
น้อยใจคนมีบูญในDMC
#1
โพสต์เมื่อ 16 February 2010 - 07:01 AM
อยากนั่งสมาธิแต่ว่าทุกครั้งที่นั่ง มันปวดหลังมากๆ พยายามนั่งหลังตรงๆ ก็ปวดสุดๆ มันไม่หายไปเลยค่ะ พอทำตัวสบายๆแบบว่านั่งหลังงอๆก็ปวดอีกอยู่ดี ไม่รู้ว่าจะทำยังไงดี มันเลยไม่อยากจะนั่ง แต่ว่าชีวิตนี้บุญน้อย อยู่ไกลวัด ไกลประเทศไทย เงินก็ไม่มีให้ถวาย ก็เหลือแต่นั่งสมาธิกับสวดมนต์นี่แหละค่ะ มีวีธีอะไรที่ไม่ทำให้ปวดหลัง หรือว่าเทคนิคอะไรก็ได้ค่ะ หรือไม่ก็การทำบุญแบบฉลาดๆ
ดูDMC TVไปก็เสียใจ น้อยใจว่าเราไม่ได้เป็นหนึ่งในนั้น ไม่ว่าจะงานบุญอะไรก็ไม่ได้ทำกับเค้าเลย เสียใจจริงๆ ทำให้ท้อใจแล้วนี่ก็มานั่งสมาธิก็ไม่ได้
รู้สึกว่าตัวเรายิ่งไกลจากศาสนาพุทธและบุญใหญ่ๆออกไปทุกนาที แล้วนี่ก็ดันมาน้อยใจเสียใจแบบนี้ ก็คิดว่ามันคงจะไม่ดีกับตัวเราแน่ ใจไม่ใสแบบนี้มีแต่จะไม่เจริญ...แต่ก็ไม่รู้จะทำยังไงดีค่ะ
ขอความกรุณาคนมีบุญช่วยเหลือหน่อยค่ะ
#2
โพสต์เมื่อ 16 February 2010 - 07:53 AM
1. ผมเริ่มจากเป็นนักศึกษา จบมางานก็ไม่มี เงินก็ไม่ต้องพูดถึง แต่ทุกครั้งที่มีคนให้เงิน หรือช่วยเหลือผมมา ผมยอมอดแล้วนำเงินนั้น+อธิษฐานแบบสุดชีวิตว่าขออย่าให้หิว อย่าให้มีเรื่องต้องใช้เงินแล้วเอาเงินถวายแด่พระพุทธศาสนาด้วยใจที่อยากถวายเต็มเปี่ยม ไม่สนต่อคำทักท้วงของใครเลย (ยอมตาย ขอให้ได้ทำบุญ)
2. เวลานั่งสมาธิ หลังแทบหัก ขาแทบจะงอกลับไม่ได้ บางครั้งก็ปวดคอสุดๆ ผมก็คิดว่า วันนี้ผมจะตายด้วยท่านี้แหละ จะขอนั่งสมาธิไปจนตาย จากนั้น อาการปวดค่อยๆดีขึ้นเอง และมีชีวิตมาเขียนกระทู้ขณะนี้แหละครับ
3. ทุกครั้งที่ผมต้องห่างวัดไป แต่ใจผมไม่ได้ห่างด้วย ผมจะระลึกถึงใบหน้าของหลวงปู่ คุณยาย หลวงพ่อไว้ในกลางท้อง เอา case study ไปฟังด้วยตลอด และอธิษฐานตลอดว่าขอให้ได้กลับมาใกล้วัดโดยเร็วไว มาสร้างบารมีต่อ และอย่าพลัดพรากไปไหนไกลๆอีก ขอให้วิบากกรรมแห่งการไกลหมู่คณะสลายไปโดยเร็วไวเถิด
