เราก็อยากจะช่วยให้พ้นทุกข์ไปด้วยกัน"
นี่คือความคิดของเด็กหญิงเล็กๆ ที่ยังไม่พบพระพุทธศาสนา !!!
เราก็ได้แต่อึ้ง และสาธุกับความคิดของเธอ
เราเป็นลูกหลวงพ่อเหมือนกัน แต่ทำไมไม่เคยคิดอะไรแบบนี้เลย
ความคิดจะพาสัตว์ข้ามพ้นทุกข์ ได้ยินมาว่าจำเป็นมากกับการอยู่ทีมเรา
และมันส่งผลต่อการกลับดุสิตบุรีด้วย
อยากมีความคิดนี้บ้าง ช่วยแก้ความคิดนี้ให้ไปอยู่ในส่วนลึกในจิตใจเราหน่อยได้ไหมคะ
เราไม่รู้ว่าเราบำเพ็ญบารมีอะไรมา(เราเชื่อว่าลูกหลวงพ่อทุกคนต้องเป็นผู้มีบุญระดับหนึ่งแหละ)
ถึงได้มีความคิด อย่างเดียวคืออยากไป อยากไป อยากไป
พอเจอคนเลวก็อยากเหวี่ยง เราไม่มีเมตตาจะพาบัวใต้ตมไปเลยแม้แต่น้อย
เราศรัทธากับเป้าหมายของทีมมาก เราอยากเปลี่ยนเป็นพันธุ์รื้อวัฏฏะด้วย
ขอเพื่อนสมาชิกจงช่วยชี้แนะวิธีคิดด้วยค่ะ พยายามคิดแล้วแต่ยังไม่เป็นธรรมชาติซักที
ความเมตตา ต่อสรรพสัตว์นี่ปลูกไม่ใช่ง่ายเลยนะ เห้อออออ
#2
โพสต์เมื่อ 12 October 2009 - 12:26 PM
ไม่ต้องกังวล ขอแค่สร้างบารมีตามหลวงพ่อ ว่ายังไงให้ว่าตามกัน ก็โอคับ
#3
โพสต์เมื่อ 12 October 2009 - 03:54 PM
แต่สำหรับความคิดเห็นของข้าพเจ้าแล้ว
จะคิดแบบไหน จะรื้อวัฏฏะ หรือจะหนีวัฏฏะ อย่างไรเสีย ก็ต้องหมั่นทำทาน รักษาศีล ทำภาวนา ไม่มีต้นแบบไหน จะดีไปกว่าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าอีกแล้ว
ทำเยอะๆเข้า มากๆ เข้า ก็จะได้หลุดพ้นจากวัฏฏะ เช่นเดียวกันค่ะ
บางที เราไม่ต้องคิดอะไรมากมายหรอก แค่คิดว่า ทำอย่างไร ให้วันนี้เรามีความสุข พิจารณาว่า เราทำทานหรือยัง รักษาศีลดีกว่าเมื่อวานไหม แล้วก็ทำภาวนาหรือป่าว หมั่นสังเกต สร้างความสม่ำเสมอ รักษาระดับ ถ้าวันนี้ทำได้น้อยกว่าเมื่อวาน ก็เอาใหม่
ทำไปเรื่อยๆ ฝั่งอาจจะยังมองไม่เห็นก็ทำไป และเชื่อมั่นว่ามันคงต้องมีสักวัน ที่เป็นวันของเรา
ใครรอบข้างจะเป็นอย่างไร ก็ปล่อยๆ ไป เอาบุญติดตัวไว้ก่อน ติดแข้งติดขาไปก่อน อธิษฐานไปเรื่อยๆ อยากเป็นอะไร เราก็ดีไซน์ชีวิตของเราเองตามแรงอธิษฐานค่ะ
ขอให้โชคดีค่ะ
อ้ายที่อยากมันก็หลอก อ้ายที่หยอกมันก็ลวง ทำให้จิตเป็นห่วงเป็นใย.."
