
ความรักที่มีอิสระต่อกัน
#1
โพสต์เมื่อ 06 May 2010 - 07:32 AM
เราพยายามขอคุยเพื่อที่จะบอกกับเขาว่า ความรักไม่จำเป็นต้องจบลงด้วยการแต่งงาน ความรักไม่จำเป็นต้องเป็นเจ้าของกัน ให้อิสระกัน
เราก็ยังคงแสดงน้ำใจ คำพูดที่ดีต่อกัน ชวนกันทำบุญ หรือ ร่วมกิจกรรมช่วยงานหลวงพ่อ หรือ ร่วมงานบุญกับเพื่อน ๆ ด้วยกันก็ได้
การที่เรามีความรู้สึกที่ดีต่อกัน ให้กำลังใจกันก้าวเดินในเส้นทางธรรมได้ มีความหวังดีต่อกัน
ถ้าเรารักเป็น ไม่ลืมศูนย์กลางกาย อีกทั้งยังชวนกันให้ระวังรักษาใจให้ใส แค่นี้ เราก็มีความสุขกันได้ แม้เราจะเป็นแค่เพื่อนกันก็ตาม
แต่ตอนนี้แม้แต่คุยต่อหน้าเพื่อนเขาก็ไม่กล้าคุยกับเราด้วยเกรงว่าเพื่อน ๆ จะมองว่าเรากับเขาจะชอบกัน เขาจึงไม่คุยกับเราด้วยทำไงดีค่ะ
ทำไงดีค่ะเขาจึงจะกล้าคุยกับเราต่อหน้าเพื่อน ๆ เป็นปรกติ หรือ กล้าที่จะชวนเราทำกิจกรรมบุญกับเพื่อน ๆ ค่ะ
ตอนนี้เรารู้สึกเลยว่าเป็นส่วนเกินของกลุ่ม เพราะไม่ว่าจะมีกิจกรรมอะไรเขาก็ไม่ยอมแจ้งข่าวบุญเรา ทั้ง ๆ ที่เราอยากทำบุญ
อยากได้ร่วมกิจกรรมกับเพื่อน ๆ มีความสุขกับเพื่อน ๆ ทุกคน เราเคยบอกกับเขาว่าอยากเป็นส่วนหนึ่งของกลุ่ม อยากให้เขาพูดคุยกับเรา
หรือให้เราร่วมกิจกรรมบุญกับเพื่อนเหมือนเดิมเป็นปรกติ เราไม่อยากให้เขาแบ่งแยกเราออกจากกลุ่มเพื่อน ๆ
เขาเองก็เห็นว่า เราไม่เคยวางตัวเป็นเจ้าของเขาเลย มีแต่วางตัวเป็นเพื่อนกันปรกติ เพราะเราเข้าใจเขา และ เพื่อน ๆ ก็เห็นเราเป็นแค่เพื่อนกับเขา เราไม่เคยทำตัวผิดปรกติเลย ถ้าเขาทำตัวปรกติ ทุกอย่างก็จะปรกติ ไม่เป็นที่ผิดสังเกตกับเพื่อน ๆ
ทุกคนคงเข้าใจดีว่า เพื่อนพี่น้องในวงบุญก็จะเชียร์ให้ เนกขัมมบารมีกัน ไม่อยากให้มีครอบครัวกัน เพราะจะทำให้สร้างบารมีได้ช้า
หลาย ๆคน ที่มีความรัก จึงมักจะหลบกันหรือปิดกัน เพราะเกรงว่าเพื่อน ๆ จะรับไม่ได้ คำถามนี้อาจจะโดนใจหลายคนเพราะบางคน
ก็มีปัญหาเช่นนี้เหมือนกัน แล้วก็ไม่รู้จะแก้ หรือ ทำอย่างไรดี
เราอยากให้เขาเจริญรุ่งเรืองในเส้นทางธรรม เราคิดว่า ความรัก ควรให้สิ่งที่ดีที่สุดต่อกัน และไม่จำเป็นต้องเป็นเจ้าของ
แค่เห็นเขาได้ดี มีความสุข ความเจริญ ในเส้นทางธรรม แค่นี้ เราก็ปลื้มแล้ว พอใจแล้ว
และหากเขาจะมีคนอื่น ถ้าเป็นความสุขของเขา เราก็พร้อมจะยินดีกับเขาด้วย และ ยังเป็นเพื่อนกับเขาต่อไป ถ้ารักเป็น ก็มีความสุขค่ะ
ทุกอย่างในอนาคตไม่เคยแน่นอน ทำวันนี้ให้มีความสุขต่อกันดีกว่าค่ะ
พรุ่งนี้ เราอาจจะต่างคนต่างมีครอบครัวก็ได้ ใครจะรู้
พรุ่งนี้ เราอาจจะต่างคนต่างบวชกัน ไม่มีครอบครัวก็ได้ ใครจะรู้
อยากให้ทำวันนี้ คุยกันได้และมีความสุขกับการทำกิจกรรมบุญร่วมกับเพื่อน ๆ ทุกคน แค่นี้ ก็สุขใจแล้ว
หลายคนหลายปัญญา ขอทางสว่างกับเพื่อน ๆ สมาชิกทุกท่านค่ะ ขอบคุณมากค่ะ
#2
โพสต์เมื่อ 06 May 2010 - 08:17 AM
ก็อยู่กันแบบกัลยาณมิตร ก็ โอเค นะ
#3
โพสต์เมื่อ 06 May 2010 - 09:15 AM