4. เวลาเห็นคนทำบุญครั้งละมากๆ ผมก็เคยนึกประจำเลยว่า ทำไมเราทำได้แค่นี้ ทำไมมีแค่นี้ อิจฉาคนทำเยอะๆ ฯลฯ แต่ผมก็ดึงใจกลับมา แล้วคิดว่า คนข้างนอก แม้ 1 บาทเขาก็ยังไม่เคยได้ทำกับวัดพระธรรมกายเลย ไม่เคยได้ทำกับหมู่คณะ กับมหาปูชนียาจารย์สักท่านเลย แม้ถวายด้วยตัวเองกับหลวงพ่อ 1 บาท เขาก็ไม่เคยได้ทำ แต่เราสิได้ทำมากกว่า เราอยู่ในวัดแล้ว รู้จักวัด รู้จัก หลวงปู่ คุณยาย หลวงพ่อแล้ว และก็เข้าใจท่านแล้ว นี่ก็ทำให้ผมเลิกคิดน้อยใจ หรืออิจฉาไปหมดสิ้น แต่ก็มีเผลอๆคิดวูบๆเข้ามาบ้างบางครั้ง แต่ก็แค่เผลอ
....ตัวเรา มีบาปอยู่ มีบุญอยู่ หากเราคิดเอาบาปกับบุญมาผสมกันแล้วเทียบกับคนอื่นย่อมไม่พบสิ่งที่เป็นสุขเลย แต่ตัวผมเริ่มทำบุญจากเหรียญ ต่อมาก็ได้ทำเป็นแบงค์ คือแบงค์ 10 ต่อมาก็ได้ทำเพิ่มเป็นแบงค์ 20 แบงค์ 50 เรื่อยๆ จนบัดนี้ ได้ทำด้วยแบงค์ 1000 หลายครั้งแล้ว ชีวิตผมไม่ใช่คนมี แต่เป็นคนไม่มี และติดลบด้วยเพราะอาศัยยืมเงินคนอื่นเพื่อทำธุรกิจบ้าง ยืมมาใช้กินไปวันๆบ้าง แต่ยืมแล้วเราก็คืน
....การอธิษฐานจะช่วยให้เราพ้นจากที่เราเป็นอยู่ตรงนี้ ถ้าอยากพ้นจากสิ่งใดก็ให้อธิษฐานเอา ตัวเราต้องช่วยตัวเรา ถ้าเราช่วยตัวเราได้ เราก็จะไปช่วยคนอื่นได้ ถ้าใจเราอ่อนแอ เราก็จะแพ้ต่อวิบากกรรม แพ้ต่อชีวิต ถ้าเราแข็งแรงต่อความเป็นไปของขีวิต เราจะพบชีวิตใหม่ ขอให้คุณท่องไว้ว่า .... " เรา ..คือผู้ออกแบบชีวิต " นี่แหละ ที่ผมท่องมาตลอดหลายปี บัดนี้ชีวิตใหม่เริ่มเกิดขึ้นกับผมแล้ว และผมก็เชื่อว่าต้องเกิดขึ้นกับทุกคนได้เช่นกัน สู้ๆ
#3
โพสต์เมื่อ 16 February 2010 - 09:09 AM
สาเหตุทำให้ปวดหลังครับ ลองนั่งหลังตรง(นั่งยืดๆ) อาจจะไม่สะดวกในช่วงแรกๆ แต่นานๆไปจะดีต่อสุขภาพหลังครับ หรือจะหาหมอนแข็งๆหนุนหลังข้างกระดูกสันหลังและนั่งพิงก็จะช่วยได้ครับ
ได้ไปเรียนเมืองนอกบุญไม่น้อยล่ะครับ อาจจะมีเป้าหมายไปเผยแผ่ก็ได้ เดี๋ยวนี้หลวงพ่อก็ไปให้ธรรมะถึงในห้องนอนผ่านดาวธรรมแล้ว
#4
โพสต์เมื่อ 16 February 2010 - 12:26 PM
เช่น สามเคสนี้ ปวดหลัง เพราะเคยทรมาณสัีตว์ ใช้งานสัตว์หนักไป ต้องแก้ด้วยการหมั่นปล่อยสัตว์ปล่อยปลา และทาน ศีล ภาวนา
http://www.dmc.tv/pa...2552-05-29.html
http://www.dmc.tv/pa...2552-03-19.html