พระมงคลเทพมุนี (สด จันทสโร)
#4
โพสต์เมื่อ 12 October 2009 - 04:58 PM
พวกเราทราบกันดีว่าดวงบุญ ดวงบารมีนั้นมี 3 ระดับ
2. บารมีอย่างปานกลาง เรียกว่า อุปบารมี คือ การบำเพ็ญความดีอย่างยิ่ง ชนิดที่ยอมสละได้แม้เลือดเนื้อและอวัยวะเพื่อความดีนั้น
3. บารมีอย่างสูงสุดอุกฤษฏ์ เรียกว่า ปรมัตถบารมี คือ การบำเพ็ญความดีอย่างยิ่ง ชนิดที่ยอมสละได้แม้ด้วยชีวิต
และพวกเราก็ทราบกันอีกว่า เราต้องสร้างบารมีทั้ง 10 ทัศ ทั้ง ทาน ศีล เนกขัมมะ ปัญญา วิริยะ ขันติ สัจจะ อธิษฐาน เมตตา อุเบกขา เพื่อให้หลุดพ้นจากวัฏฏะสงสาร
ขณะนี้ดวงเมตตาบารมีของ นรอ.formerinda อาจจะเล็กเท่าเม็ดทรายอยู่ก็ได้ ฉะนั้นก็ต้องหมั่นเร่งสร้างเมตตาบารมี ให้ดวงบารมีนั้นมากขึ้น ใหญ่ขึ้น ให้ดวงบารมีโตขึ้น จากเม็ดทราย เป็นเม็ดถั่วเขียว เป็นไข่แดง จนโตเป็นคืบ เป็นศอก เป็นวา
ถ้าไม่อยากให้เป็นแบบนี้
- ต้องเร่งสร้างบุญมากๆ ทั้ง ทาน ศีล ภาวนา
- เร่งสั่งสมเมตตาบารมี จากบารมีอย่างธรรมดาเป็นอุปบารมี และปรมัตถบารมี ตามลำดับ
- ต้องเชื่อหลวงพ่อ "ว่าอย่างไร ว่าตามกัน"
- ในชีวิตอาจจะยังไม่ได้พบเจออะไรกับตัวเอง ที่เป็นเรื่องที่วิเศษที่สุด อัศจรรย์ที่สุด ตื้นตันที่สุด ซาบซี้งที่สุด ที่ทำให้มีความคิดอยากให้คนทั้งโลกได้รับรู้ เหมือนที่ตัวได้รู้ อยากให้ทุกคนในโลกได้สัมผัสเหมือนที่ตัวได้สัมผัส เมื่อนั้นไม่ว่าคนดีหรือคนเลว เราก็อยากบอกเรื่องราวที่เราได้พบเจอให้พวกเค้าได้รับฟัง
ถ้ายังไม่สามารถมีความเตตาให้กับทุกคนได้ ให้ลองดูตัวอย่างของหลวงพ่อครูไม่ใหญ่ ที่ท่านมีเมตตามาก แม้ร่างกายท่านเจ็บป่วย แต่ท่านก็มีเมตตาต่อสาธุชน ท่านต้องออกมาสั่งสอนทุกๆ คนผ่าน DMC ทุกๆ วัน ไม่เว้นแม้แต่ละวัน ไม่เลือกวรรณะ ไม่เลือกชนชั้น ไม่เลือกแม้ดีหรือเลว แม้ต้องพูดสิ่งเดิมหลายๆ ครั้ง ทั้งพูดย้ำเตือนคนเก่าๆ และสอนคนใหม่ๆ ท่านก็พร่ำพูดสั่งสอนด้วยความเมตตา ท่านไม่เคยบ่นว่าเหนื่อยและขอหยุดสอนซักวัน
เวลาที่รู้สึกตัวว่าเราขาดความเมตตาต่อสรรพสัตว์ เราก็ลองนึกถึงความเตตาอย่างไม่มีประมาณที่หลวงพ่อมีต่อพวกเรา เราเป็นลูกศิษย์ท่าน ก็ให้ลองคิด และทำตามแบบท่าน