ถ้าจำไม่ผิดน่าจะเป็นกระทู้ต่อเนื่องใช่ไหมครับ :-) ผมว่าน้องพิมพ์ระบายความรู้สึกออกมาก็ดีแล้วครับ สนับสนุน ถือเป็นการทบทวนตัวเองไปด้วย แต่มีหลายประโยคมากๆ ที่ถ้ามองจากมุมมองคนภายนอกจะรับรู้ได้เลยว่า ทัศนคติบางส่วนถูกใครซักคนทำให้มันบิดพริ้วไปจากจุดที่มันควรจะอยู่ (ไว้ผ่านไปซักพักแล้วจะรู้ได้ด้วยตัวเองครับ ว่ามันผิดตรงไหน)
อยากจะบอกว่าถ้าจะคบกันแค่เพื่อนมันคงเป็นไปไม่ได้แล้วหละครับ ถ้าอยากกลับไปเป็นเหมือนเดิมจริงๆ คงต้องใช้เวลา เวลา และเวลา โดยส่วนตัวเห็นใจและเข้าใจน้องเจ้าของกระทู้จริงๆ น้องทำใจเถอะครับความรู้สึกนั้นมันเกิดขึ้นมาแล้ว ความผูกพันมันเกิดขึ้นมาแล้ว พี่ว่าตามคำครูไม่ใหญ่เลยครับ "คลายความผูกพัน" ส่วนเรื่องการสร้างบารมีอยากจะบอกว่า "เราเกิดมาคนเดียว ตายก็คนเดียวครับ อย่ามัวเป็นห่วงคนอื่นเค้ามาก เอาตัวเองให้รอด......." (มาจากคำสอนยายบางส่วนนะครับไม่ใช่ทั้งหมด)
ฟังเพลงอุบาสิกาแก้วเล่นๆ ไปพลางๆ ก่อนนะครับ ถือโอกาสฉลองเกิน 1,000 คลิก ใน youtube (ไม่มีอะไรหาเรื่อง promote เพลง)
#4
โพสต์เมื่อ 06 May 2010 - 10:39 AM
เคยทำงานแล้วก็อยู่บ้านพักเดียวกัน จน เพื่อน ๆๆ ญาติๆๆ ทั้ง 2 ฝ่าย พ่อแม่ ก็เข้าใจ ผิดคิดว่า คบกันแบบ(คนรัก+แฟน)
ตอนแรก ก็อธิบาย แต่พวกเขา ไม่ค่อยจะเข้าใจกันมากนัก จนเวลา ผ่านมา 5-6 ปี พี่กับเพื่อนก้อยังเป็นกันเหมือนเดิม รักและห่วงใยซึ่งกันและกันในทุกเรื่อง ปฏิบัตดีต่อกัน เข้าใจกันมาก (แต่เราก็ไม่ได้เป็นแฟนกัน) จนทุกวันนี้ใคร ๆ ก็เข้าใจ และก้อทึ่งในความคิดความรู้สึก และก้อปลื้มใจ
ว่าในโลกนี้มีด้วยเหรอ คนที่ทำกันแบบนี้รักกันแบบนี้ (ตอนนี้เพื่อน บวชพระอยู่ พี่ก็สนับสนุนเต็มที่ อยู่ทางโลกก็ทำงานให้เขาช่วยเต็มที
#5
โพสต์เมื่อ 06 May 2010 - 11:04 AM
ขออนุโมทนาบุญด้วยนะครับ
#6
โพสต์เมื่อ 06 May 2010 - 11:50 AM
ชอบเพลงค่ะ ฟังแล้วสุขใจมาก
ทุกอย่างอาจจะกลับไปไม่ได้เหมือนเดิม แต่ อยากให้ทุกอย่างดีขึ้นกว่าที่เป็นอยู่ตอนนี้ค่ะ
อยากให้เขาคุยกับเราบ้าง ชวนเราไปทำกิจกรรมกับเพื่อน ๆ บ้าง ให้เราเป็นส่วนหนึ่งของกลุ่มค่ะ
ทุกอย่างอยู่ที่เขาน่ะค่ะว่า อยากให้ดีขึ้น หรือ ไม่ดีขึ้น สถานการณืระหว่างเราค่ะ
ความหวังของเราไม่ได้ถึงขนาดให้เป็นแบบคุณ 32420 ค่ะ แต่เราคาดหวังแค่ ณ วันนี้ ยังคงเป็นเพื่อนที่ดีต่อกัน คุยกันได้ ยิ้มให้กันได้
ทำกิจกรรมกับเพื่อนมีความสุขด้วยกันได้ ไม่ได้คาดหวังในอนาคตค่ะ
ความจริงในใจเราก็ปราถนาแบบคุณ 32420 น่ะค่ะ แต่ คงเป็นไปไม่ได้ค่ะ เพราะเขาคงไม่ได้อยากเดินกับเราแบบนั้นมั้งค่ะ
เราเคยเห็นเพื่อน ๆ ที่อยู่ด้วยกันแบบเพื่อน แต่งงานจดทะเบียนตามผู้ใหญ่ขอ แต่อยู่คนละบ้าน
และ อีกคู่ก็แต่งมาถึง 20 ปี แต่ไม่มีลูกด้วยกันอยู่แบบเป็นเพื่อนกัน
ทั้งหมดอยู่ที่คน 2 คน เลือกตัดสินใจว่าจะเป็นอย่างไร ใช้ชีวิตคู่แบบคนวัด ใช้ชีวิตคู่แบบคนทั่วไป
แค่นี้ แค่เราเป็นเพื่อนที่มอบความรู้สึกที่ดีต่อกัน ให้ความปราถนาดีต่อกัน อยู่ร่วมกันในกลุ่ม ในสังคมได้อย่างฉันมิตรไมตรีที่ดีต่อกัน
แค่มอบความสุขในการทำบุญ ในการทำหน้าที่กัลยาณมิตรให้กันแค่นี้ ก็ดีแล้วค่ะ
ชีวิตคนสั้นนักหนา หากไม่ทำเวลาที่มีอยู่เก็บเกี่ยวแต่สิ่งดี ๆต่อกัน วันที่จากตายจากเป็นคงเสียใจว่าเราไม่ได้ทำดีต่อกัน
