
ศีล8ค่ะ
#1
โพสต์เมื่อ 08 March 2010 - 07:21 PM
คือว่าสนใจที่อยากจะถือศีล 8 แต่มาติดตรงข้อที่3นะค่ะ เพราะว่ามีครอบครัวแล้ว ว่าเราควร
จะปฏิบัติอย่างไร จึงจะไม่ผิดศีล8 ในข้อที่3นะค่ะ อย่างเช่น การจับถือสามี หรือถูกตัวสามี
ประมาณนี้ถือว่าผิดไหมค่ะ .....ขอขอบคุณทุกคนท่านที่ให้ความรู้ มา ณ.ที่นี้ด้วยนะค่ะ
สาธุค่ะ.....
#3
โพสต์เมื่อ 08 March 2010 - 07:44 PM
เพราะผมถือศีล 8 แบบกลางๆ หนะครับ จับต้องตัวได้แต่ต้องด้วยใจบริสุทธิ์ แต่ถ้าแฟนผมถือเค้าไม่ยอมให้ถูกตัวเลยครับเค้าบอกผิดศีล :-)
#4
โพสต์เมื่อ 08 March 2010 - 08:40 PM
อย่างวันนี้วันพระ ก็จะคุยกันก่อนว่าจะถือศีล 8 นะ
ต้องปรับความเข้าใจให้ตรงกันก่อน สำคัญมากนะคะอันนี้
และอยู่ในระดับไหน ต้องคุยเจาะลึกแบบไม่ต้องเม้มกันล่ะค่ะ
ถ้าให้ความร่วมมือทั้ง 2 ฝ่าย ก็สำเร็จไป 100%
แต่ถ้าพบกันครึ่งทางก็ลด ละ เว้น ในวันพระดีไหม
นี่คือจากช่วงแรกที่เริ่มรักษาศีล 8 นะคะ
หลังจากนั้นก็ค่อย ๆ เพิ่มจากวันพระมาเป็นวันธรรมดา
แต่ก็ทำได้บ้าง ไม่ได้บ้าง แต่ไม่ถึงกับเครียด
เพราะอย่างที่บอก ชีวิตคู่ ต้องเอาใจเขามาใส่ใจเรา
ปรึกษาหารือทำด้วยกันนะคะ
#5
โพสต์เมื่อ 08 March 2010 - 09:10 PM
ศีล 5 ข้อสาม คือ กาเม... แปลว่า ข้าพเจ้าขอเว้นจากการประพฤติผิดในทางชู้สาว ในทางกาม กับลูก และภรรยาของผู้อื่น หรือหญิง หรือชายที่มีผู้ปกครองดูแลอยู่แล้ว (แปลตรงๆ คือ มีอารายกับคู่ของตนเองได้)
ศีล 8 ข้อสาม คือ อะพรัมมะจริยา ..ข้าพเจ้าขอเว้นจากการประพฤติผิดจากพรหมจรรย์ พึงเว้นจากกามราคะทั้งปวงเยี่ยงพรหมณ์ หรือ ปฏิบัติเยี่ยงพรหมณ์ (แปลตรงๆ คือ เว้นจากมีอารายกับคู่ของตนเอง ไม่ถูก ไม่ต้อง ไม่สัมผัสอันจะทำให้เกิดกามจิต และเว้นจากการดู ชม หรือ คิดอะไรอันเป็นก่อให้เกิดกามารมณ์ และตั้งใจอย่างยิ่งที่จะพ้นจากกามราคะเหล่านั้นทั้งปวง ด้วยการปฏิบัติธรรมจ้า)
#6
โพสต์เมื่อ 08 March 2010 - 09:15 PM
เพราะขาดแม้เพียงวันเดียว ใจเราจะหยาบ ทำให้ผังวิตกกังวลได้ช่อง
#7
โพสต์เมื่อ 08 March 2010 - 09:16 PM
#8
โพสต์เมื่อ 08 March 2010 - 09:22 PM
อันนี้ถูกเนื้อกันแล้วศีลขาดหรอครับ หรือว่าเป็นสิ่งที่ควรเลี่ยง ขอโทษด้วยนะครับ ที่สงสัยมากขนาดนี้เพราะปรารถนาจะถือศีล8อะครับ เห็นอุบาสิกาแก้วเขามีศีล เราก็อยากถือศีลด้วย
