
พระก็ตกหลุมรักได้
#1
โพสต์เมื่อ 07 May 2010 - 09:22 AM
เพราะฉะนั้นเราต้องเตรียมตัว ให้รู้เท่า รู้ทัน รู้กัน รู้แก้ และที่แน่ๆ อย่าให้ตกในมันจะระเบิดรุนแรง
กัลยาณมิตรพร้อมที่จะช่วยเหลือกันเสมอ ไม่มีใครตำหนิใครเพราะกิเลสมันจ้องจับอยู่ตลอดเวลาหากเรา
เผลอ ประมาทในธรรมเมื่อใด "คุณยายจึงสอนว่าอย่าให้ลูก กะตามันช็อตกัน" ท่านหมายถึงให้สำรวม
ระวังอินทรีย์ โดยเฉพาะดวงตา ภาษาใจ ตาประสพตา จึงพืงระวังให้มากๆๆ..นี่อยู่ในระดับรู้เท่า รู้ทัน รู้ป้องกัน
เลยขั้นนี้ไปต้องรู้แก้ ดั่งที่เราเห็น ๆกันอยู่ในเว็บบอร์ดDMCนี้แหละค่ะ
.....................
การแก้นี่ซิยากจริง ๆ เด้อ ไม่มีใครอยากให้ใครเจ็บแต่จะทำอย่างไรล่ะ
ถึงจะสื่อถึงกันได้แบบ "บัวไม่ช้ำ น้ำไม่ขุ่น" และไม่เย็นชาจนอึดอัด แถมประชดส่ง...นี่ไม่ใช่อาการนิ่งนะ
ทำให้นึกถึงตอนที่หลวงพ่อคุณครูไม่ใหญ่ได้เป็นกัลยาณมิตรให้คุณครูไม่เล็ก
ตอนที่ท่านยังเป็นสมาชิกใหม่ของวัดปากน้ำ ถึงลักษณะการพูดตรง ๆก็เหมือนกับลักษณะการ
ส่งของให้ผู้รับ เขาได้รับๆๆๆๆๆๆๆๆๆ แต่ได้รับในแบบไหน
ก.เอาของส่งให้เขาสองมือ ค่อย ๆส่งให้ต่อหน้าดีไหม..........ดีซ๊
ข.ใช้มือเดียวส่งให้ ตรงหน้าเขาก็ได้รับเช่นกัน
ค.ขว้างไปให้ตรงหน้าเลยหรือกระแทกให้ ก็เป็นการให้ตรงเหมือนกัน
ง.ตีกะบาลเปรี้ยงเลย ตรงหน้าเหมือนกัน
ทั้งหมดเป็นข้อคิดประมาณนี้ จำมานะหากผิดพลาดประการใด ๆ ก็กราบขออภัยด้วยเจ้าค่ะ
....................
สิริมา สิริมา สิริมา พวกเราคงจะรู้จักกันดีแล้วเธอคืออดีตหญิงงามเมืองที่พระภิกษุรูปหนึ่ง
ได้ตกหลุมรักเธอ อย่างแรงถึงกับกินไม่ได้ นอนไม่หลับ จนล้มป่วย แต่ในที่สุดทั้งพระและนาง
สิริมาก็ได้บรรลุธรรมเป็นพระโสดาบัน.......เพราะกัลยาณมิตรนั่นเอง หลวงพ่อคุณครูไม่ใหญ่เคย
เทศน์ไว้ในธรรมะเพื่อประชาชน เชิญคลิกอ่านได้เลยค่ะ
http://www.dmc.tv/pa...ngkol04-27.html
#2
โพสต์เมื่อ 07 May 2010 - 10:18 AM