แต่มีอย่างนึงที่เราต้องไม่ลืมนะคะว่า ถ้าเรายังมีบุญบารมีไม่มากพอ บางครั้งเราก็ไม่สามารถหาวิธีการมาทำให้คนไม่ดีเข้าใจคำพูดเราได้นะคะ จนกว่าบุญในตัวเรา และบุญในตัวคนที่เราจะสอนมากพอ จึงจะสามารถสอนคนอื่นได้ บางครั้งเราจึงต้องรอ และวางอุเบกขาไปพลางๆ ก่อน
ส่วนเรื่องความคิด ดิฉันเชื่อว่าวงบุญพิเศษ ย่อมคิดไม่เหมือนคนอื่น ย่อมคิดสอนตัวเองได้ แม้มากน้อย ต่างกัน ตั้งแต่เด็กๆ ย่อมคิดแตกต่าง ซ้ำบางครั้งมีความคิดอ่านแหวกแนว และใหญ่เกินตัวกว่าที่เด็กจะคิดได้
จากที่ได้ลองถามเพื่อนๆ ที่รู้จัก จะเห็นได้ว่าคนที่เข้าวัดและเข้าใจการสร้างบารมี โดยเฉพาะคนที่เอาชีวิตเป็นเดิมพันในการสร้างบารมี จะมีความคิดความอ่านแตกต่างๆ จากคนอื่นๆ แตกต่างจากคนที่ไม่เข้าใจการสร้างบารมีของบุคคลที่อยุ่ในวงบุญพิเศษ
ยกตัวอย่างเช่นป้าหวิน ตอนเด็กๆ ท่านก็ไม่ฆ่าสัตว์ และไม่อยากให้พ่อแม่ฆ่าสัตว์ และยังมีเรื่องอื่นๆ อีก(ที่จำไม่ได้ไม่แม่นอ่ะค่ะ จำได้แต่เรื่องนี้)
แม้ดิฉันเองก็คิดสงสัยว่าคนเราเกิดมาทำไมตั้งแต่เด็ก คิดสงสัยว่าทำไมต้องเรียน ต้องไปโรงเรียน โตขึ้นก็ต้องดิ้นรนต่อสู้ ต้องทำงาน ต้องเหนื่อย ต้องมีลูก ต้องเลี้ยงลูก ต้องป่วย ต้องแก่ แล้วสุดท้ายทุกคนก็ต้องตายเหมือนกันหมดทุกคน แล้วทุกคนต้องดิ้นรนทำสิ่งเหล่านี้ไปทำไม ไม่เห็นมีประโยชน์เลย
ความพร้อมเกิดขึ้น เมื่อเริ่มต้นลงมือทำ (โอวาทหลวงพ่อ 27/4/51)
ไม่มีสิ่งใดที่จะรัดตรึงใจบุรุษให้หลงใหลได้มากเท่ากับสตรี ไม่มีสิ่งใดที่จะรัดตรึงใจสตรีให้หลงใหลได้มากเท่ากับบุรุษ
แท้จริงแล้วความรักก็เปรียบดั่งเครื่องพันธนาการ ที่มัดตรึงเหนียวแน่น ให้ลุ่มหลงอยู่ ย่อมจะต้องเวียนว่ายตายเกิดและจมอยู่ในกองทุกข์ร่ำไป
#5
โพสต์เมื่อ 12 October 2009 - 05:33 PM
หลวงพ่อพระมงคลเทพมุนี (หลวงพ่อสด จนฺทสโร)