http://www.dmc.tv/pa...2550-12-10.html
และสิ่งที่ต้องทำควบคู่กันไปในกรณีที่สภาวะร่างกายไม่สมดุล ซึ่งทางแพทย์แผนจีนเรียกว่า ธาตุทั้ง 4 ไม่สมดุล ก็ต้องไปพบแพทย์ช่วยน่ะครับ หากมีค่าใช้จ่าย(กรณีอยู่ต่างประเทศ ค่าใช้จ่ายอาจจะสูงหรือเปล่า ไม่แน่ใจ) ก็อาจจะลองรักษาทางสมุนไพร ศาสตร์ทางตะวันออกควบคู่ไปด้วยครับ
#5
โพสต์เมื่อ 16 February 2010 - 12:26 PM
กว่าผมจะนั่งหลังพิงอากาศได้ฝึกมา 2 ปีครับ แรกๆ ก็ปวดเหมือนกัน แถมผมเป็นคนขาค่อนข้างโก่ง คือ เด็กๆ ชอบให้แม่อุ้ม
ทำให้นั่งสมาธิแบบขัตสมาธิ ไม่ได้ ขาจะไม่แนบสนิทกัน และจะปวดสุดๆ แรกๆต้องนั่ง หัตสมาท แต่หลังจากฝึก 2 ปี ตอนนี้ทำได้แล้ว
นั่งได้เป็น ชั่วโมงเลย ต้องพยายามครับ เหน็บกิน ก็รอจนเหน็บหายครับ คนอื่นทำได้เราก็ต้องทำได้ครับ ถ้าใจสู้ซะอย่าง
ส่วนเรื่องไกลวัด ก็ทำวิกฤติ ให้เป็นโอกาสครับ โดยชวนเพื่อนที่รู้จัก ทำบุญกัน เดี๊ยวพอรวมกลุ่มกันได้แยอะๆ ก้เปิดศูนย์ปฏิบัติธรรมกันเองเลยครับ
เหมือนพี่ชายผมที่อยู่ที่ โพธาราม มีการจัดนั่งสมาธิทุกวันอังคารโดยเชิญพระอาจารย์มา ตอนนี้มีคนนั่ง 20 คน ครับ กำลังสร้างห้องใหม่ให้นั่งได้ 50 คนใกล้เสร็จแล้ว
#6
โพสต์เมื่อ 16 February 2010 - 01:16 PM
ตั้งใจเรียนให้จบนะครับ เมื่อจบแล้วเชื่อหรือไม่ชีวิตการสร้างบารมีจะเป็นหนังคนละม้วนกับที่ได้เขียนมา
ความสำเร็จนำพาความสำเร็จครับ แล้วเราจะมีโอกาสในชีวิตที่เพิ่มมากขึ้น ส่วนเรื่องไกลหมู่คณะ ผมว่าไกลแค่กายครับ
แต่ใจของเหล่านักสร้างบารมีอยู่ใกล้กัน และอยู่กลางหลวงพ่อคุณยายตลอดเวลา ยิ่งมี dmc.tv ด้วยแล้วหายห่วงๆ
เรื่องนั่งสมาธิต้องค่อยๆ ปรับไปนะครับ แต่ขอให้สม่ำเสมอ เชื่อไหมครับ บางคนยังสวดมนต์และนั่งสมาธิไม่บ่อยเท่า จขกท เลย
นี่ไม่นับคนไม่เข้าวัดนะครับ ไม่นับคนต่างศาสนา ไม่นับคนขาดโอกาสอีกนับพันล้านคนในโลก ขอให้เชื่อครับว่าเราเกิดมาสร้างบารมี
แนะนำลองฟังเทปย้อนหลังของหลวงพ่อที่พูดถึงการสร้างวัดในช่วงแรก พูดถึงตอนที่หมู่คณะเราลงมาเกิด ฮิ ฮิ ขำดี ถูกพัดซะกระจายไปทั่วเลย (วันอาทิตย์ที่ 14 ก.พ.)