"คุณ ยายจึงสอนว่าอย่าให้ลูก กะตามันช็อตกัน"
ไอ้ดวงตานี้มันก็แปลกนะครับ เล็กๆ ไม่มีอะไรแต่มันน่าสนใจ แต่พอได้สบตาเท่านั้น ฮืม ฮืม แบบว่าเป็นคนแพ้คนนัยตาสวยครับไม่รู้ทำไม

#3
โพสต์เมื่อ 07 May 2010 - 01:31 PM
#4
โพสต์เมื่อ 07 May 2010 - 05:08 PM
ลูกกะตาน่ากลัวแล้ว ความใกล้กันก็น่ากลัวไม่แพ้กันค่ะ
เฮ้อ...น่ากลัวจริงๆ
แล้วถ้ารักหรือชอบนั้น ไม่ได้เกิดเพราะรูปกายภายนอกล่ะค่ะ จะหาอะไรมาเตือนสติ หรือปลงอนิจจังดี(นอกจากไปนั่งสมาธิ แล้วเอาใจไว้ที่ศูนย์กลางกาย)
ความพร้อมเกิดขึ้น เมื่อเริ่มต้นลงมือทำ (โอวาทหลวงพ่อ 27/4/51)
ไม่มีสิ่งใดที่จะรัดตรึงใจบุรุษให้หลงใหลได้มากเท่ากับสตรี ไม่มีสิ่งใดที่จะรัดตรึงใจสตรีให้หลงใหลได้มากเท่ากับบุรุษ
แท้จริงแล้วความรักก็เปรียบดั่งเครื่องพันธนาการ ที่มัดตรึงเหนียวแน่น ให้ลุ่มหลงอยู่ ย่อมจะต้องเวียนว่ายตายเกิดและจมอยู่ในกองทุกข์ร่ำไป
#5
โพสต์เมื่อ 07 May 2010 - 05:42 PM
ไม่เพียงแต่พระภิกษะ หรืออุบาสกที่เตรียมตัวบวช ที่ต้องระวังเรื่องผู้หญิง
แม้อุบาสก อุบาสิกา ที่คิดประพฤติพรหมจรรย์ก็ต้องพึงระวังเพศตรงข้าม
แม้เป็นโยมผู้หญิงที่มาวัด ก็ต้องพึงสำรวมระวังกริยาเมื่ออยู่ต่อหน้าพระภิกษุ เพราะเดี่ยวอาจเป็นอย่างหัวข้อกระทู้ได้ ...พระก็ตกหลุมรักได้
ความพร้อมเกิดขึ้น เมื่อเริ่มต้นลงมือทำ (โอวาทหลวงพ่อ 27/4/51)
ไม่มีสิ่งใดที่จะรัดตรึงใจบุรุษให้หลงใหลได้มากเท่ากับสตรี ไม่มีสิ่งใดที่จะรัดตรึงใจสตรีให้หลงใหลได้มากเท่ากับบุรุษ
แท้จริงแล้วความรักก็เปรียบดั่งเครื่องพันธนาการ ที่มัดตรึงเหนียวแน่น ให้ลุ่มหลงอยู่ ย่อมจะต้องเวียนว่ายตายเกิดและจมอยู่ในกองทุกข์ร่ำไป
#6
โพสต์เมื่อ 07 May 2010 - 07:07 PM
หากเผลอไผลไปบ้างก็เป็นธรรมดา ของมนุษย์ที่ยังกำลังฝึกฝนตัวเองอยู่
แต่เมื่อรู้แล้วก็ให้รีบกลับบ้านใจ บ้านใครก็บ้านคนนั้น ให้เคารพในสิทธิของ
กันและกันในแต่ละบุคคลให้ตั้งอยู่บนพื้นฐานแห่งความเมตตาต่อกัน
......................
