
ยังอยากจะมี ความรัก กันอีกไหม
#1
โพสต์เมื่อ 12 February 2010 - 09:52 PM
มีสมาชิก ท่านใด ยังอยากมีความรัก แบบชู้สาว อีกบ้างคะ
#2
โพสต์เมื่อ 13 February 2010 - 08:44 AM
ไฟล์แนบ
#4
โพสต์เมื่อ 13 February 2010 - 09:58 AM
นำให้ตอบว่า "เข็ดแล้วจ้า ความรักแบบชู้สาว"
แต่ถึงอย่างไรก็ดีตามธรรมชาติของคนเรา ก็ยังคงไขว่คว้าหาความรักอยู่ดี เพียงแต่เราใช้ความรักนั้นให้เป็นประโยชน์ต่อการสร้างบารมีของเราหรือเปล่า หรือเพียงแค่ใช้ความรักนักเพื่อความหลงไหลเพลิดเพลินกับกระแสโลกไปวันๆ ถ้าเป็นเช่นนั้นชาตินี้ก็คงเกิดมาเสียชาติเกิด (แรงไปหน่อยโทษทีๆ) ว่าแล้วก็เชิญบวชอุบาสิกาแก้หน่ออ่อนกันเยอะๆ นะครับ มาตามหาสิ่งที่ควรรักกันดีกว่า
happy&smile
#5
โพสต์เมื่อ 13 February 2010 - 11:44 AM
#6
โพสต์เมื่อ 13 February 2010 - 11:57 AM
ต้องอธิบายให้ชัดเจน เดี๋ยวจะได้ไม่เข้าใจผิด เนื่่องจากเคยมีเคสถามครูไม่ใหญ่มาในอดีตว่า พอเข้าใจเรื่อง DMC แล้ว เลยอยากเลิกกับสามี และอยากเข้าวัดเป็นอุบาสิกา เนื่องจากทุกข์ทนจากการมีคู่ครองอย่างนั้นอย่างนี้
ซึ่งคุณครูท่านก็ได้กรุณาตอบให้เข้าใจครับว่า "ความคิดอย่างนั้น มันควรจะเป็นความคิดตอนก่อนแต่งงาน หากแต่งงานแล้ว ต้องรับผิดชอบสิ่งที่เกิดตามมาภายหลังด้วยคร้าบ... ยิ่งถ้ามีบุตรด้วยกันแล้ว ยิ่งต้องรับผิดชอบบุตรให้เต็มที่นะครับ พออิ่มตัวแล้ว ถ้าคิดจะเข้าวัด ก็พูดคุยกันในครอบครัวให้ดี อย่างนี้ไม่มีปัญหาคร้าบ....
#7
โพสต์เมื่อ 13 February 2010 - 05:19 PM
ลิ้นกับฟันนั้นย่อมกระทบกันบ้างเป็นธรรมดา ท่านหัดฝันใช้คำว่า "คร๊าบ....." บ่อยมากครับ น้ำเสียงนั้นมันเสียดแทง และกระทบกระเทือนจิตใจคนมีครอบครัวย่ิง ฮิ ฮิ (ขำนะครับ) เอาเป็นว่า ตลอดเวลาหลังจากมีครอบครัวแล้ว ต้องปรับจูนเรื่องทั้งสามให้ balance ตลอดเวลานะครับ คือ ศรัทธา ศีล และ ทิฐิ (เอ๋อันนี้สงสัย รวมปัญญาด้วยเปล่าครับ) และที่สำคัญเวลาทะเลาะกันมันต้องมีคนนึงเป็นคนยอมนะครับ มิงั้นไม่จบ ฮิ ฮิ
ขอบคุณครับท่านประธาน :-)
#8
โพสต์เมื่อ 13 February 2010 - 10:07 PM
ไม่ว่าเค้าจะผิดหรือถูก เราจะเป็นฝ่ายผิดเสมอ และจะต้องเป็นฝ่ายง้อเค้าทุกครั้ง ยังดีที่ยังมีลูกชายที่น่ารักและเข้าใจ
#9
โพสต์เมื่อ 13 February 2010 - 11:30 PM