เรื่องทำบุญมากน้อยไม่ต้องห่วงครับ ทำให้เต็มที่เต็มกำลังของเรา ด้วยความปลื้มสุดๆ แล้วบุญจะต่อบุญเองครับ แต่อย่าลืมทำใจใสให้พร้อมที่จะเป็นภาชนะรองงรับบุญด้วยนะครับ
happy&smile
#7
โพสต์เมื่อ 16 February 2010 - 01:57 PM
ถ้าปัจจัยน้อยเราก็ใช้กำลังกายและกำลังสติปัญญาช่วยงานศูนย์ฯสิครับ
#8
โพสต์เมื่อ 16 February 2010 - 02:02 PM
- หลักของบุญกิริยาวัตถุ...เน้นไปในเรื่องศีลมัย ภาวนามัย เป็นหลัก ที่เหลือก็เผื่อแผ่กันนะ อาทิ อภัยทาน ปัตติทานมัย ปัตตานุโมทนามัย ธัมมะสวนะมัย ที่สำคัญคือครองใจตนให้ดำรงอยู่ในสัมมาทิฏฐิ
ถ้าลาได้ก็เรียนเชิญมาอบรมอุบาสิกาแก้วนะ
#9
โพสต์เมื่อ 16 February 2010 - 02:26 PM
เห็นด้วยสุดๆ เมื่อก่อนก็ไม่เข้าใจ แต่ตอนนี้ลองนึกดู หลายคนรู้จักวัดพระธรรมกายแต่ไม่มา หลายคนมาแล้วก็ไป อีกมากมายไม่เคยได้ยิน ทั้งๆที่งานของเรายิ่งใหญ่ระดับโลก
ลองสร้างผังที่ดีให้เกิดขึ้นด้วยการทำตามคำสอนครูบาอาจารย์คุณครูไม่ใหญ่ เช่นทำการบ้านให้ครบทุกวัน นึกถึงบุญอยู่เสมอ ทุกบุญที่ได้ทำเป็นบุญใหญ่มาก อย่าเห็นเป็นของเล็กน้อย แล้วเราก็อธิฐานจิตทุกวัน สร้างผังที่ดีให้เกิดขึ้น ไม่นานก็เห็นผล ผมจำได้ว่า คุณครูไม่ใหญ่บอกว่าต้องนั่งสมาธิให้ได้อย่างน้อย ๑ ชม ทุกวัน
#10
โพสต์เมื่อ 16 February 2010 - 02:45 PM
อาการปวดหลังแต่ก่อนผมก็เป็นครับนั่งไม่ทนนั่งไม่นาน
ของผมอาจที่ชาตินี้เลยเพราะแต่ก่อนมีอาชีพเกษตรกรรมช่วย พ่อแม่ทำงาน มีทรมานสัตร์ให้ทำงานบ้าง
เป็นกรรมปาณาติบาท เวลานั่งให้เราอุทิศส่วนบุญกุศลให้ เจ้ากรรมนายเวรด้วยนะครับ อาจติดมาข้ามภพข้ามชาติ
ผมนั่งมาหลายปีกว่าจะนั่งได้ทนเป็นชั่วโมง ตอนนี้เวลาฟั่งเสียงหลวงพ่อ จบ 2 รอบ
พลอยให้คิดว่า จบแล้วเหรอ มีอีกมั๊ย
ผมคิดแบบนี้นะครับว่า เวลาเราไม่นั่งไม่เห็นปวดเลย
แต่ทำไมนั่งจึงปวด ลองหาเหตุผลมาสนับสนุนซิครับว่า