เมตตาต่อกันคือตั้งความรัก + ปรารถนาดี ให้กันและกัน เป็น loving + kindness ต่อกัน
ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นถูกใจหรือไม่ถูกใจก็ตามก็ให้อภัยได้ ค่อย ๆฝึกไปด้วยการเรียนรู้
ธรรมะทั้งนั่งสมาธิและฟังธรรมค่ะ
#7
โพสต์เมื่อ 07 May 2010 - 09:38 PM
ไม่ว่าศาสนาไหนๆที่มีนักบวช ก็จะมีเรื่องแบบนี้แบบนี้กันทั้งนั้นครับ
แต่ทางพุทธ จะสอนเรื่องความรักแบบกามคุณ เป็นเรื่องเป็นราว มีหลักการพร้อมครับ
วัตถุกาม คือกามคุณ 5 ไงครับ ต้องสำรวมอินทรีย์กับกามคุณ 5 และอย่าไปสานต่ออารมณ์
จะมีปัญหามากสำหรับพระที่ท่านยังไม่เคยผ่านสตรีเพศมานะครับ ก็ขอเอาใจช่วยให้ท่านจิตใจและอินทรีย์กล้าแข็งขึ้นมาครับ ชาตินี้ตัดใจไปเลยครับ
ส่วนท่านที่เคยผ่านเรื่องโลกๆมาแล้ว หากตั้งใจจะอุทิศชีวิตจริงๆ ก็ไม่ควรสานต่ออารมณ์เรื่องกามคุณ 5 โดยเด็ดขาด ปลงได้แล้ว ชีวิตก็มีเท่านี้ เร่งสร้างบารมีดีกว่า
แต่ผู้ทีบารมีเนกขัมมมาดี อย่างเจ้าชายสิทธัตถะ พระมหากัสสปะ พระมหากัจจายนะและภรรยา เป็นต้น ท่านเหล่านี้ ขนาดแต่งงานกันแล้วยังนอนเอาหลังชนกัน ไม่สนใจกามคุณเลยครับ

ละธรรมดำ ยังธรรมขาวให้เจริญ
ธัมมะกาโย อะหัง อิติปิ
เราตถาคต คือธรรมกาย
#8
โพสต์เมื่อ 08 May 2010 - 06:19 AM
"ไม่ประมาทในธรรม-การคุ้มครองอินทรีย์" เป็นพระธรรมเทศนาของหลวงพ่อคุณคูรไม่ใหญ่ค่ะ
http://www.dmc.tv/pa...ngkol04-34.html
เป็นการระมัดระวังอินทรีย์ดังต่อไปนี้คือ
ตากับรูป1 หูกับเสียง2 จมูกกับกลิ่น3 ลิ้นกับรส4 กายกับกาย5
และใจที่คิดสานต่อ ปรุงแต่งออกไป
#9
โพสต์เมื่อ 08 May 2010 - 10:16 AM
แฮะๆ .. ราคะมีโทษน้อยแต่คลายช้า โทสะมีโทษมากแต่คลายเร็ว โมหะ(ความหลง)มีโทษมากด้วย และคลายช้าด้วย
... แม้จะคลายช้า แต่ก็พิษนะ ...
แม้มีพิษเพียงเล็กน้อยในดวงจิต ก็จงคิดถอนพิษนั้นเสียเถิดหนา
หากปล่อยไว้นานเข้าจะแย่นา มาเถิดมา ถอด มันออกก็เถิดเรา .. กลอนมั่วๆ น่ะคะ ^^
#10
โพสต์เมื่อ 08 May 2010 - 04:09 PM
โดยส่งเธอไปเป็นนักรบเขตใน ลูกสาวสุดเลิพของหลวงพ่อ
ด้วยหวังให้เธอนำความรักที่มอบให้นี้ไปส่งต่อให้ชาวโลกต่อไป
และผมก็จะตามหารักใหม่(ทั้งหญิง/ชาย)เพื่อที่จะมอบรักให้
เหมือนที่เคยมอบให้กับเธอ
ชายอื่นคิดจีบเธอล่ะก้อ ให้ไปขอหลวงพ่อ(ทัตตะฯ)ก่อนแล้วกัน
#11
โพสต์เมื่อ 08 May 2010 - 04:44 PM
ก็เลยลองไปหาข้อมูลมา หัวใจสำคัญคือการ สักแต่ว่าเห็น สักแต่ว่าได้ยิน สักแต่ว่าได้กลิ่น สักแต่ว่าได้สัมผัส
อ๋อ...เพราะใจมันปรุงแต่งนี้เอง ปรุงแต่งว่าหล่อ ว่าสวย ว่าน่ารัก น่าพอใจ ปรุงแต่งว่าดี ว่าสุภาพ ว่าเข้ากันได้ ถึงได้ยิ่งแปลบเข้าไปในใจเป็นคำรบสอง จากคำรบแรกที่กระทบตา กระทบหู กระทบจมูก กระทบลิ้น กระทบกาย ยิ่งโดนเข้าไปหลายแปลบ ใจก็ยิ่งห่างจากศูนย์กลางกาย ไปห่วงหาปลาบปลื้มของน่ารัก ของสวย ของน่าใคร่น่าพอใจ แล้วอยากได้ อยากมี อยากครอบครอง
ดังคำกล่าวของ
พระเดชพระคุณพระมงคลเทพมุนี หลวงพ่อวัดปากน้ำ ภาษีเจริญ(สด จันทสโร)ที่ว่า
เมื่อตากระทบรูป ฉาดเข้าให้ มันก็แลบแปลบเข้ามาถึงใจ ถ้าใจไม่หยุด ก็บอกว่า เอา..สวยยิ่งเหลือเกิน ถ้าใจหยุด ก็บอกว่า อ้ายนี่เป็นพิษแก่ข้า..ไม่เอา หยุดเสียอย่างเก่า ไม่ขยับเขยื้อนทีเดียว...
