ไปที่เนื้อหา


รูปภาพ
- - - - -

เทคนิคพิชิตปัญหาของผู้มีบารมี ภาคสอง


  • คุณไม่สามารถตั้งกระทู้ใหม่ได้
  • กรุณาลงชื่อเข้าใช้เพื่อตอบกระทู้
มี 8 โพสต์ตอบกลับกระทู้นี้

#1 หัดฝัน

หัดฝัน
  • Members
  • 4531 โพสต์
  • Gender:Male
  • Interests:ธรรมะ

โพสต์เมื่อ 01 April 2010 - 05:52 PM

คราวที่แล้ว เราว่ากันถึงเทคนิคพิชิตปัญหาของผู้มีบารมีในกาลก่อน เทคนิคหนึ่งที่ท่านนิยมใช้ก็คือ สัจจะ คราวนี้มาลองดูเทคนิคที่สองที่ผู้มีบารมีเขาใช้กันนะครับ เทคนิคนั้นก็คือ ปีติ ครับ

ตัวอย่างของปีติ ก็ได้แก่ ฆฏิการพรหม นั่นเองครับ ในอดีตกาล ฆฏิการพรหม ท่านเกิดในสมัยของพระกัสสัปสัมมาสัมพุทธเจ้า ท่านมีเพื่อนชื่อว่า โชติปาละ ซึ่งปัจจุบัน โชติปาละได้มาเกิดเป็นพระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบันของเรานั่นเองครับ

ในตอนนั้น ฆฏิการซึ่งบรรลุธรรมเป็นพระอนาคามี เคยดึงมวยผมของโชติปาละ เพื่อให้ไปฟังธรรม จากพระกัสสัปสัมมาสัมพุทธเจ้า จนต่อมา โชติปาละได้มีศรัทธาออกบวช ครับ

บางท่านอาจสงสัยว่า แล้วทำไมฆฏิการะถึงไม่บวช ทั้งที่ได้บรรลุธรรมเป็นพระอนาคามีแล้ว นั่นก็เป็นเพราะว่า ฆฏิการะ ต้องเลี้ยงดูมารดาบิดาที่ตาบอดทั้งสองข้างเลยล่ะครับ จึงไม่อาจบวชได้

ฆฏิการะ ประกอบอาชีพเป็นช่างปั้นหม้อ โดยวิธีการของท่านคือ ปั้นหม้อให้เรียบร้อย แล้วนำไปวางไว้ในที่แห่งหนึ่ง ใครต้องการหม้อ ก็จะนำเงินมาวางแทน แล้วหยิบหม้อไป ซึ่งในสมัยนั้น ผู้คนมีศีลบริสุทธิ์กันมาก ไม่มีใครคดโกงฆฏิการะ เลยครับ

ฆฏิการะ ช่วยเป็นกำลังสำคัญในศาสนาของพระกัสสัปสัมมาสัมพุทธเจ้ามาก ครั้งหนึ่ง พระภิกษุท่านต้องการทำกุฏิ แต่ไม่มีวัสดุ ท่านจึงไปนำเอาวัสดุที่มุงหลังคาบ้านฆฏิการะ ไปทำกุฏิแทน

ฆฏิการะเมื่อทราบ แทนที่จะเสียใจว่า พระเอาวัสดุมุงหลังคาไปแล้ว แล้วบ้านที่ไม่มีหลังคาจะป้องกันแดดฝนได้อย่างไร เปล่า เขากลับปีติใจอย่างยิ่ง ที่พระท่านให้ความคุ้นเคยกับเขาอย่างมากๆ เขาปีติใจในบุญนี้ถึง 15 วันเต็มๆ

ด้วยอานิสงส์เช่นนี้ จึงทำให้บ้านของเขา แดดส่องลงไปไม่ถึง ฝนตกก็ไม่อาจรั่วเข้าไปในบ้านได้ ถึงแม้ว่าบ้านจะไม่มีหลังคาก็ตาม ณ บริเวณที่แห่งนี้ จึงกลายเป็นสถานที่ที่แดดส่องลงไปไม่ถึง ฝนตกก็ไม่อาจรั่วเข้าไปข้างในได้ มาตราบกระทั่งทุกวันนี้

และจะเป็นไปเช่นนี้ ตลอดกัปนี้ เช่นเดียวกันกับเรื่อง ลูกนกคุ่ม และกระต่ายในดวงจันทร์ ครับ
ได้ดี เพราะมีกัลยาณมิตร