จิต ของตัว ที่เอิบอาบในลูกที่เกิดในอกของตนนั่นแหละ จำได้รสชาติใจนั้นแน่ เอาใจดวงนั้นแหละ เอาไปรักใคร่ เข้าในบุค คลอื่นทุกคน เหมือนกับลูกของตน ให้มีรสมีชาติอย่างนั้น ถ้ามีรสมีชาติ อย่างนั้นละก็ เมตตา พรหมวิหาร ของตน เป็นแล้ว เมื่อเมตตาพรหมวิหาร เป็นขึ้นเช่นนี้แล้วอัศจรรย์นัก ไม่ใช่พอดีพอร้าย ให้ใช้อย่างนี้ ใช้จิตของตน ให้เอิบอาบ ถ้าว่าทำจิต ไม่เป็นก็แผ่ได้ยาก ไม่ใช่แผ่ได้ง่าย แต่ลูกของตนแผ่ได้ ลูกออกใหม่ๆน่ะเอิบอาบ ซึมซาบรักใคร่ ถนอมกล่อมเกลี้ยงบุตรของตน กระฉับกระเฉง แน่นแสนเพียงใด ให้เอาจิตดวงนั้นแหละมาใช้ เรียกว่า เมตตาพรหมวิหาร เอาไปใช้ในคนอื่นเข้า ก็รักใคร่อย่างนั้นแหละ เมตตารักใคร่อย่างนั้นแหละ เมตตารักใคร่อย่างบุตรน่ะฯ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ บุคคลที่เข้าถึงแล้ว ถึงพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ถึงพระพุทธเจ้าก็ถึงตัวธรรมกาย ถึงตัวธรรมกายก็หมือนถึงพระพุทธเจ้าถึง ธรรมกาย ได้ธรรมกาย ไปกับธรรมกายได้ ไปนรกสวรรค์ ไปนิพพานได้ ผู้เข้า ถึงไตรสรณคมน์ ถึงพุทธรัตน เช่นนี้ละก็จะรู้จัก คุณพุทธรัตนว่า ให้ความสุข แก่ตัวแค่ไหน บุคคลใด เข้าถึงแล้ว ก็ปลาบปลื้ม เอิบอิ่มตื้นเต็ม สบายอก สบายใจ เพราะพุทธรัตนบันดาลสุขให้แล้ว ส่งความสุขให้แล้ว ถึงว่าจะให้ความสุขเท่าไร มากน้อยเท่าไรตามความปรารถนาสุขกายสบายใจ เรามีอายุยืน เจริญหนักเข้า มีอายุยืน ทำหนักเข้า ทำชำนาญ หนักเข้า ในพุทธรัตน มีคุณเอนก เวลาเจ็บ ก็ไม่อาดูร ไปตามกาย เวลาจะตาย ก็นั่งยิ้ม สบายอกสบายใจ เห็นแล้วว่า ละจากกายนี้ มันจะไปอยู่โน้น เห็นที่อยู่ มีความปรารถนานี่คุณ ของพุทธรัตน พรรณนาไม่ไหว นี้เรียกว่า คุณพระพุทธเจ้า คือ ธรรมกายฯ
เราตั้งใจแบบ แบบเดียวกับ พระพุทธเจ้า ท่านตั้งอย่างไร ท่านทำอย่างไร ท่านสอนอย่างไร ท่านก็สอนว่า ท่านสอนพวกเรา ให้อดใจ ให้อดทน คือ อดใจ อดใจเวลาโลภ หรือ อภิชฌาเกิดขึ้น หยุดนิ่งเสีย รู้นี่รสชาติ อภิชฌา อยากจะได้สมบัติ ของคนอื่น เป็นของๆตน อยากกว้างขวาง ใหญ่โตไปข้างหน้า ต้องหยุดเสีย อดทนหรืออดใจเสีย ประเดี๋ยวก็ดับไป ดับไปด้วยอะไร ด้วยความอดทน คืออดใจนั่นแหละความโกรธประทุษ ร้ายเกิดขึ้น นิ่งเสีย อดเสีย ไม่ให้คนได้ยิน ไม่ให้คนอื่นรู้กิริยาท่าทาง ทีเดียว ไม่แสดงกิริยามารยาท ให้ทะเลิกทะลัก แปลกประหลาด อย่างผีเข้าสิงทีเดียว ไม่รู้ทีเดียวนิ่งเสียกะเดี๋ยวหนึ่งความ โกรธประทุษร้ายหายไป ดับไปพยาบาทนั้นหายไปมิจฉาทิฏฐิเกิดขึ้น มิจฉาทิฏฐินั้น แปลว่าเห็นผิดล่ะรู้อะไรไม่จริงสักอย่าง เลอะๆ เทอะๆ เกิดขึ้น หยุดเสียไม่ช้ากระเดี๋ยวดับไป