หูกระทบเสียง แปลบเข้า อ้า! เป็นที่ปลาบปลึ้มของใจจริง ๆ จะทำยังไงดี จะเอาหรือไม่เอา ไม่ได้ ๆ ไปรักมันเข้าละก็ มันเป็นอภิชฌา เดี๋ยวก็ไปเพ่งมัน เดี๋ยวก็เป็นโทมนัสเดี๋ยวก็ดีใจเสียใจกับเสียงนั้นแหละ ไม่ได้การ..ใจหยุดกึกเสีย ไม่เป็นไปตามความปลื้มใจ อิ่มในเสียงนั้น..
พอกลิ่นกระทบจมูกเข้า แล่นแปลบเข้าไปถึงใจอีกเหมือนกัน กลิ่นนี้หอมชื่นใจนัก จะเอาหรือไม่..เข้าใจก็หยุดกึกเสีย ไม่ได้..อ้ายนี่ถ้าปล่อยไว้ไปติดมันเข้า เดี๋ยวก็ดีใจ เดี๋ยวก็เสียใจ ทำใจของเราให้ต่ำ มันเป็นอภิชฌาโทมนัส มันเป็นข้าศึกต่อเราแท้ ๆ ใจก็หยุดนิ่งอยู่ในศูนย์กลางดวงธรรมที่ทำให้เป็นกายมนุษย์...
พอรสกระทบลิ้นเข้าฉาด แหม! อ้ายรสนี่สำคัญแท้ ๆ ชอบใจเสียจริงๆ ใจก็นิ่งเสียอีกไม่ข้องแวะ ไม่เหลียวแล มันเป็นโทษแก่เรา ถ้าขืนไปรับอ้ายรสนี้ละก็ เดี๋ยวความดีใจเสียใจมันต้องประทุษร้ายเรา ใจก็จะนิ่งอยู่ไม่ได้ มันก็จะฆ่าเราเสียเท่านั้น ไม่ได้ ๆ.. ใจก็นิ่งอยู่อย่างนั้น..
พอสัมผัสกระทบร่างกาย เย็นร้อนอ่อนแข็ง เอ้า! ชอบใจหรือไม่ชอบใจเล่า ถูกเข้า..มันนิ่มนวลชวนปลาบปลึ้มที่เดียว ไม่ได้ๆ..ไปยุ่งกับอ้ายความสัมผัสไม่ได้ ถ้าเข้าไปยุ่งกับมัน ประเดี๋ยวเถอะ พาโทมนัสมาประทุษร้ายใจเรา ใจเราหยุดไม่ได้ เดี๋ยวเสียภูมิ เดี๋ยวใจของนักปราชญ์จะกลายเป็นใจของคนพาลไปเสีย ก็หยุดนิ่งเสียอีกไม่ยอมให้ทั้ง ๕ อย่างเข้ามาสู่ใจ ถ้าเลยเข้ามาได้..ก็ขาดความสำรวม ถ้าขาดความสำรวมใจก็เป็นโทษ เป็นโทษอย่างไร อภิชฌาและโทมนัสก็เข้าบังคับใจ เดี๋ยวก็ดีใจ เดี๋ยวก็เสียใจ...
ถ้าจะให้อภิชฌาและโทมนัสบังคับไม่ได้ ก็จงทำใจให้หยุดเสีย..”