#2 มองอย่างแมว

มองอย่างแมว
  • Members
  • 722 โพสต์
  • Gender:Male
  • Location:NYC

โพสต์เมื่อ 01 April 2010 - 11:18 PM

เอ ผมเคยได้ยินว่าถ้าบรรลุเป็นพระอรหันต์แล้วถ้าอยู่ในเพศฆราวาสครบ 7 วันแล้วยังไม่ได้บวชจะต้องเข้านิพพาน ถูกรึเปล่าครับ?
แล้วพระอนาคามี พระสกิทาคามี นั้นมีข้อจำกัดด้านเวลาแบบนี้บ้างมั้ยครับ?
"ฉุดมันเอาไว้ หยุดมันเอาไว้ ไม่ให้มันรวนเร ต้องหยุดนิ่งสุดใจ หยุดมันเอาไว้ ฉุดมันเอาไว้ ไม่ให้มันซวนเซ ต้องฉุดให้ใจหยุด"
- ไมโคร (เพลง หยุดมันเอาไว้)
"แค่หลับตา... (ลบเลือนทุกสิ่ง เหลือเพียงหนึ่งเดียว) เธอจะเห็นยามเธอหลับตา... (ใช้ใจสัมผัสและมองสิ่งนั้น) เธอจะเห็นตัวฉันเป็นอย่างที่เป็น"
- อุ๊ หฤทัย (เพลง แค่หลับตา)

#3 @--แสงตะวัน--@

@--แสงตะวัน--@
  • Members
  • 723 โพสต์
  • Gender:Male
  • Location:Thailand

โพสต์เมื่อ 02 April 2010 - 10:54 AM

ขอบคุณมากๆ ครับ จะตั้งใจหาปัจจัยไปปิดองค์พระด้วยความปิติครับ สาธุๆ
"ชีวิตนี้อุทิศเพื่อพระพุทธศาสนาวิชชาธรรมกาย"

#4 หัดฝัน

หัดฝัน
  • Members
  • 4531 โพสต์
  • Gender:Male
  • Interests:ธรรมะ

โพสต์เมื่อ 02 April 2010 - 11:54 AM

ถูกต้องครับ น้องมองอย่างแมว
สำหรับพระอนาคามีนั้น มีข้อจำกัดอยู่ว่า(ไม่น่าจะเรียกว่าข้อจำกัดนะ น่าจะเรียกว่าข้อกำหนดดีกว่า) หากไม่บรรลุนิพพานในชาตินี้ ละโลกแล้วจะไปอยู่ในพรหมโลกชั้นปัญจสุทธาวาสเท่านั้นครับ แล้วนิพพานในชั้นพรหมเลย ซึ่งอาจจะยาวนานเป็นกัปทีเดียว ยกตัวอย่าง ฆฏิการะพรหม บรรลุเป็นพระอนาคามีในสมัยของพระกัสสัปสัมมาสัมพุทธเจ้า จนกระทั่งศาสนาของพระพุทธเจ้าองค์ก่อนหมดไปแล้ว มาถึงยุคของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าของเราองค์ปัจจุบัน มีคนบรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์ในยุคนี้มากมาย แต่ท่านฆฏิการพรหมก็ยังเป็นพรหมอยู่ครับ

ส่วนพระสกิทาคามี มีข้อกำหนดว่า หากไม่หมดกิเลสในชาตินี้ ก็จะมาเกิดในอีกไม่เกิน 1 ชาติเท่านั้นครับ จากนั้นจะได้บรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์
ส่วนพระโสดาบัน มีข้อกำหนดว่า หากไม่หมดกิเลสในชาตินี้ ก็จะมาเกิดในอีกไม่เกิน 7 ชาติเท่านั้นครับ



สำหรับเรื่องความปีตินั้น ปัจจุบัน ตำราทางจิตวิทยาหลายๆ เล่ม เริ่มนำมาใช้สอนกันแล้วนะครับ โดยใช้เทคนิคคำพูดว่า possitive thinking หรือ คิดบวก อย่าคิดลบ

เช่น ตื่นเช้ามา ก็ให้ตะโกนว่า ฉันเก่งที่สุด ฉันเลิศที่สุด ฉันทำได้ เป็นต้น คือ เขาจะคอยสอนกันว่า หากคิดว่าทำได้ เราก็จะทำได้ ซึ่งเบื้องหลังของเรื่องนี้ คือ นำเรื่องความปีติมาใช้นั่นเอง แต่เขาจะให้พยายามฝึกปีติโดยไม่มีเหตุ

ส่วนผมกลับเห็นว่า ปีติโดยมีเหตุ(แห่งความดี) นั่นแหละครับ จะมีพลังยิ่งกว่า คือ พอทำความดี แล้วเกิดความปีติ นึกถึงบุญอย่างปีติได้ต่อเนื่อง จะมีพลังยิ่งกว่า การฝึกปีติโดยไม่มีเหตุใดๆ ครับ