นั่นแหละความโลภเกิดขึ้น อภิชฌาให้ดับไปได้ อภิชฌาเกิดขึ้นชั่วขณะ อดเสียให้ดับไปได้ ฆ่าอภิชฌาตายครั้งหนึ่ง นั่นเป็น นิพพานปัจจัย เชียว จะถึงพระนิพพานโดยตรงทีเดียว ความพยาบาทเกิดขึ้น ให้ดับลงไปเสียได้ ไม่ให้ออกไม่ให้ทะลุทะลวง ออกมาทางกายทางวาจา ให้ดับไปเสียทางใจนั่นดับไปได้คราวใดคราวนั้นได้ชื่อว่า เป็นนิพพานปัจจัยเชียวหนา สูงนัก กุศล นี้สูง จะบำเพ็ญกุศลอื่น สู้ไม่ได้ทีเดียว หยุดนิ่งเสีย ไม่ช้าเท่าไร ประเดี๋ยวเท่านั้น ความเห็นผิดดับไป นั่นเป็น นิพพานปัจจัย ทีเดียว นี่ติดอยู่กับขอบนิพพานเชียวหนา
ถ้าให้ทาน ให้ได้ทุกสิ่งทุกอย่าง แต่ของชอบใจไม่ให้ เก็บเสียซ่อนเสีย ของไม่ดี ที่ไม่เสมอใจให้เสีย ให้อย่างนี้มันเลือกได้ ให้ของไม่ดี เป็นทาน เป็นทาสทาน จัดว่า ยังเข้าไม่ถึงสหายทาน เป็น ทาสทาน แท้ๆ เพราะเลือกให้ หากว่า มีมะม่วงสัก สามใบตั้งขึ้น ก็จะให้ใบเล็กเท่านั้นแหละ เอามะม่วงสามใบเท่าๆกัน ก็จะให้ใบที่ไม่ชอบใจนั่นแหละ เอาม่วงสามใบเสมอ กัน ก็จะเลือกเอาอีกแหละลูกที่ไม่ชอบใจจึงให้ ลูกที่ชอบไม่ให้ หรือมันใกล้จะสุกแล้วไม่ให้ ให้ที่อ่อนไปอย่างนี้ อย่างนี้เป็น ทาสทาน ไม่ใช่ สหายทาน ถ้าให้ สหายทาน จริงแล้ว ก็ตัวบริโภค ใช้สอยอย่างไร ให้อย่างนั้นเป็นสหายทาน ถ้าว่า สามีทาน ละก็ เลือกหัวกระเด็นให้ เลือกให้ ของทีไม่ดีกว่านั้นต่อไป ถ้าเลือกหัวกระเด็นให้เช่นนี้ละ ก็เป็น สามีทาน ลักษณะโพธิสัตว์ เจ้าให้ทานนะ ให้สามีทาน ให้สหายทาน สามีทานทีเดียว ทาสทาน ไม่ให้นี้ เราสามัญสัตว์ ชอบให้แต่ของที่ไม่ประณีต ไม่ เป็นที่ของที่ชอบเนื้อเจริญใจละก็ ให้มันก็เป็นทาสทานไปเสมอที่ตนใช้สอย มันก็เป็นสามีทานไปแต่ว่าพวกเราที่บัดนี้เป็น สามีทาน อยู่ก็มี เช่นเลี้ยงพระสงฆ์องค์เจ้า ตบแต่ง สูปพยัญชนะ เกินกว่าเรา บริโภคทุกวันๆ ที่เกินใช้สอยเช่นนี้ เป็นสามีทาน ประณีตบรรจงแล้วจึงให้ อย่างนี้เรียกว่าเป็นสามีทานฯ