ต้องขออนุโมนาบุญกับ นรอ.innerpeace ที่แบ่งปันความรู้ และชี้ทางอริยทรัพย์ค่ะ
และต้องขอภาวนาให้ผู้ที่มีปัญหาเรื่องนี้ ได้อ่านและพบทางแก้ปัญหา สามารถกำจัดกิเลสให้ออกไปจากใจ
ความพร้อมเกิดขึ้น เมื่อเริ่มต้นลงมือทำ (โอวาทหลวงพ่อ 27/4/51)
ไม่มีสิ่งใดที่จะรัดตรึงใจบุรุษให้หลงใหลได้มากเท่ากับสตรี ไม่มีสิ่งใดที่จะรัดตรึงใจสตรีให้หลงใหลได้มากเท่ากับบุรุษ
แท้จริงแล้วความรักก็เปรียบดั่งเครื่องพันธนาการ ที่มัดตรึงเหนียวแน่น ให้ลุ่มหลงอยู่ ย่อมจะต้องเวียนว่ายตายเกิดและจมอยู่ในกองทุกข์ร่ำไป
#12
โพสต์เมื่อ 08 May 2010 - 05:37 PM

สำรวมอินทรีย์ ดังเต่าที่หลบภัย
ความพร้อมเกิดขึ้น เมื่อเริ่มต้นลงมือทำ (โอวาทหลวงพ่อ 27/4/51)
ไม่มีสิ่งใดที่จะรัดตรึงใจบุรุษให้หลงใหลได้มากเท่ากับสตรี ไม่มีสิ่งใดที่จะรัดตรึงใจสตรีให้หลงใหลได้มากเท่ากับบุรุษ
แท้จริงแล้วความรักก็เปรียบดั่งเครื่องพันธนาการ ที่มัดตรึงเหนียวแน่น ให้ลุ่มหลงอยู่ ย่อมจะต้องเวียนว่ายตายเกิดและจมอยู่ในกองทุกข์ร่ำไป
#13
โพสต์เมื่อ 08 May 2010 - 08:33 PM
#14
โพสต์เมื่อ 08 May 2010 - 11:45 PM
#15
โพสต์เมื่อ 08 May 2010 - 11:57 PM
ที่มีเมตตากรุณา เข้ามาร่วมเสวนาสนทนาธรรมกันเพื่อเป็นการทบทวน ตอกย้ำให้เข้าไปอยู่ในใจ
ในสิ่งที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้สอนสั่งชี้ทางธรรมขาว ๆ ให้ชาวโลก เราคุยกันเพื่อสร้างสรรสิ่งที่ดีงาม
ให้กับตัวเอง ครอบครัว สังคม ประเทศชาติ และโลกของเราค่ะ
#16
โพสต์เมื่อ 13 May 2010 - 01:22 PM
แต่ว่า...ต้องทำงานร่วมกันทำไงดี
#17
โพสต์เมื่อ 13 May 2010 - 01:28 PM
อดีตภรรยาจะคอยอุปัฐฐากอยู่ห่างๆได้มั๊ยคะ
.....แต่ว่า....พระที่ทิ้งภาระที่ควรรับผิดชอบก่อนบวชนี่........
บวชอยู่แล้วยังปฏิเสธในสิ่งที่เคยก่อให้เกิดขึ้น
ยังเห็นแก่ตัวคิดว่าตนดีและประเสริฐนัก ถึงถามอะไรแล้วก็โกหกมาทั้งผ้าเหลือง
ทำเราน้ำตานองหน้าในวัดอยู่เนืองๆ นี่แหละ "พระที่เรารัก"
#18
โพสต์เมื่อ 13 May 2010 - 07:15 PM
เหมือน กับที่พระพุทธเจ้าตรัสว่า ดูก่อนพระภิกษุทั้งหลาย เราไม่เล็งเห็น รูป เสียง กลิ่นรส สัมผัสอื่น แม้สักอย่างหนึ่งที่จะครอบงำจิตบุรุษตั้งอยู่เหมือน รูป เสียง กลิ่นรส สัมผัสของสตรีเลย แล้วท่านจะย้ำเลยว่า อย่าเอาตาไปช็อตกับใคร ต้องรีบออกห่างเลยนะ หรือถ้ามีความรู้สึกว่าวูบวาบแล้ว ก็ต้องรีบออกห่าง