เพราะขาดแม้เพียงวันเดียว ใจเราจะหยาบ ทำให้ผังวิตกกังวลได้ช่อง
#9
โพสต์เมื่อ 08 March 2010 - 09:25 PM
#10
โพสต์เมื่อ 08 March 2010 - 10:38 PM
การจับเนื้อต้องตัว ศีลไม่ได้ขาดครับ แต่อาจนำมาซึ่งการสัมผัสอันเกิดกามารมณ์ และส่งไปถึงการผิดศีลด้วยกายได้ในลำดับต่อไป และทำให้ยากต่อความบริสุทธิ์ของใจ และห่างไกลจากมรรคผลนั่นเองจ้า
ขอเสริมเพิ่มอีกว่า...แต่ถ้าหากเป็นภิกษุ การคิดในเรื่องกาม ถือเป็นอาบัติถุลลัจจัย ถ้าแตะเนื้อต้องตัวแล้วคิดในทางกาม และเกิดกำหนัดจนไม่สามารถสงบใจได้ ก็อาจถึงขั้นนอาบัติสังฆาทิเสจ ต้องไปปาริวาตรต่างๆตามข้อปฏิบัติแห่งสงฆ์น่ะครับ.... ดังนั้นจึงได้ห้ามนักห้ามหนาที่ไม่ให้สตรีเพศไปโดนพระภิกษุ เพราะการปริวาตรกรรม ไม่ใช่ง่ายเลย เรียกว่า ต้องประกาศอาบัติของตนท่ามกลางหมู่สงฆ์ และต้องปฏิบัติตนนั่งธรรมะให้พ้นจากความคิดนั้นๆให้ได้ ซึ่งยากมาก ยากกว่าการปลงอาบัติทั่วไปที่กระทำกันโดยมีเพียง ภันเต กับอาวุโสเท่านั้น มากๆๆๆ
#12
โพสต์เมื่อ 08 March 2010 - 11:40 PM
ศีลข้อ 3 การกระทำที่เป็นข้าศึกต่อพรหมจรรย์ (ในศีล 8)
ตามนัยแห่งฎีกาพรหมชาลสูตร และกังขาวิตรณี มีองค์ 2 คือ
1. มีจิตคิดจะเสพเมถุนธรรม
2. การยังอวัยวะเพศให้จรดกัน
ตามนัยแห่งอรรถกถาขุททกปาฐะ มีองค์ 4 คือ
1. เสพเมถุนธรรมทางทวาร 3 (คือ ปาก ทวารเบา และทวารหนัก)
2. จิตคิดจะเสพเมถุนธรรม
3. พยายามเสพ
4. มีความยินดี
ที่มา : SB 101 วิถีชาวพุทธ บทที่9 ศีล8 และอุโบสถศีล
#13
โพสต์เมื่อ 09 March 2010 - 12:10 AM
แล้วถ้าเราอาราธนาศีล8 ในตอนเย็น แล้วเราก็ไม่โดนตัวสามีเลย คือเราสามารถรักษาได้
แล้วถ้าตอนเช้าที่เราจะต้องออกไปทำงานหรือออกไปข้างนอกบ้านล่ะค่ะ จะทำอย่างไร
หรือว่าเราจะทำแต่ตอนเย็น ช่วงที่อยู่บ้านค่ะ และการรักษาศีลมีช่วงระยะเวลาไหมค่ะ
แล้วถ้าเกิดเราอาราธนาศีลแล้ว แล้วเกิดไปทำผิดศีลในข้อหนึ่งข้อใด เราควรจะทำอย่างไร
#14
โพสต์เมื่อ 09 March 2010 - 10:01 AM