เป้าหมายของเราและเขาคือ สร้างบารมี หน้าที่มาทำงานที่ยิ่งใหญ่ ติดตามพ่อครูไปถึงที่สุดแห่งธรรม
#7
โพสต์เมื่อ 06 May 2010 - 02:50 PM
#8
โพสต์เมื่อ 06 May 2010 - 05:32 PM
คำตอบจากครูไม่ใหญ่ ซึ่งไปพ้องกับพระธุดงค์รูปหนึ่งโดยบังเอิญว่า "เมื่อใด เราไม่ต้องการสิ่งใด เมื่อนั้น เราจะได้ทุกสิ่งที่ต้องการ"
เวลาคุณเจ้าของกระทู้ปลูกกล้วย คุณเจ้าของกระทู้เคยอยากกินในวันพรุ่งนี้หรือเปล่าครับ เคยร่ำร้องต่อหน้าต้นกล้วย ขอให้ช่วยเจริญเติบโต มีดอกมีผลมาให้ฉันกินในวันพรุ่งนี้ด้วยเถิด เคยทำอย่างนั้นมั้ยครับ ไม่เคยใช่มั้ยครับ
เพราะอะไรหรือครับ เพราะคุณเจ้าของกระทู้รู้ดีกว่า มันต้องอาศัยเวลาใช่ไหมครับ ปลูกต้นกล้วยวันนี้ กว่าจะได้กินผลกล้วยก็ต้องปีหน้า เมื่อเป็นเช่นนี้ เราก็จะรู้จักอดทนรอคอย จังหวะเวลาที่ดี ไม่ใจร้อนใช่มั้ยครับ ซึ่งบางทีต้นกล้วยนั้น ก็อาจอยู่ไม่ถึงปีหน้าก็ได้ อาจจะตายไปก่อน แต่เราก็จะยังคงรู้จักอดทนรอคอยโดยไม่ได้หวั่นไหวว่า ปีหน้าอาจจะไม่ได้กินกล้วยก็ได้นะ แต่เชื่อมั้ยด้วยใจเช่นนี้ พอถึงปีหน้าจริงๆ เราจะได้กินกล้วยครับ
น้องสาวผม เคยประสบเหตุคล้ายๆ อย่างนี้ คือ แฟนชาวต่างประเทศโทรทางไกลมาขอเลิกกันด้วยสาเหตุว่า ไม่สะดวกในการไปมาหาสู่กัน น้องสาวผมเสียใจอยู่หลายวัน หลังจากนั้นเธอก็ทำใจได้ แล้วก็เลิกคิดวุ่นวายกับเรื่องนี้ แต่เชื่อมั้ยครับว่า ผ่านไปแค่ปีเดียว เจ้าหมอนั้นโทรมา บอกว่า ขอคืนดีด้วย แล้วสุดท้ายทั้งคู่ก็ได้แต่งงานกัน น้องสาวผมก็มีอันต้องย้ายไปอยู่ญี่ปุ่นโดยปริยาย
แม้เรื่องนี้จะเป็นเรื่องคล้ายๆ คู่สามีภรรยาทั่วๆไป ไม่ใช่สามีภรรยาคนวัด ก็ตาม แต่โปรดระลึกไว้เสมอว่า "ใจที่รู้จักอดทนรอคอย ไม่ใจร้อนด่วนได้ จะมีพลานุภาพสูงสุด และเมื่อใดก็ตามที่ใจเราไม่ต้องการสิ่งใด เมื่อนั้นเราจะได้ทุกสิ่งที่ต้องการ"
#9
โพสต์เมื่อ 06 May 2010 - 05:49 PM
อย่าลืมนะคะว่าความคิดที่ว่า
อย่าลืมว่าผู้ชายเป็นผู้ที่ได้โอกาส สามารถครองจีวรได้
พี่ว่าพี่เข้าใจความรู้สึกฝ่ายชายนะคะ อาจเป็นน้องเองที่ไม่เข้าใจเค้า และขอโทษนะคะที่ขอพูดตรงๆ พี่รู้สึกว่าน้องเรียกร้องจากเค้า นี่ขนาดเค้ายังไม่ได้ยอมรับว่าชอบ หรือรัก ออกมาตรงๆ
ถ้าเป็นคนที่ตั้งใจมากๆ กับการสร้างบารมี เค้าไม่ต้องการให้มีเรื่องเหล่านี้เข้ามารบกวนจิตใจหรอกค่ะ โดยเฉพาะคนที่ตั้งใจรักษาศีลแปดหรือศีล 227 ตลอดชีวิต การที่จะให้ทำได้อย่างนรอ.usr32420 น่ะ ไม่ใช่จะทำให้ง่ายๆ กันทุกคนนะคะ
ที่สำคัญต้องให้เวลาทั้งกับฝ่ายตรงข้าม และต้องให้เวลากับตัวเองด้วยค่ะ เมื่อมีความเปลี่ยนแปลงที่ยังยอมรับไม่ได้ หรือกะทันหันไป คนเราก็ต้องใช้เวลาในการตั้งหลัก และปรับตัว รวมถึงทำความเข้าใจกับความต้องการของตัวเองและทำความเข้าใจคนอื่นด้วย และแต่ละคนก็ใช้เวลาที่ว่านั้นไม่เท่ากัน
ถ้าน้องชอบเค้าฉันหนุ่ม-สาว และคิดจะคบกับเค้าในฐานะเพื่อนจริงๆ น้องคงไม่ทำหลายๆ อย่าง อย่างที่ทำอยู่ตอนนี้ (เช่น ต้องเป็นเค้าเท่านั้น ที่เป็นคนบอกบุญน้อง เพื่อนคนอื่นๆ ในกลุ่มเป็นคนชวนหรือบอกไม่ได้หรือ....)