นั่งปกติทำไมไม่ปวด(จขกท. ปวดหลังในเวลาปกติหรือเปล่าครับ)
หาเหตุผลและเอาเทคนิคนั้นมาใช้ตอนที่นั่งสมาธินะครับ
หากไม่ได้จริง ๆ นั่งมีผ้าหนา ๆ มาหนุนให้สูง
หรือไม่ไหวจริง ๆ นั่งบนเก้าอี้ไปเลยครับ
หลับตาใจจรดศูนย์ ซํกชั่วโมง
ส่วนตัวคิดว่าใจจรดศูนย์ในท่านั่งสมาธิความสุขภายในจะสุขกว่าท่าอื่น ๆ ครับ
ที่สำคัญข้อนี้ลืมไม่ได้เลยครับ เมื่อมีเวลาว่างใจควรจรดศูนย์ ตลอดด้วยนะครับ
หลวงปู่บอกว่า ภ้าหยุดถูกส่วน บุญที่เกิดขึ้น ยิ่งกว่าสร้างโบสสร้างวิหารเลยทีเดียว
เราไม่ไกลจากพุทธศาสนาหรอกครับพระพุทธศาสนาอยู่ที่ศูนย์กลางกายของเราทุกคน
ลองนึกถึงคนที่บ้านใกล้วัดพระธรรมกายซิครับ บางคนไม่เคยเข้าวัดเลยแม้แต่ครั้งเดียว
เราโชคดีมากนะครับที่เกิดมาเจอพระพุทธศาสนา ในอีกช่วง 2500 ปี ที่เหลือ
แม้ตัวไกลวัดแต่ใจเรารวมเป็นหนึ่ง
หมั่นพูดคุยกับกัลยาณมิตร หรือเข้าบอร์ดเราก็ได้จะได้ไม่เหงานะครับ
อนุโมทนาบุญครับ
#11
โพสต์เมื่อ 16 February 2010 - 05:09 PM
ความหมายของคำว่า " บุญ "
ชาวพุทธเราส่วนใหญ่ยังเข้าใจผิด เกี่ยวกับเรื่องของ “ บุญ ” คิดว่าการทำบุญก็คือ การตักบาตร การถวายทรัพย์ ,
ถวายปัจจัย, การถวายสังฆทาน ฯลฯ เพียงเท่านี้ เป็นต้น
“ บุญ ” หรือ “ ปุญญ ” แปลว่า ชำระ หมายถึงการทำให้หมดจด จากมลทิน เครื่องเศร้าหมอง อันได้แก่ โลภะ โทสะ และ โมหะ
ตามพระไตรปิฎก เราสามารถสร้าง “ บุญ ” ได้ถึง 3 อย่าง คือ
1) . ทาน คือ การให้ เช่นที่กล่าวมาแล้ว คือ การตักบาตร บริจาคทรัพย์ ถวายสังฆทาน เป็นต้น ถือเป็น จาคะ หรือ การให้
นับเป็น บุญอย่างหนึ่ง แต่มีการให้บางประการที่ไม่นับเป็นบุญ เช่น สุรา มหรสพ ให้สิ่งเพื่อกามคุณ เป็นต้น
2) . ศีล คือ ความประพฤติที่ไม่ละเมิด หรือรักษาความสำรวมทางกาย วาจา การรักษาศีลสำหรับฆราวาส ได้แก่ ศีล 5 และอุโบสถศีล ( มี 8 ข้อ )