ท่าน จะบอกวิธีแก้ไขว่า มันต้องซื่อสัตย์กับตนเอง คือว่าถ้ามีอะไรเกิดขึ้นในใจ ต้องนั่งสมาธิจนใจหยุดดับที่ต้นเหตุ เพราะเหตุเกิดที่ใจ ใจจะต้องเข้มแข็งไม่สงสารที่เขามาชอบเรา แล้วก็มีปัญญาสอนตัวเอง ไม่ถูกกิเลสมันหรอก หรือพญามารจูงจมูกให้ไปทำอะไรได้หมดเลย ใจคอไม่อยู่กับศูนย์กลางกายแล้วก็ต้องอดทนกัดฟันมากๆ ที่จะต้องชนะ เพราะว่าอย่าปล่อยให้มันเกิดขึ้น ป้องกันไว้ก่อน ถ้ามันเกิดขึ้นแล้ว มันแก้ยาก ต้องอดทนกัดฟันมากๆ
แต่ว่า...ต้องทำงานร่วมกันทำไงดี
ถ้าเป็นสถานที่ ที่เป็นส่วนตัว เป็นห้องทำงาน ก็ต้องมีผู้อื่นอยู่ด้วยค่ะ และไม่ควรนั่งใกล้กัน
ถ้าต้องทำงานร่วมกัน แล้วหวั่นไหว ก็ควรหลีกเลี่ยง
ตามความเห็นดิฉันนะคะ(เป็นสมมุติฐานส่วนตัวเท่านั้น) ถ้าอยู่ใกล้กันน้อยกว่าหนึ่งเมตร ธาตุในตัวของทั้งสองฝ่าย อาจจะดึงดูดซึ่งกันและกันได้ค่ะ พอดึงดูดก็เกิดสัมผัสทางกาย จากกายก็ส่งไปถึงใจ ยิ่งมีความคุ้นเคยเก่าๆ สัญญาเก่าก่อน เช่น เคยเป็นอดีตสามี ภรรยา กันมา ก็ยิ่งเกิดสิ่งเหล่านี้ได้ง่าย
มีตัวอย่าง พระกับสตรี ต้องทำงาน หรือปรึกษาหารือกัน แรกๆ ก็นั่งห่างกัน ไปๆ มาๆ ก็นั่งใกล้กันเรื่อยๆ จนสุดท้ายก็ต้องออกไปสร้างครอบครัว แทนการสร้างบารมีแบบเอาชีวิตเป็นเดิมพัน
มี case ที่พระสึกออกไปกับโยม(ชาติที่แล้ว) ด้วยค่ะ และมีวิบากกรรมส่งผลมาถึงชาตินี้
http://www.dmc.tv/pa...2547-07-19.html
ดีที่สุด ก็ต้องอโหสิกรรมให้กับท่านค่ะ
ที่สำคัญ... ต้องอนุโมทนาบุญกับท่านค่ะ
หากไม่อยากให้มีวิบากกรรมเกิดขึ้นกับตัวเอง น่าจะเปลี่ยนความคิดนะคะ ผู้อื่นเป็นอย่างไรนั้น เราไม่ควรเก็บมาคิดใส่ใจ มากกว่าการใส่ใจว่าเรากำลังคิดอะไร และกำลังทำอะไรค่ะ
last edit 14/5/53 10:56
ความพร้อมเกิดขึ้น เมื่อเริ่มต้นลงมือทำ (โอวาทหลวงพ่อ 27/4/51)
ไม่มีสิ่งใดที่จะรัดตรึงใจบุรุษให้หลงใหลได้มากเท่ากับสตรี ไม่มีสิ่งใดที่จะรัดตรึงใจสตรีให้หลงใหลได้มากเท่ากับบุรุษ
แท้จริงแล้วความรักก็เปรียบดั่งเครื่องพันธนาการ ที่มัดตรึงเหนียวแน่น ให้ลุ่มหลงอยู่ ย่อมจะต้องเวียนว่ายตายเกิดและจมอยู่ในกองทุกข์ร่ำไป
#19
โพสต์เมื่อ 13 May 2010 - 08:48 PM
อดีตภรรยาจะคอยอุปัฐฐากอยู่ห่างๆได้มั๊ยคะ
.....แต่ว่า....พระที่ทิ้งภาระที่ควรรับผิดชอบก่อนบวชนี่........