เพราะถ้าเพื่อนกัน เพื่อนย่อมไม่คิดมาก ไม่คิดเล็กคิดน้อย
เพราะถ้าระหว่างเพื่อนมีอะไรที่ไม่เข้าใจ ก็เดินไปเปิดอกคุยกัน ง่ายๆ...ไม่ซับซ้อน
เพราะถ้าเป็นเพื่อนกัน ก็ไม่อายที่จะพูดคุยกันต่อหน้าเพื่อนคนอื่น
เพราะถ้าเป็นเพื่อนกัน ก็จะไม่เอาแต่ใจกับอีกฝ่าย
เพราะถ้าเป็นเพื่อนกัน ก็จะไม่เรียกร้องในสิ่งที่เพื่อนให้กันไม่ได้
เพราะถ้าเป็นเพื่อนกัน ย่อมต้องเข้าใจในสิ่งที่เพื่อนเป็น
เพราะถ้าเป็นเพื่อนกัน ก็จะเข้าใจความต้องการ ความตั้งใจของเพื่อน
อาจดูตรงๆ และแรงๆ ก็ขอโทษด้วย แต่ก็อยากให้นำคำพูดเหล่านี้กลับไปคิด และถามใจตัวเองดู อย่าหลอกตัวเองค่ะ ความคิดของเราอาจดีที่สุดสำหรับเรา แต่ไม่ใช่สิ่งที่ดีที่สุดสำหรับอีกคนค่ะ
Last edit 7/5/53 0:37
ความพร้อมเกิดขึ้น เมื่อเริ่มต้นลงมือทำ (โอวาทหลวงพ่อ 27/4/51)
ไม่มีสิ่งใดที่จะรัดตรึงใจบุรุษให้หลงใหลได้มากเท่ากับสตรี ไม่มีสิ่งใดที่จะรัดตรึงใจสตรีให้หลงใหลได้มากเท่ากับบุรุษ
แท้จริงแล้วความรักก็เปรียบดั่งเครื่องพันธนาการ ที่มัดตรึงเหนียวแน่น ให้ลุ่มหลงอยู่ ย่อมจะต้องเวียนว่ายตายเกิดและจมอยู่ในกองทุกข์ร่ำไป
#10
โพสต์เมื่อ 06 May 2010 - 06:07 PM
หลาย ๆคน ที่มีความรัก จึงมักจะหลบกันหรือปิดกัน เพราะเกรงว่าเพื่อน ๆ จะรับไม่ได้
สำหรับดิฉัน ไม่เห็นว่าต้องคิดมากขนาดนั้น และต้องปิดบังกันเลย เพราะถ้าหากบุญในตัวยังไม่มากพอ "ใจ" ก็ไม่เด็ดเดี่ยวมั่นคง ความตั้งใจจะยังไม่เด็ดขาดพอ ..ผลคือยังไม่เด็ดเดี่ยวพอที่จะคิดประพฤติพรหมจรรย์
เรื่องความรัก เป็นเรื่องยากที่จะจัดการ แถมจะใช้เหตุผลและสมองเป็นตัวสั่งการ ก็ออกจะเป็นเรื่องยาก เพราะ "ใจ" นั้นมันดื้อด้าน ต้องผ่านการฝึกฝนมา จึงจะเป็น "ใจ" ที่ว่านอนสอนง่าย
หากยังมีผังเก่าๆ ความคุ้นชินเก่าๆ ก็คงยากที่สร้างผังใหม่ ก็ต้องค่อยๆ ปรับแก้ผังเก่ากันไป ใช่ว่าจะสามารถแก้ได้ในชาติเดียวเสียเมื่อไหร่
ถ้าอยู่เป็นคู่มาก็หลายชาติ ไม่เคยอยู่เป็นโสดเลย ถ้าชาตินี้อยู่เป็นโสดได้ซักครึ่งชาติ ก็ดีมากมายแล้วค่ะ
ซึ่งเรื่องเหล่านี้ พี่น้องนักสร้างบารมีก็ต้องเปิดกว้าง และเห็นอกเห็นใจ เพื่อนนักสร้างบารมีด้วยกัน
ความพร้อมเกิดขึ้น เมื่อเริ่มต้นลงมือทำ (โอวาทหลวงพ่อ 27/4/51)
ไม่มีสิ่งใดที่จะรัดตรึงใจบุรุษให้หลงใหลได้มากเท่ากับสตรี ไม่มีสิ่งใดที่จะรัดตรึงใจสตรีให้หลงใหลได้มากเท่ากับบุรุษ
แท้จริงแล้วความรักก็เปรียบดั่งเครื่องพันธนาการ ที่มัดตรึงเหนียวแน่น ให้ลุ่มหลงอยู่ ย่อมจะต้องเวียนว่ายตายเกิดและจมอยู่ในกองทุกข์ร่ำไป
#11
โพสต์เมื่อ 06 May 2010 - 08:26 PM
เรื่องมีว่า ขุนพลมีหน้าที่ต้องไปรับตัวเจ้าหญิงมาถวายพระราชา
ระหว่างทางมีเหตุณ์การเกิดขึ้นมากมาย ขุนพลและเจ้าหญิง
ก็เกิดความรักต่อกัน แต่ด้วยความภักดีต่อพระราชา ทั้งสองจึง
ต้องหักห้ามใจ และต่างก็รับใช้พระราชาด้วยความภักดี
ตามหน้าที่ของตน(เห็นกันอยู่เสมอๆ)จนหมดลมหายใจ
เรารักพระราชาองค์ที่ออกบวชของเราอย่างขุนพลกับเจ้าหญิงไหม
#12
โพสต์เมื่อ 07 May 2010 - 12:58 AM
เราไม่ได้คาดหวังว่าเหตุการณืจะเป็นแบบที่คุณหัดฝันเล่ามาให้ฟังน่ะค่ะ เพราะ เราก้อไม่รู้ว่าในอนาคตจะเป็นอย่างไรค่ะ เรารู้แต่วันนี้ค่ะ
ความตั้งใจในการเขียนมาครั้งนี้ เราคาดหวังแค่ ณ ปัจจุบันนี้ ที่จะแก้ปัญหาที่เกิดขึ้น ปัญหามันอยู่ตรงที่ทำยังไงเขาจึงจะกล้าคุยกับเรา