3) . ภาวนา ภาวนา คือ การอบรมจิต ทางสมถะและทางวิปัสสนา การนั่งสมาธิ เรียกว่า สมถะภาวนา
ส่วนการนั่งวิปัสสนา ( สติรู้ถึงรูป – นาม ) เรียกว่า วิปัสสนาภาวนา
“ บุญ ” ยังมีอีก ๗ อย่าง ตามอรรถกถา หรือข้อปลีกย่อย นอกเหนือจากพระไตรปิฎก นับถัดไปเป็นลำดับที่ 4 ดังนี้
4) . อปจายนะ ความเป็นผู้นอบน้อม ต่อผู้ที่ควรนอบน้อม
5) . เวยยาวัจจะ ความขวนขวายในกิจ หรืองาน ที่ควรกระทำ
6) . ปัตติทาน การให้บุญที่ตนถึงแล้วแก่คนอื่น เช่นการ อุทิศส่วนกุศล การกรวดน้ำ
7) . ปัตตานุโมทนา คือการยินดีในบุญที่ผู้อื่นถึงพร้อมแล้ว เช่น เห็นผู้อื่นทำบุญตักบาตร เมื่อเราพลอยปลื้มปิติยินดี กล่าวอนุโมทนา
เพียงเท่านี้ ก็ได้บุญแล้ว
8) . ธัมมัสสวนะ หรือการฟังธรรม ไม่ว่าจะฟังธรรมโดยตรง หรือจากสื่อวิทยุ โทรทัศน์ ฯลฯ
9) . ธัมมเทศนา หรือ การแสดงธรรม เมื่อได้ศึกษาธรรมะแล้ว การถ่ายทอดให้แก่ผู้อื่น นับเป็นบุญประการหนึ่งด้วย
10) . ทิฏฐุชุกรรม คือการกระทำความเห็นให้ตรง หรือ สัมมาทิฏฐิ นั่นเอง
จะเห็นว่าบุญทำได้ถึง 10 อย่าง มีเพียงข้อแรกเท่านั้นที่ต้องใช้ทรัพย์
อีก 9 ข้อล้วนไม่ต้องใช้ทรัพย์ รู้ว่าบุญทำได้อย่างนี้แล้ว วันนี้ คุณทำบุญแล้วหรือยัง

#12
โพสต์เมื่อ 16 February 2010 - 06:13 PM
บุญจะได้ทับทวี
และเป็นทางมาให้ได้ทำบุญใหม่อีกเรื่อยๆ
ไม่ต้องกังวลเรื่องจำนวนปัจจัยค่ะ
ขอเพียงให้ใจเราเต็มเปี่ยมและเป็นสุขทุกครั้งที่ทำ
เขียนมาใน web board นี้ได้เสมอๆค่ะ
รับรองว่า น้องไม่ได้อยู่ตนเดียว
มีพี้ๆน้องๆและเพื่อนๆอีกเยอะแยะ ณ ที่นี้ค่ะ
#13
โพสต์เมื่อ 17 February 2010 - 07:03 AM
คุณพอเป็นชาวต่างชาติก็ไม่รู้ว่าบุญไม่บุญน่ะค่ะ คนเราก็มีบุญมีกรรมปนๆกันไปน่ะค่ะ ก็พยายามคิดในทางที่ดี ถึงแม้ว่าจะไม่ได้ง่ายอย่างที่คิด ไม่ได้ว่ามีบุญมาก หรือว่าเรียนเก่งอะไรแล้วได้ทุนมาเรียนต่อทีนี่หรอกค่ะ คุณพ่อตัดสินใจกลับประเทศของตัวเองแล้วพาตัวลูกมาอยู่ด้วยค่ะ ถ้าอยู่เมืองไทยนี่ก็ไม่รู้ว่าจะเรียนจบหรือว่า เพราะไม่ได้เรียนเก่งอะไรค่ะ แล้วก็อาจจะไม่ได้เจอกับกัลยานิมิตรอย่างที่เจอโดยบังเอินที่นี่ค่ะ นี่ก็เป็นบุญอย่างหนึ่งมั้งค่ะคิดว่า