บวชอยู่แล้วยังปฏิเสธในสิ่งที่เคยก่อให้เกิดขึ้น
ยังเห็นแก่ตัวคิดว่าตนดีและประเสริฐนัก ถึงถามอะไรแล้วก็โกหกมาทั้งผ้าเหลือง
ทำเราน้ำตานองหน้าในวัดอยู่เนืองๆ นี่แหละ "พระที่เรารัก"
คือผมไม่ทราบรายละเอียดของคุณนะครับ แต่ขอแสดงความคิดเห็นทั่วๆไป
ถ้าท่านบวชมาแล้วเป็นพระที่ดีมากๆ ก็ไม่ควรไปขอให้ท่านสึก แต่ถ้าท่านเป็นพระที่ไม่ค่อยสร้างประโยชน์อะรไร ฟากเตือนสติท่านด้วยนะครับ
อย่างไรท่านก็เป็นพระ ไม่ควรไปว่ากล่าว หรือคิดอะไรที่ไม่ดี มันอาจจะฝังใจเราไปในทางไม่ดีหลายภพหลายชาติ
เรื่องภาระ หากเป็นภาระที่สำคัญจริงๆ ผมเห็นด้วยที่ท่านพึงรับผิดชอบ หากช่วยเหลือขณะเป็นพระไม่ได้ ก็ควรจะมีสติพิจารณานะครับท่าน....การทอดทิ้งภาระที่ตนร่วมสร้างขึ้นแบบไม่รับผิดชอบ ไม่ดีแน่ๆ (กล่าวเฉพาะถึงสามัญสำนึกทั่วๆไปนะครับ เพราะผมไม่ทราบรายละเอียดยิบย่อยที่แท้จริงของ จขกท )
ตามเหตุปัจจัยครับ อย่างเจ้าชายสิทธัตถะ พระชายา และพระโอรส ท่านสุขสบายอยู่แล้ว และเจ้าชายสิทธัตถะตั้งพระทัยว่าตรัสรู้แล้วจะกลับมาโปรด มิใช่ทอดทิ้งนะครับ กลับไปโปรดขอรับ ขอย้ำ พระองค์ทรงมีพระทัยเมตตาแก่ครอบครัว เครือญาติ อย่างมากโดยตรัสเป็นหนึ่งในการสงเคราะห์ที่สำคัญของพระพุทธองค์ คือการสงเคราะห์พระญาติ
ในสมัยพุทธกาล บางท่านอาจจะออกบวชแบบทอดทิ้ง ก็ต้องดูเหตุปัจจัยด้วย ว่าเหมาะสมแค่ไหน ลูกเมียลำบากไหม อย่างไร?
อย่างพระมหาชนกฉบับพระราชนิพนธ์ ในหลวงทรงแต่งตอนท้ายไว้ใหม่ครับ ให้พระมหาชนกบำเพ็ญประโยชน์ให้สำเร็จก่อน แล้วจึงค่อยออกบวช เพื่อให้เข้ากับเหตุการณ์ปัจจุบัน
ส่วนพระมหาชนกต้นฉบับพระไตรปิฎก คือสละราชสมบัติกลางคัน เพื่อต้องการสละชีวิตทางโลก ก้เป็นไปตามเหตุปัจจัยที่เหมาะสมในกาลครั้งนั้นครับ

ละธรรมดำ ยังธรรมขาวให้เจริญ
ธัมมะกาโย อะหัง อิติปิ
เราตถาคต คือธรรมกาย
#20
โพสต์เมื่อ 14 May 2010 - 01:16 AM
innerpeace คิดว่าน่าจะได้ และไม่ได้แล้วแต่เคสนะ ขึ้นกับความพอดี ๆของทั้งสองฝ่าย ถ้าใจใส
จริงทั้งสองฝ่ายก็น่าจะโอเคนะ แต่ถ้าไม่เคลียเดี๋ยวตะบะแตก !!!!