ทำยังไงเขาจึงจะเข้าใจเรา และ ทำยังไงที่ทุกอย่างจะดีขึ้น การที่เราเขียนมาหากเขาได้อ่านเขาคงจะเข้าใจในความต้องการของเรามากขึ้น
ซึ่งเจตนาของเราจริง ๆ เราเพียงแค่อยากจะบอกเขาว่า ความผิดพลาดในอดีตมันย้อนกลับไปแก้ไขไม่ได้ แต่ เราสามารถที่จะทำวันนี้
พรุ่งนี้ให้ดีขึนได้ พูดคุยกันได้ ทำกิจกรรมร่วมกับเพื่อน ๆ ได้ และ ในอนาคตจะเป็นอย่างไร ก็ช่าง ทำวันนี้ก็พอที่ยังคงเป็นเพื่อนที่ดีต่อกันค่ะ ทุกวันนี้เราเศร้าค่ะ ที่เขาไม่ยอมให้ร่วมกิจกรรมกับเพื่อน ๆ
แต่คงต้องใช้วิธีของคุณหัดฝันค่ะ รอให้เขาเข้าใจเรา และ ยอมให้เรากลับไปเป็นส่วนหนึ่งของกลุ่ม ร่วมทำกิจกรรมด้วยได้ค่ะ
คำตอบของคุณหัดฝัน และ คุณแสงตะวัน ถูกค่ะ เวลาเท่านั้นค่ะ ที่จะช่วยทำให้ทุกอย่างดีขึ้น
คุณ 072 ค่ะ ขอบคุณน่ะค่ะ กับสิ่งดี ๆ ที่บอกมาค่ะ แต่ คงต้องขอชี้แจงนิดนึงน่ะค่ะ ขอเป็นที่ละประเด็นน่ะค่ะ
ถ้าคุณไม่เคยเห็นเพื่อน ๆ ที่มาวัด เขาปิดบังกันล่ะก้อ คุณคงไม่เข้าใจค่ะ โดยส่วนตัวเขาไม่ต้องการให้ใครทราบค่ะ
และเราพยายามหาทางออกของปัญหาต่างหากล่ะค่ะ
เราเป็นคนหนึ่งที่สนับสนุนให้เขาบวชตลอดชีวิตค่ะ แต่ เราก็เข้าใจเขาค่ะว่าทำไมตอนนี้เขาจึงไม่อยากบวช อยู่ที่เขาตัดสินใจค่ะว่าจะบวช
หรือไม่บวช เราไม่ได้เร่งรัดให้เขาบวชอยู่ที่ความพร้อมของเขาค่ะ เมื่อไหร่ที่เขาบวชเราจะดีใจค่ะ ปลื้ม ได้กราบหลวงพี่ค่ะ
เราไม่เคยเรียกร้องหรือถามเขาเลยว่าชอบเราไหมเป็นแฟนกันไหม มีแต่ เราพยายามบอกกับเขาว่า เป็นเพื่อนกันไหม ชวนกันสร้างบุญบารมีกันไปเรื่อย ๆ แต่เขาไม่เข้าใจเราว่าเราหมายความว่าอย่างไร ต้องการอะไร เรารู้ดีว่าเขาอยากสร้างบุญบารมี เขาอยากอิสระ
ดีซะอีก เป็นเพื่อนซี้ เข้าใจกัน มันสบาย ๆ กว่ากันเยอะเลย 5555 เราจึงตั้งใจเขียนมาครั้งนี้ ลองย้อนไปอ่านให้ละเอียดอีกครั้งน่ะค่ะ
เพื่อนคนอื่นบอกบุญได้ค่ะ ไปบอกบุญกับเพื่อนน้องคนอื่นก็ได้ค่ะ แต่ สำหรับกลุ่มเขาคือคนที่บอกพวกเพื่อน ๆ ในกลุ่มทุกคนว่า
วันนี้มีกิจกรรมบุญอะไร ไปทำกันไหม เราอยากเป็นส่วนหนึ่งของกลุ่มค่ะ เราอยากได้ไปสนุกกับเพื่อน ๆ ในกลุ่มด้วยค่ะ มันเศร้าน่ะที่ไม่ได้ไปร่วมกับเพื่อน ๆ ด้วยค่ะ
ถ้าเขายอมนั่งคุยกับเราสักครั้งให้เข้าใจกันว่า ตกลงกันได้ ปัญหาก็คงยุดิลงได้ง่าย ๆ
===============================
ไม่ว่าจะเป็นเพื่อน แบบ เพื่อนกัน หรือ แบบแฟนกันก็ตาม สิ่งที่เรายังคงปราถนาคือ อยากให้เขาได้ดีในทางธรรมค่ะ ไม่เคยคิดที่จะ
ให้เขาเลิกสร้างบารมีค่ะ ยินดีสนับสนุนการสร้างบารมีของเขาค่ะ ลองย้อนไปอ่านดูแต่แรกจะเข้าใจน่ะค่ะ
อยากบอกว่า จะเป็นเพื่อนกัน หรือ จะไม่ใช่เพื่อนกัน หรือ จะเป็นแฟนกัน ไม่ได้สำคัญเท่ากับ เราชวนกันสร้างบุญบารมีกันดีกว่าค่ะ
ทุกอย่างให้เป็น เรื่องของเวลา ในอนาคตเราอาจจะหันกลับมาหัวเราะกันว่า เราทำอะไรลงไปเนี่ยะ 55555
จะโกรธ จะอยาก จะไม่อยาก เป็นเพื่อนกัน แฟนกัน พรุ่่งนี้อาจจะตายจากกันก็ได้ ทำวันนี้ที่คุยกันได้ ยิ้มให้กันได้ แค่นี้ก็พอแล้วล่ะ
และ อย่างที่เขียนมาทั้งหมด ณ วันนี้ ทำดีต่อกันเช่นเพื่อนที่ดีต่อกันค่ะ พรุ่งนี้ให้เป็นพรุ่งนี้จะเป็นยังไงก็ช่าง
ต่อจากนี้ไปก็ นั่งสมาธิ ดูใจตัวเองดีกว่าค่ะ สบาย ๆ
ขอแค่คุยกันได้บ้างก็พอแล้วล่ะ วันนี้เรามีความสุขน่ะ ที่รู้ว่าใจตัวเองต้องการอะไร มีความสุขน่ะ แม้ปัญหายังเคลียร์ไม่ได้