ได้ดี เพราะมีกัลยาณมิตร

#5 hk_girlza

hk_girlza
  • Members
  • 580 โพสต์

โพสต์เมื่อ 02 April 2010 - 07:10 PM

การทำบุญ เป็นกายขัดใจ และเพิ่มพลังใจ อย่างหนึ่งที่รวดเร้วประการหนึ่งทีเดียวค่ะ

หลังจากทำบุญแล้ว บุญยังส่งผลต่อเนื่อง หากยังมีปีติอยู่ตลอดเวลา

อนุโมทนาบุญค่ะ

#6 Nee-Sansanee 2

Nee-Sansanee 2
  • Members
  • 893 โพสต์
  • Gender:Female

โพสต์เมื่อ 02 April 2010 - 09:37 PM

สาธุค่ะ กำลังรออ่านภาคสามค่ะ

เพิ่งจะรู้ ปืติ และpositive thinking อยู่ในตระกูลเดียวกัน

กลายเป็นหน่อแก่ แบบว่าแก่ต้นมะพร้าว และเฒ่ามะละกอ คือ
ไม่มีแก่นสาร ไร้สาระจริง ๆ หากไม่เจอครูยอดกัลยาณมิตรใน

วันนั้น วันที่ต้องอดทนอธิบายความหมายของ negative thinking
แตกต่างจาก positive thinking อย่างไร ดูเหมือนง่าย ๆแต่

จริงๆ แล้วยังเข้าใจคลาดเคลื่อนอยู่ แต่ก็พอสรุปได้คือการคิดเป็น
และคิดดี จับดีให้ได้แม้ในความร้าย ๆ ก็ยังมีดีอยู่ ไม่คิดชั่วเลยนั่นเอง



นี่คือสาระที่แท้จริงของทั้งหน่อแก่และหน่ออ่อน ต้องหมั่นฝึกใจอย่างจริงจัง
ให้ปิติ ปิติ ปิติ แบบว่าปลื้มไม่รู้จบในบุญกันเล้ยยยยยยยย smile.gif smile.gif smile.gif




#7 Santi072

Santi072
  • Members
  • 151 โพสต์
  • Gender:Not Telling

โพสต์เมื่อ 02 April 2010 - 10:19 PM

แล้วจะมีภาค 3 อีกมั้ยครับ

อ่านแล้วข้อคิดดี จังเลยครับ

พุทธบุตรสายโลหิตของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
เราพันธุ์ดีสุดขั้ว ชั่วลืมไปหมดแล้ว,จิตใจสูงส่งเหลือเกิน,มีปัญญา,มีมงคล,ทำที่ท่านได้ที่เรา

#8 หัดฝัน

หัดฝัน
  • Members
  • 4531 โพสต์
  • Gender:Male
  • Interests:ธรรมะ

โพสต์เมื่อ 03 April 2010 - 12:45 PM

มีสิครับ แต่กำลังหาเวลาว่างๆ พิมพ์อยู่
ได้ดี เพราะมีกัลยาณมิตร

#9 หัดฝัน

หัดฝัน
  • Members
  • 4531 โพสต์
  • Gender:Male
  • Interests:ธรรมะ

โพสต์เมื่อ 03 April 2010 - 04:32 PM

เอ แต่ก่อนจะไปภาค 3 ผมพิจารณาดู เห็นว่าเรื่องของการใช้ "ปีติ" ในการแก้ไขปัญหา ยังมีตัวอย่างเพิ่มเติมอีกนะครับ เพื่อมองให้เห็นภาพชัดๆ ว่า Positive thinking (คิดบวกไม่คิดลบ) สืบเชื้อสายมาจาก ปีติ นั่นเอง

เรื่องการมีอยู่ว่า ในอดีตกาลมีเศรษฐีท่านหนึ่ง ท่านเป็นคนใจบุญตั้งใจสั่งสมบุญกุศลในพระพุทธศาสนา(ของพระพุทธเจ้าองค์ก่อน) อยู่เป็นประจำ ต่อมาในเช้าวันหนึ่ง เศรษฐีเดินทางผ่านไปเห็นชายคนหนึ่งนอนเอาผ้าคลุมโปง โผล่ให้เห็นแต่เท้าที่เปรอะเปื้อนเอาไว้ เศรษฐีจึงรำพึงขึ้นมาทำนองว่า “ใครกันนะ มานอนคลุมโปง ในสถานที่แห่งนี้”

ชายหนุ่มคนนั้น ก็คือ โจรนั่นเอง โจรได้ยินเศรษฐีกล่าวเช่นนั้น ก็สำคัญผิดว่า เศรษฐีว่าตน ก็นึกผูกพยาบาทขึ้นทันที โดยได้ลอบสะกดรอยตามไปจนถึงที่อยู่ของเศรษฐีแล้วก็จดจำไว้