การโดนตัวสามี ไม่ได้ถือว่าผิดศีล 8 นะครับ แต่ถ้าไม่โดนตัว หรือไม่คิดในเรื่องกามคุณ ก็เป็นบารมีเพิ่ม คือ ไม่ปรารถนาในกามใดๆ เรียกว่า ขอรักษาความบริสุทธิ์ กาย วาจา ใจ นั่นเองครับ คำว่า บริสุทธิ์ในที่นี้ คือ ไม่ปรารถนาจะไปจุดไฟให้ตัวเรา หรือ สามี หรือชายใด ฯลฯ ให้เขาเผลอ หรือคิด หรือรู้สึก เหมือนที่คุณยายพูดไว้ว่า "ถ้าไม่ทอดสะพาดให้ เขาก็ข้ามมาไม่ได้" แม้ตาก็ไม่มอง ไม่คิด ไม่พูด ในทางที่จะทำให้ใครเข้าใจผิดว่าเราอาจปรารถนาในเรื่องนั้น (คือผมพยายามอธิบายน่ะครับ ไม่ได้หมายถึงกรณีคุณอ้ออย่างเดียวนะจ๊ะ)
ระยะเวลาของศีลที่จะรักษา ก็ขึ้นอยู่กับกำลังใจของเราเลยครับ ว่าจะรักษาได้นานแค่ไหน เวลาไม่ใช่ตัวกำหนด แต่เป็นใจเราเท่านั้น ส่วนการผิดศีล 8 หรือ ขาดไปด้วยข้อใดแล้ว ก็ให้ตั้งใจใหม่ สร้างสัจจะบารมีขึ้นมา สร้างกำลังใจขึ้นมาใหม่ แล้วอาราธนาใหม่จ้า ส่วนที่ผิด ที่ผ่านก็ลืมไปให้หมด หมั่นทำบ่อยๆ ก็จะรักศีล และรักษาศีลให้บริสุทธิ์ได้เอง ศีลที่บริสุทธิ์ (ถ้าไม่โดนรังแก) คือศีล ที่อาราธนาไว้ก่อนนอนจ้า ตอนนั้นถ้าหลับแล้วไม่ตื่น ก็ได้ศีล 8 ไปเต็มๆจ้า หุหุ..
#15
โพสต์เมื่อ 09 March 2010 - 11:58 AM
#16
โพสต์เมื่อ 09 March 2010 - 02:27 PM
ขอบคุณด้วยใจจริงๆๆๆๆนะค่ะกับทุกคำตอบที่ให้ในความกระจ่าง
ขอให้ผลบุญทั้งหลายจงเกิดขึ้นกับทุกท่านเลยนะค่ะ สาธุ สาธุ สาธุ
#17
โพสต์เมื่อ 09 March 2010 - 07:04 PM
สมัยก่อนพุทธันดร บางกัป สมัยที่คนมีกิเลสน้อย ๆ
ขนาดศีลของพระสงค์ ใช้แค่ศีล 8 นะครับ ไม่ใช่ ศีล 227 เหมือนตอนนี้
และมีพระอรหันต์ ด้วยศีล 8 ที่เราถือกันอยู่นี่หล่ะครับ
#18
โพสต์เมื่อ 10 March 2010 - 01:09 PM
#19
โพสต์เมื่อ 11 March 2010 - 12:56 PM
1. ศีล 8 กับอุโบสถศีล กรณีศีล 8 ถ้ารักษาข้อใดข้อหนึ้งไม่ได้ จะถือว่าศีลขาดเฉพาะข้อ นั้นๆ ใช่หรือไม่ แต่ถ้าเป็นอุโบสถศีล ถ้าขาดข้อใดข้อหนึ่ง จะถือว่าศีลขาดหมดทุกข้อ ใช่หรือไม่
2. กรณีศีล 8 เมื่อสมาทานศีลแล้ว อยู่จนครบกำหนดที่วัด หากไม่ได้ลาศีล แต่ได้กลับบ้านเลย จะถือว่าผิดศีลหรือไม่ (บางท่านแจ้งว่า สามารถลาศีล ได้กับองค์พระประทานด้วยตนเอง ไม่จำเป็นต้องลากับพระภิกษุ สามารถทำได้หรือไม่)
ขอความกรุณาข้อมูลด้วยครับ
#20
โพสต์เมื่อ 11 March 2010 - 02:01 PM
ศีล 5 เราจะสมาทานว่า มะยัง ภันเต วิสุงวิสุงลักขณะถายะ ติสะระเนนะสะหะ ปัญจะสีลานิยาจามะ
แต่ถ้าศีล 8 หรือ อุโบสถศีล เราจะสมาทานว่า มะยัง ภันเต ติสะระเนนะสะหะ อัตถสีลานิยาจามะ