เขียนมาตั้งเยอะ รู้สึกมันเรื่องนอกตัว ไม่ดีเลยเนอะ มาเอาใจไว้ในตัวดีกว่า มาหาเพื่อนแท้ที่ศูนย์กลางกายดีกว่าค่ะ
ขอบคุณทุกท่านค่ะ ที่ให้คำแนะนำมามีประโยชน์กับทุกคนเลยค่ะ
#13
โพสต์เมื่อ 07 May 2010 - 03:10 AM
ทีีเป็นแบบนี้ก็คงมีสาเหตุ ที่พอมีความรักแล้วคงไม่ได้รับการยอมรับ หรืออาจมีคำพูดจากเพื่อนๆที่ฟังแล้วทำให้ไม่สบายใจ
จุดประสงค์ที่เขียนในความเห็นที่ 10 ก็คือ อยากให้พี่น้องนักสร้างบารมี ยอมรับคนกลุ่มนี้ค่ะ เห็นใจคนที่คิดมีความรัก เห็นใจคนที่ยังคิดอยากมีครอบครัว ให้เค้าได้สามารถมีความรักอย่างมีความสุข และสามารถสร้างบารมีได้อย่างมีความสุข
เพราะเมื่อไหร่ที่คนกลุ่มนี้พร้อม เค้าย่อมต้องคิดที่จะประพฤติพรหมจรรย์ด้วยความเต็มใจ
(ซึ่งอาจจะผิดวัตถุประสงค์ ที่นำมาเขียนในกระทู้นี้ ก็ต้องขออภัยเป็นอย่างมาก)
ความพร้อมเกิดขึ้น เมื่อเริ่มต้นลงมือทำ (โอวาทหลวงพ่อ 27/4/51)
ไม่มีสิ่งใดที่จะรัดตรึงใจบุรุษให้หลงใหลได้มากเท่ากับสตรี ไม่มีสิ่งใดที่จะรัดตรึงใจสตรีให้หลงใหลได้มากเท่ากับบุรุษ
แท้จริงแล้วความรักก็เปรียบดั่งเครื่องพันธนาการ ที่มัดตรึงเหนียวแน่น ให้ลุ่มหลงอยู่ ย่อมจะต้องเวียนว่ายตายเกิดและจมอยู่ในกองทุกข์ร่ำไป
#14
โพสต์เมื่อ 07 May 2010 - 09:13 AM
ได้ตั้งใจอ่านมาตั้งแต่ต้น
1.ความจริงแล้วคุณหาทางออกของปัญหาไม่เจอใช่ไหมค่ะ
2.ความจริงแล้วคุณก็ชอบเขาใช่ไหมค่ะ แต่ดูเหมือนจะมีปัญหาสักอย่างที่คุณรู้ดีว่า อะไร เกี่ยวกับตัวเขาหรือเปล่า
อ่านดูแล้ว เหมือนคุณจะบอกว่าเข้าใจว่าเขาต้องการอะไร คุณจึงพยายามแก้ปัญหาด้วยการลดระดับลงมาเป็นแค่เพื่อนกัน
3.และ ดูเหมือนจะมีปัญหาเรื่องการคุยกันไม่ได้ กับ การเข้ากลุ่มทำกิจกรรม ที่เหมือนคุณถูกเขาแยกคุณออกมาใช่ไหมค่ะ
คุณจึงเข้ามาเขียนคำถามอีกครั้งเพื่อหาทางแก้ไขกับการที่จะคุยกันได้ ร่วมกิจกรรมกันได้เหมือนเดิม
4.ความจริงแล้วคุณปราถนา เหมือนกับ คุณ 32420 ใช่ไหมค่ะ แต่เมื่อไม่สามารถแก้ปัญหาได้คุณจึงคิดแก้ปัญหาด้วยการเป็นเพื่อนกันใช่ไหมค่ะ
5.ปัญหามันมีเกิดขึ้น คุณจึงบอกว่า ความรักไม่จำเป็นต้องจบลงด้วยการแต่งงาน ไม่จำเป็นต้องเป็นเจ้าของก็ได้ ดูเหมือนคุณจะพยายาม
กับการแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นเอง คุณเคยได้คุยตกลงกับเขาไหมว่า เขาอยากให้คุณทำยังไง
สรุป ใช้วิธีแบบคุณหัดฝัน และ คุณแสงตะวัน เถอะค่ะ เวลาเท่านั้นอาจจะทำให้ทุกอย่างดีขึ้น
6.และ สุดท้ายที่คุณเขียนตอนจบ เหมือนคุณปล่อยวาง จะเป็นยังไงก็ช่าง จะคุยกันได้ หรือ จะเป็นเพื่อน หรือ แฟน ก็ช่าง
เหมือนคุณกำลังอยากจะบอกว่า แล้วแต่เขา แล้วแต่อะไรจะเกิด ก็ช่าง
7. ใจคุณจริง ๆ ตอนนี้ คุณอยากนั่งสมาธิใช่ไหม อยากวางเรื่องทั้งหมดใช่ไหม เหมือนไม่อยากเคลียร์กับเขาแล้วใช่ไหมตอนสุดท้าย
เคยอ่านจากกระทู้อื่น ๆ ที่ไม่ใช่ของคุณ มีท่านหนึ่งเข้ามาโพสต์ว่า แล้วเวลาที่ผ่านไปจะทำให้ได้เพื่อนใหม่ก็ได้ อะไรก็ไม่แน่นอน
คุณวางน่ะดีแล้ว นั่งสมาธิมาก ๆ เถอะค่ะ หาเพื่อนในตัวเถอะค่ะ ในโลกนี้ไม่ใช่คุณคนเดียวที่มีปัญหา อีกหลายคนที่ยังมีความทุกข์
ขอให้คุณโชคดี ที่จะแก้ปัญหาได้ทุกเรื่อง และ คุยกับเขาได้น่ะค่ะ และ ให้เขาเข้าใจคุณค่ะ
#15
โพสต์เมื่อ 07 May 2010 - 10:21 AM
กรณีน้องสาวผม หากทำใจได้แล้ว แล้วเจ้าหมอนั่นไม่มาขอคืนดีล่ะจะทำยังไง อ้าวก็ทำใจได้แล้วไงล่ะครับ ก็จะไม่มีปัญหาอะไร เวลาก็ช่วยเยียวยาได้ทุกสิ่งนั่นเองครับ