ฮิ ฮิ ท่าทางชีวิตคู่ส่วนใหญ่จะประมาณเนี่ยมั้ง แต่คู่ผมสลับกันหน่อยตรงง้อกับงอน นอกนั้นเหมือนกันยังกะแกะ ฮ่า ฮ่า
น้องๆ ท่านใดยังไม่ตัดสินใจ เดือนแห่งความรักนี้ มารักตัวเองกันดีกว่าา แล้วรีบมาสมัครเป็นบัณฑิตอาสากันนะครับ ปลอดภัยไร้กังวลกว่าเยอะ ฟันธง :-)
#10
โพสต์เมื่อ 14 February 2010 - 04:32 PM
#11
โพสต์เมื่อ 15 February 2010 - 10:09 AM
#12
โพสต์เมื่อ 15 February 2010 - 10:53 AM
กระทู้ก่อนแต่ง
กระทู้หลังแต่ง
เสียดายที่ฟังคำเทศน์หลวงปู่สดช้าไป
หรือคงเป็น มารมาลองใจ กันแน่
หลวงปู่บอกว่า "มนุษย์เรานี่โง่นัก
ที่อื่นไม่ใช่ของตัว ให้เอาใจจรดที่ของตัวอย่าถอยกลับ
ให้ถึงกายที่สุดให้ได้ว่ากายที่สุดอยู่ที่ไหน
เมื่อไปถึงที่สุดของตัวได้ ก็รักษาตัวได้
ไม่มีใครมาบังคับบัญชา
ถ้าไม่ถึงที่สุดของตัวก็ต้องถูกเขาบังคับบัญชาเสมอ
เวลานี้พญามารเขาบังคับให้เป็นบ่าวเป็นทาส
ให้ทำอะไรทำได้
เพราะตัวไม่เป็นอิสระในตัว เพราะตัวไม่เป็นใหญ่ในตัว
เพราะตัวไม่รู้จักที่สุดของตัว
นี่มนุษย์โง่ขนาดนี้เห็นมั๊ยล่ะ
อย่าให้หลงเลอะเทอะไหลเล่อ เอ้า..แล้วมีครอบครัวได้อะไรล่ะ
ลูกคนนึง แล้วเอามาทำไมล่ะ เอามาเลี้ยง
10คนเอ้า เอามาเลี้ยงยังไงก็เลี้ยงไปเถอะ บ่นโอ้กแล้ว
ได้50 คน เอาล่ะสิคราวนี้
อยากได้ลูกใช่มั๊ยล่ะ ไม่จริงเหลว
โกงตัวเอง พาให้เลอะเลือนโกงตัวเองไม่ให้ไปค้นตัวเองให้ถึงที่สุด
ไม่ตรวจตัวให้ถึงที่สุด เป็นมนุษย์กับเขาทั้งที เพราะเชื่อกิเลสเหลวไหลเหล่านี้หล่ะ พาให้เลอะเลือน
จะครองเรือน ไปอีก 100 ปี ก็ครองไปเถิด งานเรื่องของคนอื่นเขาทั้งนั้น
เรื่องของพญามารทั้งนั้น เรื่องของตัวไม่ใช่งานของตัว
ไปทำงานให้พญามารเขาทั้งวันทั้งคืน เอาเรื่องอะไรไม่ได้
เพราะอะไรล่ะ เพราะไม่รู้อิโหน่อิเหน่ เกิดมาพบอะไรก็ไปอย่างนั้นล่ะ
เพราะไม่ได้ฟังธรรมจากพระพุทธเจ้าพระอรหัตถ์ ไม่ได้ฝึกใจ
ไม่ได้ฟังธรรมของสัทธบุรุษ ความเห็นก็เหลวไหลไปดังนี้
เมื่อรู้จักอย่านี้แล้ว นี่หล่ะคือความจริงทางพระพุทธศาสนา
นี่.....เป็นข้อที่ลึกซึ้ง"
ข้างบน เป็นคำเทศนาของหลวงปู่สด ที่ผมพยามแกะมาจากเทปนะครับ
ได้ฟังยิ่งสะท้อนใจตัวเอง เรากำลังทำอะไรอยู่นี่
ทำให้ตัวเองช้าไปอีก หรือทำให้ตัวเองไปเร็วขึ้น
โดนเขาบังคับบัญชามาโดยตลอด
ก็เล่นเอาใจออกนอกตัว ผลก็ต้องลงเอยทุกคน