จะสังเกตุเห็นว่า ตอนอาราธนาศีล 5 จะมีคำว่า "วิสุงวิสุงลักขณะถายะ" ซึ่งแปลง่ายๆ ว่า ขอรักษาไปทีละข้อ นั่นเองครับ แต่เวลาอาราธนาศีล 8 จะไม่มีคำนี้ครับ นั่นย่อมหมายถึง รักษาทั้ง 8 ข้อไปพร้อมๆ กันนั่นเอง
2. ความตั้งใจในใจของเราเป็นอย่างไร มันก็เป็นอย่างนั้นแหละครับ เพียงแต่บางอย่างหากไม่ทำให้ถูกต้องตามประเพณี ก็อาจเกิดเหตุ(โลกวัชชะ) คือ โลกติเตียน ได้น่ะครับ ในกรณีร้ายแรงจริงๆ เป็นต้น
#21
โพสต์เมื่อ 12 March 2010 - 12:46 AM
#22
โพสต์เมื่อ 06 May 2010 - 12:52 PM
#23
โพสต์เมื่อ 24 July 2013 - 02:10 PM
072
#24
โพสต์เมื่อ 24 July 2013 - 03:31 PM
วันก่อนฟังพระอาจารย์ตอบคำถามเกี่ยวกับศีล 8 ท่านบอกว่าหลักๆ คือละจากกาม ถ้ากามไม่กระเพื่อมแล้วล่ะก็ไม่กระไรนัก ดูที่เจตนาเป็นหลักค่ะ
เข้าพรรษาก็ปวารณารักษาศีล 8 ด้วย และก็ยังต้องมาทำงานตามปกติ ใช้ชีวิตปกติ เพียงแต่ระวังให้มากขึ้นตามข้อกำหนดในศีลที่เพิ่มเข้ามาค่ะ
รักษาใจเป็นหลักค่ะ ใจต้องไม่กระเพื่อมโดยเด็ดขาด
#25
โพสต์เมื่อ 24 July 2013 - 03:54 PM
ในทางปฏิบัติเป็นดังที่คุณ Puky กล่าว"ศีล"ดูที่"เจตนา"เป็นหลัก
ศีล๘ หรือ อุโบสถศีล หรือ มัชฌิมศีล ประพฤติไปเพื่อมุ่งให้จิตประณีต หลีกจากเบญจกามคุณ เมื่อใจสะอาด จิตย่อมเป็นสมาธิได้โดยง่าย
ข้อ 6. ไม่รับประทานอาหารในเวลาวิกาล กำจัด “ความอยากในรส”
ข้อ 7. ไม่ฟ้อนรำ ขับร้อง ไม่ใช้เครื่องลูบไล้ไม้หอม ฯ กำจัด “ความอยากในรูป – เสียง – กลิ่น”
ข้อ 8. ไม่นั่ง–นอน บนที่นอนสูงใหญ่ กำจัด “ความอยากในสัมผัสอันสบาย”
ข้อ 3. ประพฤติพรหมจรรย์ กำจัด “เบญจกามคุณ” เพราะกายมนุษย์ คือ วัตถุกาม ที่ครบเครื่อง
#26
โพสต์เมื่อ 25 July 2013 - 09:41 AM
072
#27
โพสต์เมื่อ 25 July 2013 - 09:51 AM
072
#28
โพสต์เมื่อ 25 July 2013 - 10:08 AM
มหาวรรค ภาค ๒
เมณฑกานุญาต
ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคทรงชี้แจงให้เมณฑกะคหบดีเห็นแจ้งสมาทาน อาจหาญ ร่าเริง
ด้วยธรรมีกถาแล้ว ทรงลุกจากที่ประทับเสด็จกลับไป หลังจากนั้นพระองค์ทรงทำธรรมีกถา
ในเพราะเหตุเป็นเค้ามูลนั้น ในเพราะเหตุแรกเกิดนั้น แล้วรับสั่งอนุญาตแก่ภิกษุทั้งหลายว่า
ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตโครส ๕ คือ นมสด นมส้ม เปรียง เนยข้น เนยใส.