#16
โพสต์เมื่อ 07 May 2010 - 11:49 AM
ให้เป็นเรื่องของอนาคตค่ะ ไม่ทราบเหมือนกันถ้าเป็นในอนาคตจะเป็นยังไง จะตัดสินใจยังไง ทราบแต่ว่าวันนี้อยากให้ปัญหาที่มีอยู่แก้ไขได้ค่ะ
ขอแค่วันนี้เข้าใจกันได้ พูดคุยกันได้ ร่วมกิจกรรมกันได้ มีความปราถนาดีต่อกัน ชวนกันสร้างบุญบารมีกันได้ค่ะ แค่นี้ก็ พอใจแล้วค่ะ
กำลังฟังหลวงพ่อพูดด้วยค่ะ หลวงพ่อบอกมีความสุขจากการทานไอติมด้วยกัน อืมมแค่นี้ ก็สุขได้แล้วค่ะ ฟังแล้วอยากทานไอติมจัง
วันนี้ วันนี้ แค่นี้ ๆ ก็ยิ้มให้กันได้ แค่นี้ๆ ก็ดีใจแล้วค่ะ
พรุ่งนี้ พรุ่งนี้ จะเป็นไงก็ ให้พรุ่งนี้ ........ ค่ะ
#17
โพสต์เมื่อ 07 May 2010 - 12:14 PM
ดังนั้น แม้แค่การอยากให้ปัญหาที่มีอยู่แก้ไขได้ ก็ไม่ควรเรียกร้องครับ หากยังไม่ถึงเวลาที่ปัญหาจะแก้ไขได้
แม้แค่การเข้าใจกันได้ ก็ไม่ควรเรียกร้องครับ หากยังไม่ถึงเวลาที่จะเข้าใจกันได้ (พ่อผม กว่าผมจะทำให้เข้าใจวัดได้ ต้องจนถึงวันที่พ่อใกล้จะละโลกเชียวนะครับ แต่ก็สำเร็จ)
แม้แค่การพูดคุยกัน ร่วมกิจกรรมกัน ก็ไม่ควรเรียกร้องครับ หากยังไม่ถึงเวลาที่จะเป็นอย่างนั้นได้
หากคุณเข้าใจตรงนี้จริงๆ นั่นแหละครับ คุณถึงจะเข้าใจที่หลวงพ่อพูดว่า "เมื่อใดไม่ต้องการสิ่งใด เมื่อนั้น เราจะได้ทุกสิ่งที่ต้องการ"
#18
โพสต์เมื่อ 07 May 2010 - 02:17 PM
#19
โพสต์เมื่อ 07 May 2010 - 09:08 PM
พอยังไม่ถึงเวลา ใจมันร้อนรน
#20
โพสต์เมื่อ 08 May 2010 - 12:24 AM
เราเข้าใจค่ะว่าทุกอย่างต้องอาศัยเวลาค่ะ ตั้งแต่เมื่อวานที่อ่านทุกคนโพสต์มาค่ะ ก็คิดว่าเวลาดีที่สุดแล้วค่ะ
ที่เราบอกว่าขอแค่วันนี้ เข้าใจกัน คุยกันได้ ร่วมกิจกรรมกันได้ เราก็หวังให้เป็นจริงค่ะ หวังและฝันว่าทุกอย่างจะดีขึ้นค่ะ
แต่ เราไม่คิดที่จะเรียกร้องกับเขาอีกค่ะ ไม่คิดที่จะเดินเข้าไปบอกกับเขาว่าขอปรับความเข้าใจด้วยค่ะ ไม่คิดที่จะเรียกร้องขอเข้าร่วมกิจกรรม ไม่คิดจะเรียกร้องขอคุยด้วยค่ะ เพราะเราเข้าใจเขาแล้วค่ะว่าเขายังไม่พร้อม เพราะคงต้องให้เวลาที่จะทำให้ทุกอย่างดีขึ้นค่ะ
เราเชื่อว่าทุกคนที่มีปัญหาย่อมจะคาดหวังให้ทุกอย่างดีขึ้น และอยากให้เป็นอย่างที่ใจต้องการ เราก็แค่หวังค่ะ จึงบอกขอแค่วันนี้ดีขึ้นค่ะ
อย่างน้อยที่สุด เมื่อเวลาที่เจอหน้ากันที่วัด อย่างน้อยก็ทักทายกันบ้าง ยิ้มให้กันบ้าง ก็ยังดีค่ะ ก็เป็นแค่ความหวัง ความฝันที่อยากให้เป็นจริงค่ะ
ขอบคุณค่ะ สบายใจขึ้นมากค่ะ ชอบทานไอติมค่ะ มีความสุขเวลาทานไอติม มันเย็น ๆ หวาน ๆ ให้อารมณืสบาย ๆ ค่ะ
ทำวันนี้ให้มีรอยยิ้มดีกว่าค่ะ พรุ่งนี้ ก็ให้พรุ่งนี้ .....ค่ะ พรุ่งนี้อาจจะมีความสุขรออยู่ก็ได้ค่ะ จริงไม๊ จะแบกอะไรมากมายหนอ
วันนี้ดีจังค่ะ นั่งสมาธิได้นิ่งกว่าทุกวันค่ะ มันวางอะไร ๆ ได้หลายอย่างค่ะ
หยุดที่ใจตัวเองดีกว่าค่ะ หยุดที่ศูนย์กลางกาย แล้ว จะพบเพื่อนแท้แน่นอนที่มีแต่ความสุขค่ะ
ขอให้ทุกท่านที่ช่วยชี้ทางสว่าง และ ทุกคนที่เข้ามาอ่าน ขอให้มีความสุขกันทุกท่านค่ะ
และขอให้เขา เพื่อนทุกคน มีความสุขกันทุกคนค่ะ
และขอให้เรา สมปราถนาที่อยากให้สถานการณ์ทุกอย่างดีขึ้นค่ะ มีความสุขทุกวันค่ะ
#21
โพสต์เมื่อ 08 May 2010 - 11:15 AM
ในอดีตไม่เคยเจอเรื่องราวแบบนี้ใช่ไหมครับ?
แล้วรู้สึกจริงๆ หรือยังครับว่า "ความรัก" (ในเชิงหนุ่มสาว) มิใช่ความรักที่แท้จริง?