พอถึงเวลาค่ำ ก็ลอบเข้าไปทำร้ายสัตว์เลี้ยง เช่น วัว ควาย ของท่านเศรษฐี อยู่หลายๆ ครั้งๆ หนักเข้าก็จุดไฟเผายุ้งฉางของท่านเศรษฐี แล้วก็คอยลอบสังเกตุกิริยาอาการของท่านเศรษฐี ปรากฏว่า ท่านเศรษฐียังคงมีกิริยาอาการเป็นปรกติไม่ได้เดือดเนื้อร้อนใจแต่อย่างใด

โจรหนุ่มเห็นเช่นนั้น ก็ยิ่งครุ่นแค้นในใจ จึงไปสอบถามจากบรรดาคนแถวนั้นว่า สิ่งของใด หรือสถานที่ใดที่ท่านเศรษฐีท่านนี้ รักมากที่สุด คนแถวนั้นก็เฉลยว่า “ก็กุฏิที่ประทับของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่ท่านเศรษฐีสร้างถวายนี่อย่างไร ที่ท่านเศรษฐีรักมากที่สุด”

โจรหนุ่มได้ฟังก็กระหยิ่มใจ ว่าแล้วก็ดำเนินการลอบเข้าไปเผากุฏิของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทันที คนทั้งหลายที่ได้เห็นเหตุการณ์ไฟไหม้กุฏิพระพุทธเจ้า ต่างก็ตกใจ รีบวิ่งมาบอกท่านเศรษฐี ท่านเศรษฐีวิ่งไปดูเหตุการณ์ แล้วยืนนิ่งๆ สักครู่ โดยโจรผู้ก่อเหตุ ลอบยืนดูอยู่ห่างๆ ขณะที่ชาวบ้านต่างก็มองหน้ามองตากัน

สักพักท่านเศรษฐีก็หัวเราะร่าขึ้นมาแล้วความดีใจอย่างยิ่ง ชาวบ้านต่างพากันสงสัยนึกว่า ท่านเศรษฐีเสียสติไปแล้ว ก็ยิ่งสลดใจ แต่ท่านเศรษฐีกลับบอกว่า “โอช่างดีอะไรเช่นนี้ บุญจากการสร้างกุฏิถวายพระพุทธเจ้า เป็นบุญที่ใหญ่มาก ข้าพเจ้าคิดว่า ชาตินี้คงมีโอกาสทำได้เพียงแค่ครั้งเดียวเท่านั้น นี่ไม่นึกเลยว่าจะเกิดเห็นเช่นนี้ ทำให้ได้มีโอกาสสร้างกุฏิหลังใหม่ถวายพระพุทธเจ้า คราวนี้จะทำให้ใหญ่กว่าเดิมขึ้นไปอีก”

โจรได้ฟังก็ยิ่งคลั่งแค้นยิ่งขึ้นไปอีก เขาบอกกับตัวเองว่า จะต้องหาทางจัดการเศรษฐีคนนี้ให้ได้ เขาเฝ้ารอวันที่ท่านเศรษฐีสร้างกุฏิหลังใหม่เสร็จ แล้วดำเนินการฉลองกุฏิก่อนถวาย ในวันถวายนั้นเอง เขาได้มา ณ ที่นั้นด้วย โดยรำพึงในใจว่า หากเศรษฐีพูดถึงเขาเมื่อไหร่ เขาจะกระโดด เข้าแทงเศรษฐีให้ตายด้วยมีดนี้แหละ

ตอนนั้นเอง เศรษฐีได้พูดขึ้นทำนองว่า ก่อนที่กุฏิเดิมจะไฟไหม้ ได้มีคนลอบไปทำร้ายสัตว์เลี้ยงบ้านท่าน และลอบวางเพลิงบ้านท่าน ต่อมาก็ลอบเผากุฏิ ท่านคิดว่า คนที่ทำเหตุการณ์ทั้งหมดนี้ น่าจะเป็นคนคนเดียวกัน ดังนั้น ท่านจึงขอแบ่งบุญจากการสร้างกุฏิหลังใหม่นี้ถวายแด่พระพุทธเจ้า ให้แก่ผู้ทำเหตุการณ์นี้ด้วย เพราะหากไม่มีเขา ท่านคงไม่มีโอกาสได้รับบุญสร้างกุฏิหลังใหม่ถวายแด่พระพุทธเจ้า

โจรได้ยินก็สะเทือนใจ ตนประทุษร้าย ผู้ไม่ประทุษร้ายตอบตลอดมา จึงเข้าไปขอขมาต่อท่านเศรษฐีครับ

ได้ดี เพราะมีกัลยาณมิตร