ก็เคยนั่งบนโซฟาค่ะหรือไม่ก็พิงกับแพง แต่คิดว่าถ้ามัวแต่นั่งแบบนี้ก็นั่งธรรมาดาไม่ได้ พอมีเงินเดินทางไปเมืองไทยเมื่อไหร่ ไปวัดธรรมกายเมื่อไหร่อาจจะนั่งแบบคนอื่นๆไม่ได้ ก็กลัวข้อนี้แหละค่ะ แต่จะพยายามน่ะค่ะ ฝึกไปเรื่อยๆอย่างที่บอกมากค่ะ
เป็นคนไม่เก่งเรื่องอธิทาน ไม่รู้ว่าจะอธิทานอะไรดีค่ะ คงจะเป็นเพราะแบบนี้เลยไม่ได้เคลื่อนไปข้างหน้ากับเค้าเลย
ยังที่ทุกคนบอกมากมีอยู่ไม่กี่อย่างที่ต้องเปลี่ยนแปลง ให้ ศีล ภวานา สมาธิ ทาน และฝึกให้คิดดีๆ คิดถึงดวงใสๆ คิดถึงพระที่อยู่ในตัวเรา จริงๆไม่เคยเห็น ไม่รู้ว่าเป็นยังไง ใสยังไง ต้องปล่อยแบบไหน เพราะว่าไม่เคยยุดคิดเลยค่ะตั้งแต่จะความได้ คิดตลอด... ไม่ทราบทำไม แต่จะพยายามคิดถึงด้วยใสๆ แต่ว่าการบ้านสิบข้อนั้่นน่ะจำไม่ได้หรอกค่ะ ยังไม่ถึงขั้นนั้น แค่คิดถึงดวงใสๆตลอดเวลานี่ก็แย่แล้ว เพราะว่าไม่ใช่ง่ายๆเลยค่า
ขอบคุณมากๆอีกครั้งน่ะค่ะ ที่ทำให้รู้สึกว่ายังมีคนแคร์และให้ความเชื่อเหลืออยู่
#14
โพสต์เมื่อ 17 February 2010 - 08:14 AM
...ถ้าบินมาแล้วกลัวจะนั่งแบบคนอื่นไม่ได้ ไม่ต้องกลัวครับ บางท่านนอนยังมีเลย - -" เอาเป็นว่าเรานั่งได้แป๊บเดียว แล้วก็พัก แล้วนั่งใหม่ไปเรื่อยๆ หรือใช้วิธีของหลายๆท่านคือ อธิษฐานขอคุณยายว่า วันนี้ขอนั่งโดยไม่ปวดเมื่อย หรือขอให้หายไข้แล้วนั่งสมาธิได้ ถ้าบุญเก่าได้ช่องเขาบอกกันว่า หายเป็นปริดทิ้งเลยนะครับ ...มีพระธรรมทายาทท่านหนึ่งบอกผมว่า ก่อนบวชพระท่านเป็นไข้มาก ลุกแทบไม่ไหว พอฟืนใจบวชสำเร็จปุ๊บไข้หายหมดเลย ท่านบอกว่า อัศจรรย์จริงๆวัดพระธรรมกาย....