เคยรู้สึกบ้างไหมครับ ว่าเหตุการณ์มันวนๆ ความคิดมันวนๆ?
เคยรู้สึกไหมครับว่า มันไม่น่าจะเกิดแบบนี้กับเราเพียงแค่ชาตินี้ชาติเดียว?
ความรักความผูกพันมีข้อดีครับ แต่ถ้ามันมีหรือเกิดขึ้นแล้ว "ร้อนเขาร้อนเรา" มันก็คงต้องมีใครซักคนที่ต้องเสียสละ
อีกประเด็นนึงที่อยากให้น้องทำใจไว้ก่อนก็คือ "คนเราแต่ละคนมีพื้นฐานชีวิตต่างกันครับ" อย่าคาดหวังว่าทุกคนจะคิดเหมือนเรา
เท่่าที่อ่านพี่ว่าน้องเข้าใจเรื่องราวเยอะมากแ้ล้วหละครับ ดีใจด้วยจริงๆ เพียงแต่การตัดใจในเรื่องราวนั้นๆ บอกได้เลยว่า มันซิยาก แต่ก็ยากพอสู้ และที่สำคัญนะครับเมืื่อสู้กับตัวเองแล้ว เมื่อชนะใจตัวเองแล้ว ต้องเข้าใจในธรรมชาติของใจว่า มันมีขึ้นมีลงเป็นธรรมดา ใช่ว่าตัดใจแล้วมันจะตัดใจได้ขาด เพราะมันมีเชื้ออยู่เยอะ ถ้าใจมันจะตกอีก ก็ต้องรีบยกใจให้ขึ้นมาโดยเร็ว ที่สำคัญอย่างห่างจากหมู่คณะนะครับ อย่าลืมว่า "กัลยานมิตรคือทั้งหมดของพรหมจรรย์"
สู้ๆ นะครับ เราสู้ไปพร้อมกัน :-)
#22
โพสต์เมื่อ 09 May 2010 - 08:49 AM
รักที่ไม่ใช่เพื่อครอบครอง รักที่มีแต่ช่วยเหลือ รักที่มองเห็นความเป็นจริงของธรรมชาติ
รักที่มีแต่ความปรารถนาดี ความเห็นอกเห็นใจ ความร่วมยินดี วางใจเป็นกลาง
รักแบบนี้ครับ เป็นรักแท้ และเป็นรักที่บริสุทธิ์
แต่รักที่ยิ่งใหญ่ที่สุด คือรักของพระพุทธองค์ พระองค์ทรงเมตตาต่อสรรพสัตว์อย่างเสมอภาค
แม้ผู้ที่อาฆาตมาดร้ายต่อพระองค์ ผู้ที่หมายจะทำร้ายพระองค์ พระองค์ก็ยังทรงเมตตา พระองค์มีแต่ให้อภัย
พระองค์มีแต่ความปรารถนาดีต่อสรรพสัตว์ เพื่อให้สรรพสัตว์ทั้งหลายได้หลุดพ้น...
"ที่นี่ไม่วุ่นวาย ที่นี่ไม่ขัดข้อง มาเถิด จงนั่งลง เราจักแสดงธรรมแก่เธอ...มีใจสงบ เบิกบาน"
I'm flowers of emptiness, I'm blossoms of the nameless, It is neither void nor does, The nature haven't first and last.
#23
โพสต์เมื่อ 09 May 2010 - 01:10 PM
"บุคคลเหล่าใด มีเพียงความเชื่อ เพียงความรักในเรา บุคคลเหล่านั้นทั้งหมด เป็นผู้มีสวรรค์เป็นที่ไปในเบื้องหน้า"
จากพระไตรปิฎก อลคัททูปมสูตร มู. ม. (๒๘๘)
พระพุทธเจ้าของเรา เป็นความรักเมตตา มหากรุณาอย่างแท้จริง ไม่มีอคติ ลำเอียง ความเศร้าหมองใดๆ
เพียงแค่รักพระพุทธองค์ เราก็ได้รับส่วนแห่งความรอด ความบริสุทธิ์ กันแล้ว
แม้ใครไม่รักพระองค์ ขอแค่เป็นคนดีตามหลักวิถีพุทธ ไม่ต้องจำนน จำยอม อ้อนวอน ศิโรราบ
ด้วยอานุภาพพระรัตนตรัย ก็จักนำพาเราไปสู่ความบริสุทธิ์ หลุดพ้น ในที่สุด

ละธรรมดำ ยังธรรมขาวให้เจริญ
ธัมมะกาโย อะหัง อิติปิ
เราตถาคต คือธรรมกาย
#24
โพสต์เมื่อ 10 May 2010 - 08:19 AM




แล้วพบกันที่......" ฝันในฝันวิทยา "
.......................................................................................................
Happy ending ทุก ๆ คนนะคะ
...............................................
#25
โพสต์เมื่อ 13 May 2010 - 08:47 PM
ไม่มีสิ่งใดที่จะรัดตรึงใจสตรีให้หลงใหลได้มากเท่ากับบุรุษ
แท้ จริงแล้วความรักก็เปรียบดั่งเครื่องพันธนาการที่มัดตรึงเหนียวแน่น ให้ลุ่มหลงอยู่ ย่อมจะต้องเวียนว่ายตายเกิดและจมอยู่ในกองทุกข์ร่ำไป
ความพร้อมเกิดขึ้น เมื่อเริ่มต้นลงมือทำ (โอวาทหลวงพ่อ 27/4/51)
ไม่มีสิ่งใดที่จะรัดตรึงใจบุรุษให้หลงใหลได้มากเท่ากับสตรี ไม่มีสิ่งใดที่จะรัดตรึงใจสตรีให้หลงใหลได้มากเท่ากับบุรุษ
แท้จริงแล้วความรักก็เปรียบดั่งเครื่องพันธนาการ ที่มัดตรึงเหนียวแน่น ให้ลุ่มหลงอยู่ ย่อมจะต้องเวียนว่ายตายเกิดและจมอยู่ในกองทุกข์ร่ำไป