ขั้นสมถะนี่ กายมนุษย์ กายมนุษย์ละเอียด กายทิพย์ กายทิพย์ ละเอียด กายรูปพรหม กายรูปพรหม ละเอียด กายอรูปพรหม กายอรูปพรหมละเอียด นี่มันขั้นสมถะ แต่รูปฌานเท่านั้นเลยไปไม่ได้ พอถึงกายธรรม มันขึ้นวิปัสสนา ตาพระพุทธเจ้าท่าน ก็เห็น เบญจขันธ์ทั้ง 5 เป็นอนิจจังทุกขังอนัตตาแท้ๆ เห็นจริงๆจังๆ อย่างนั้นละ เห็นแท้ทีเดียว เห็นชัดๆไม่ได้เห็นด้วยตา กายในภพ เห็นด้วยตาธรรมกาย รู้ด้วยญาณธรรม กายเห็นอย่างนี้แหละเห็นด้วยตาของพระตถาคตเจ้า รู้ด้วยญาณของพระ ตถาคตเจ้า ธรรมกายนั่นเป็นตัวของพระตถาคตเจ้าทีเดียว ไม่ใช่อื่นเห็นชัดอย่างนี้นี่แหละ เห็นอย่างนี้แหละเขาเรียก วิปัสสนา เห็นเบ็ญจขันธ์ 5 เป็น อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา
เห็นเป็น อนิจจังน่ะเห็นอย่างไร เห็นตั้งแต่กายมนุษย์เถิด กายมนุษย์ เกิดไม่อยู่ที่ เกิดไปเรื่อยๆ เกิดริบๆ เหมือนไฟจุดอยู่ มีไส้มีน้ำมัน มีตะเกียงจุดมันก็ลุกโพลง เราเข้าใจว่าไฟดวงนั้นเป็นอย่างนั้นแหละ ไอ้กายมนุษย์มันก็เป็นอย่างนั่นแหละแต่ ตาธรรมกายไม่เห็นอย่างนั้น เห็นไฟเก่าหมดไปไฟใหม่เดินเรื่อยขึ้นมา ไฟเก่าหมดไปไฟใหม่เดินเรื่อยขึ้นมาแล้วก็เอามือ คลำดูข้างบนก็รู้ ร้อนวูบๆ ๆ ๆ ไป อ้อ ไฟใหม่เกิดเรื่อย กายมนุษย์นี้ ก็เช่นเดียวกัน ไอ้เก่าตายไปไอ้ใหม่เกิดเรื่อย หนุนไม่ได้ หยุดเหมือนไฟ เหมือนดวงไฟอย่างนั้นแหละ ไม่ขาดสาย มันเกิดหนุนอย่างนั้น นั่นเห็นขนาดนั้น เห็นเกิดเห็นตายเรื่อย เกิดแล้ว ก็ตายไปเกิด แล้วก็ตายไป ไม่มีหยุดละ เหมือนกันหมดทั้งโลก เห็นทีเดียวว่ามีแต่เกิดกับดับ ยงฺกิญจิ สมุทยธ มฺมํ สพฺพนฺตํ นิโรธธมฺมํ สิ่งทั้งปวงมีความเกิดเป็นธรรมดา ย่อมมีความเกิดเสมอ สิ่งทั้งปวงมีเกิดเสมอมีความดับเสมอ มีเกิดกับดับสองอย่างเท่านั้น หมดทั้งสากลโลก เห็นด้วยตาธรรมกาย รู้ด้วยญาณธรรมกายจริงๆ อย่างนี้ นี้ทำเป็นวิปัสสนา เห็นจริงเห็นจังอย่างนี้ฯ
คัดย่อมาจาก หนังสืออมตวาทะของพระมงคลเทพมุนี
ขอแนะนำเพิ่มเติมว่า ให้อธิษฐานจิตดังๆ ด้วย เช่นว่า ขอให้ข้าพเจ้าให้มีความเมตตาต่อทุกสรรพสัตว์ ดังเช่นพระโพธิสัตย์ผู้ปราถนาให้ผู้อื่นพ้นทุกข์ ---การอธิษฐานทุกๆ วันเป็นการวางผังชีวิตที่ดีมากๆ และเป็นการวางโปรแกรมให้ความคิดและใจของเราด้วยค่ะ