...การคิดถึงดวงใสๆ หรือองค์พระ ถ้าไม่คุ้นไม่ต้องกังวลครับ ส่วนใหญ่ที่ตรึกดวงใสหรือองค์พระจะใช้เพื่อป้องกันการฟุ้ง หรือใจไม่นิ่งคิดนู่นคิดนี่ แต่การจะนั่งได้ดีหรือเข้าถึงธรรม ต้องไม่คิดถึงอะไรเลยแม้แต่ดวงใสก็เข้าถึงธรรมได้เช่นกัน สรุปคือ จะคิดถึงดวง หรือไม่คิดถึงดวง ถ้าใจหยุดนิ่งได้ที่ก็เข้าถึงดวงธรรมที่แท้จริงได้หมดจ้า แล้วแต่วิธีที่ถนัดนะครับ ขอให้นั่งแล้วรู้สึกสบาย มีความสุข ปลอดกังวล และไม่ฟุ้งจากกลางกายเท่านั้น ถ้าฟุ้งก็ให้ดึงกลับมาเท่านี้ก็เป็นสัมมาสมาธิแล้วจ้า ถ้านึงถึงองค์พระไม่ออก นึกถึงน้ำแข็งใสๆ หรือมะพร้าว มะนาว ไข่เป็ด ฯลฯ อะไรก็ได้กลมๆ กลางท้องน่ะครับ ไม่จำเป็นต้องวิตกเรื่ององค์พระนะครับ ของจริงจะเกิดขึ้นเอง
...หลวงพ่อบอกว่า การอธิษฐาน เป็นวิชชาอย่างนึง ถ้าอธิษฐานบ่อยๆ ทำหลายๆครั้ง ตั้งใจดี ก็จะเก่งในการอธิษฐานเองจ้า ถ้าทำบุญแล้วไม่อธิษฐาน จะไม่มีเข็มทิศแห่งบุญ ว่าบุญนี้จะนำไปเพื่อการใดนะจ๊ะ ฝึกได้จ้า คุณทำได้ อิอิ ชิตังเม...
#15
โพสต์เมื่อ 17 February 2010 - 09:51 AM
อย่านึกน้อยใจ (พวกฝ่ายดำ จะชอบมากที่สามารถทำให้ใจเราหมองค่ะ)
ให้นึกว่าเราโชคดีที่ได้มาเจอกับหมู่คณะ แม้อยู่แดนไกลนะคะ
แล้วหมั่นอธิษฐานจิดทุก ๆ วัน เวลาทำบุญอะไรก็ตาม ทั้งทำทาน รักษาศีล เจริญภาวนาค่ะ
ใจเป็นธาตุสำเร็จนะคะ และใจเราสำคัญมาก ต้องทำใจใส ๆ ให้ได้อยู่ตลอด
เวลาเราเปิดดู DMC ก็นึกอนุโมทนาบุญได้ตลอดค่ะ
ก่อนนั่งสมาธิ นึกอธิษฐานจิตให้หลวงปู่ หลวงพ่อ คุณยาย มาช่วยนำนั่งก็ได้นะคะ แผ่เมตตาให้กับคู่เวร คู่กรรมที่ทำให้เราปวดหลังก่อน น่าจะช่วยได้บ้างนะคะ
อย่าท้อนะคะ พวกเราชาว DMC เอาใจช่วยนะคะ
สาธุ อนุโมทนาบุญค่ะ
ลูกพระธัมฯ หลานหลวงปู่ หลานคุณยาย
#16
โพสต์เมื่อ 17 February 2010 - 02:55 PM
หลายๆท่านได้แนะนำไปแล้วนะครับ
ไม่ว่าจะเป็นการอธิษฐานจิต,การนึกถึงบุญให้ปลื้มบ่อยๆ
หรือการบ้านทั้ง10ข้อ...
มีหลายคนนะครับที่นั่งธรรมะได้ประสบการณ์
ภายในดีๆแต่ก็ต้องหลุดออกจากหมู่คณะไปด้วยสาเหตุต่างๆ

เพราะฉะนั้นสิ่งสำคัญก็คือ...การประคับประคองให้สั่งสมบุญ,นั่งธรรมะ
ได้สม่ำเสมอครับ
ปล.ยังไงก็เป็นกำลังใจให้นะครับ

ถ้าอยากได้"จริง"จะได้...แต่ตอนจะได้ไม่"อยาก"
#17
โพสต์เมื่อ 21 February 2010 - 07:25 PM
โชคดีจริงๆที่มาเจอกัลฯอย่างที่บอกอ่ะน่ะค่ะ^^