สมมุติ นะครับสมมุติว่า อีก 3 ปี โลกจะแตกแล้ว
ตอนนี้เราผ่านมาได้ 3 ปีแล้ว เราทุกคนไปภพภูมิต่าง ๆ
สมมุติว่าอยู่สวรรค์ชั้นใดก็ได้
แล้วเราก็กำลังนึกถึงบุญที่เราทำมาในตอนอดีต
ที่เมื่อเป็นมนุษย์ แล้วลองคิดสิครับว่า
ถ้ารู้อย่างนี้แล้ว 3 ปีที่รู้ก่อนว่าโลกจะแตก เราควรทำอะไร
1.สั่งสมบุญ
2.สั่งสมบาป
3.เอาใจออกนอกตัว
4.เอาใจเข้าหาตัว
5.รีบแต่งงานมีลูก
6.รีบบวช ไม่ว่ากรณีใด ๆ ทั้งสิ้น
7.บวชแล้วไม่สึก หมั่นหยุดใจ จนลมหายใจสุดท้าย
8.อื่น ๆ
ผมคิดว่าหากจะลองมีความรักแบบหนุ่มสาว
ลองถามตัวเองก่อนว่า นี่เป็นงานของมารเขาหรือเปล่า
เรากำลังทำงานให้กับเขาอยู่หรือเปล่า
เขาหลอกล่อให้เราเอา ใจออกนอกศูนย์มั๊ย
เวลาเราคิดถึงแฟนถึงคนรัก ใจเราอยู่กับตัวหรือล่องลอยไป
หลวงปู่บอกว่า "ที่เวียนว่ายตายเกิด ก็เพราะเอาใจออกนอกศูนย์กันนี่หล่ะ
เวลาใกล้ตาย ใจมันก็จะออกนอกศูนย์ท่าเดียว คือมันจะไปเวียนว่ายตายเกิดอีก
ถ้าหยุดใจ ฝึกหยุดใจมาเป็นอย่างดี ใจมันก็ไม่ออกนอกศูนย์
มันก็ไม่เวียนว่ายตายเกิดอีก นี่มันเป็นอย่างนี้"
พอผมฟังเทปถึงตรงนี้เหมือนกับว่าผมเกิดมาเพื่อมาฟังประโยคนี้ให้ได้โดยเฉพาะ
เกิดมาแล้วได้มาฟังหลวงปู่ไม่เสียชาติเกิดจริง ๆ ครับ แม้ได้ฟังจากเทปก็ตาม
ที่เหลือต้องรีบตัดสินใจแล้วครับ
#13
โพสต์เมื่อ 15 February 2010 - 11:53 AM
คุณ หยุด นิ่ง ใส ครับ ผมว่าเป็นบทความที่ดีมากๆ เลยครับ น่าจะไป post ที่บทความนะครับ
เอาชื่อที่ผม qute ไว้นี่หละครับ ได้ใจมากๆ อ่านแล้ว ฮืม ฮืม
อยากจะบอกกับน้องๆ ที่ยังไม่แต่งงานจริงๆ ว่า เป็นดั่งคำหลวงปู่บอกทุกประการครับ แต่เมื่อตัดสินใจไปแล้ว
มันก็ต้องคิดในมุมมองแบบนักสร้างบารมีกันต่อไป แต่น้องๆ ท่านใดยังไม่แต่งงานนะครับ ฟังคำหลวงปู่ คุณยาย หลวงพ่อเยอะๆ นะครับ
ขออนุโมทนาบุญกับบทความดีๆ
#14
โพสต์เมื่อ 15 February 2010 - 11:54 AM
แต่ฝ่ายหญิงนี่ อาจเป็นเพราะธรรมชาติของเพศแม่(หรือเปล่า ผมก็ไม่เข้าใจถ่องแท้หรอกนะครับ) หากมีบุตรแล้ว หากคิดจะทิ้งบุตร(กรณีบุตรยังช่วยเหลือตัวเองไม่ได้) ไม่ว่ากรณีใดๆ ก็แล้วแต่ สังคมมักไม่ค่อยยอมรับน่ะครับ ดังนั้น ในกรณีของอุบาสิกาที่แต่งงานแล้ว หากคิดจะเข้าวัดตลอดชีวิตขึ้นมา คุณครูไม่ใหญ่จะต้องทักว่า เคลียรกับครอบครัวดีแล้วหรือยัง เป็นต้นครับ