Last edit 15/10/52 5:16 pm
ความพร้อมเกิดขึ้น เมื่อเริ่มต้นลงมือทำ (โอวาทหลวงพ่อ 27/4/51)
ไม่มีสิ่งใดที่จะรัดตรึงใจบุรุษให้หลงใหลได้มากเท่ากับสตรี ไม่มีสิ่งใดที่จะรัดตรึงใจสตรีให้หลงใหลได้มากเท่ากับบุรุษ
แท้จริงแล้วความรักก็เปรียบดั่งเครื่องพันธนาการ ที่มัดตรึงเหนียวแน่น ให้ลุ่มหลงอยู่ ย่อมจะต้องเวียนว่ายตายเกิดและจมอยู่ในกองทุกข์ร่ำไป
#6
โพสต์เมื่อ 12 October 2009 - 05:54 PM
#7
โพสต์เมื่อ 12 October 2009 - 07:15 PM
สมัยเด็กๆ เคยอ่านการ์ตูนเรื่องหนึ่ง พระเอกในเรื่องนั้น มีความคิดอยากช่วยมนุษย์ทั้งโลก แต่เพื่อนพระเอกไม่เคยคิดอยากช่วยมนุษย์ทั้งโลก เขาคิดอย่างเดียวว่า เขาศรัทธาในพระเอก เขาอยากช่วยพระเอก
และเพียงแค่คิดอย่างนี้ เขาสามารถช่วยภารกิจของพระเอกได้อย่างมากมาย โดยที่เขาไม่คิดช่วยมนุษย์ทั้งโลกเลย แค่คิดช่วยพระเอกเท่านั้นเอง
#8
*sky noi*
โพสต์เมื่อ 12 October 2009 - 07:22 PM
อยากให้ใจใหญ่ก็ต้องขยายใจ
จะขยายใจก็ต้อง
นั่งธรรมะ
มีเมตตา
อยากให้ผู้อื่นพ้นทุกข์
เห็นทุกข์ภัยในวัฏฏะนี้
มาถึงวันนี้ได้แล้ว
อย่างน้อยก็ขอให้ได้สร้างบารมีตามติดท่านไปทุกภพทุกชาติ
หรืออย่างน้อยที่สุด
อย่าให้พระโพธิสัตว์
ต้องมาเหนื่อยกับเราเลย

#9
โพสต์เมื่อ 12 October 2009 - 09:39 PM
เราจะนำไปปฏิบัติ จริงๆนะ สาธุกับทุกคำตอบค่ะ
#11
โพสต์เมื่อ 13 October 2009 - 03:57 PM
หรือไม่ก็จำ "คำสอน"ของครูบาอาจาร์ มาพูด มาคุย โดยไม่เข้าใจ
ถึง ความหมายที่แท้จริง ขณะเดียวกันก็ "ย่อหย่อน"ละเลยที่จะ ระมัดระวัง
รักษาใจให้ละเอียดและอ่อนโยน มีเมตตา กรุณา มุทิตา และ
อุเบกขา อยู่เสมอแล้วละก็ ก็ยากที่จะข้ามพ้นวัฏฏะนี้ไปได้
แต่ตอนนี้ น้ำใสว่า เราลืมทุกอย่างวางทุกสิ่งที่เป็นเครื่อง "ขวางใจ"
แล้วรีบเดินหน้า ทำทาน รักษาศีล และเจริญสมาธิภาวนาให้เข้มข้น
กันดีกว่า ส่วนจะติดตามหรือตามติดหมู่คณะกลับดุสิตบุรีได้หรือไม่นั้น
คงจะรู้ผลในชาติปัจจุบันี้แหละ
เหมือนดอกบัวทะยานตัวขึ้นสู่ผิวน้ำ เปิดกลีบรับแสงตะวันธรรม
น้อมนำสู่วิถีอันดีงาม