มีอยู่ ภิกษุทั้งหลาย หนทางกันดารอัตคัดน้ำ อัตคัดอาหาร ภิกษุไม่มีเสบียงจะเดินทางไป
ทำไม่ได้ง่าย เราอนุญาตให้แสวงหาเสบียงได้ คือ ภิกษุต้องการข้าวสาร พึงแสวงหาข้าวสาร
ต้องการถั่วเขียว พึงแสวงหาถั่วเขียว ต้องการถั่วราชมาส พึงแสวงหาถั่วราชมาส ต้องการเกลือ
พึงแสวงหาเกลือ ต้องการน้ำอ้อย พึงแสวงหาน้ำอ้อย ต้องการน้ำมัน พึงแสวงหาน้ำมัน
ต้องการเนยใส ก็พึงแสวงหาเนยใส.
มีอยู่ ภิกษุทั้งหลาย ชาวบ้านที่มีศรัทธาเลื่อมใส เขามอบเงินทองไว้ในมือกัปปิยการก
สั่งว่า สิ่งใดควรแก่พระผู้เป็นเจ้า ขอท่านจงถวายสิ่งนั้นด้วยกัปปิยภัณฑ์นี้.
ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตให้ยินดีของอันเป็นกัปปิยะจากกัปปิยภัณฑ์นั้นได้ แต่เรา
มิได้กล่าวว่า พึงยินดี พึงแสวงหาทองและเงินโดยปริยายไรๆ เลย.
มหาวรรค ภาค ๒

ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคทรงทำธรรมีกถา ในเพราะเหตุเป็นเค้ามูลนั้น ในเพราะเหตุ
แรกเกิดนั้น แล้วตรัสอนุญาตแก่ภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตน้ำปานะ ๘ ชนิด
คือ น้ำปานะทำด้วยผลมะม่วง ๑ น้ำปานะทำด้วยผลหว้า ๑ น้ำปานะทำด้วยผลกล้วยมีเมล็ด ๑
น้ำปานะทำด้วยผลกล้วยไม่มีเมล็ด ๑ น้ำปานะทำด้วยผลมะทราง ๑ น้ำปานะทำด้วยผลจันทน์หรือ
องุ่น ๑ น้ำปานะทำด้วยเหง้าบัว ๑ น้ำปานะทำด้วยผลมะปรางหรือลิ้นจี่ ๑.
ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตน้ำผลไม้ทุกชนิด เว้นน้ำต้มเมล็ดข้าวเปลือก.
ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตน้ำใบไม้ทุกชนิด เว้นน้ำผักดอง.
ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตน้ำดอกไม้ทุกชนิด เว้นน้ำดอกมะทราง.
ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตน้ำอ้อยสด.
#29
โพสต์เมื่อ 25 July 2013 - 12:06 PM
072
#30
โพสต์เมื่อ 25 July 2013 - 07:09 PM
คำถามข้างต้นนี้ พอแนะนำได้ไหมครับ
อยากให้ทุกคนศึกษาองค์แห่งศีลให้เข้าใจครับ ไม่อย่างนั้นก็นั่งกังวล ทำอย่างนั้นได้ไหม ทำอย่างนี้ได้ไหม พอดีไม่ต้องรักษาศีลกัน ถ้าเราศึกษาจนเข้าใจแล้ว ต่อไปจะตัดสินใจทำอะไรเราก็จะมีพื้นฐานช่วยใจการดำเนินชีวิตให้ปกติที่สุดครับ
ปล.ขออภัยที่ตอบไม่ตรงคำถาม แต่ชอบสอนคนให้ปลูกข้าวได้ มากกว่าที่จะมานั่งหาข้าวให้กินไปทีละมื้อ
http://book.dou.us/doku.php?id=sb101:9