ไม่แต่อดีตภรรยานะ น่าสนใจรวมไปถึงโยมผู้หญิงที่มิใช่ญาติ สายโลหิตใกล้ชิดโดยตรงของพระ เช่น
โยมแม่ พี่สาว น้องสาว พี่ ป้า น้า อา ย่า ยาย เป็นต้น แต่เป็นกลุ่มโยมอดีตภรรยา หรือเพื่อนหญิงกลุ่ม
สส สว และมม (สาวๆ สวย ๆ / สาว ๆ โสด ๆ สาว ๆ สูงวัย หรือสาวประจำวัด และแม่หม้าย)
วางตัวแค่ไหน อย่างไร ถึงจะพอดี เหมาะสมด้วยกันทุก ๆ ฝ่าย น่าสนใจนะ ศึกษาไว้ก็ดี ใครมี
คำแนะนำดี ๆ เอามาแชร์กันนะคะ "ทำอย่างไรจึงจะเป็นอุปัฏฐากที่ดี" และความหมายที่แท้จริง
ของอุปัฎฐากคืออะไร........(ถ้ามีอุบาสก ก็ดี โยมผู้ชายก็ดีเป็นอุปัฏฐากของพระภิกษุคงจะดี
ที่สุด ตัดปัญหาไปได้เลย)
#21
โพสต์เมื่อ 14 May 2010 - 06:32 PM
ให้อภัยท่านเถอะ ถ้าท่านสึกงานหลวงพ่อจะสะดุด
เลิกคิดเรื่องนี้ได้แล้ว บาปนะ
#22
โพสต์เมื่อ 15 May 2010 - 12:44 PM
ผมยกตัวอย่างให้ก็ได้ครับว่า สมมุติ ผู้หญิงคนหนึ่งถูกจับตัวมากักขังในกรงใหญ่ใบหนึ่ง ต่อมาผู้หญิงเชลยนั้น ได้ไปพบรักกับเชลยหนุ่มอีกคนหนึ่ง ทั้งสองเห็นว่า ในเมือไม่มีทางออกจากกรงขังนี้ได้ ก็จะอยู่ครองคู่กันในในกรงขังใบนี้แหละ
อยู่มาวันหนึ่ง เชลยหนุ่มได้ไปพบกับเชลยแหกคุกโดยบังเอิญ โดยเชลยแหกคุกได้ชวนเขาหลบหนีออกจากกรงขังเชลยใบนี้ไปด้วยกัน แม้เชลยหนุ่มอยากชวนเชลยสาวไปด้วยกันมากมายเพียงใด แต่ก็ไม่อาจชวนไปได้ เพราะผู้ที่สามารถแหกคุกไปได้จะต้องมีกำลังมาก(คือต้องเป็นชาย ในที่นี้หมายถึง ต้องบวชเป็นพระ) จึงจะสามารถฝ่าด่านต่างๆ หลุดจากคุกไปได้ มิฉะนั้นก็ต้องตายกลางคัน
เมื่อเป็นเช่นนี้ถามว่า การที่เชลยหนุ่มคิดจะหนี่ออกไปจากกรงขังนั้น โดยไม่ยอมที่จะอยู่ในกรงขังอีกต่อไป ซึ่งก็ทำให้ภาระต่างๆ ที่เขาทำคั่งค้างไว้ในกรงขังก็จะไม่มีผู้มากระทำต่อ ถามว่า นี้เป็นเขาผิดของเขาหรือ ที่ไม่ยอมที่จะทำภาระที่คั่งค้างในกรงขังเชลยต่อ
#23
โพสต์เมื่อ 16 May 2010 - 05:23 PM
ถ้า ผู้ใดมีใจปฏิพัทธ์ต่อสมณะ หรือผู้ทรงศีลมีใจต่อฆารวาส อันไหนจะบาปหนักมากกว่ากัน แล้วปลายทางคือที่ใด ขุมใดกันหนอ
#24
โพสต์เมื่อ 16 May 2010 - 09:45 PM
เป็นฆราวาส หากพลาดพลั้งไปฆ่ามนุษย์เข้า ก็บาปตามสมควร แต่ถ้าเป็นพระ หากพลาดพลั้งไปฆ่ามนุษย์เข้า ก็บาปมหันต์น่ะครับ
#25
โพสต์เมื่อ 16 May 2010 - 11:56 PM
ถ้าแค่คิด และรู้สึกในใจเฉยๆ น่าจะเป็น ศีลด่างพร้อยนะคะ
ความพร้อมเกิดขึ้น เมื่อเริ่มต้นลงมือทำ (โอวาทหลวงพ่อ 27/4/51)
ไม่มีสิ่งใดที่จะรัดตรึงใจบุรุษให้หลงใหลได้มากเท่ากับสตรี ไม่มีสิ่งใดที่จะรัดตรึงใจสตรีให้หลงใหลได้มากเท่ากับบุรุษ
แท้จริงแล้วความรักก็เปรียบดั่งเครื่องพันธนาการ ที่มัดตรึงเหนียวแน่น ให้ลุ่มหลงอยู่ ย่อมจะต้องเวียนว่ายตายเกิดและจมอยู่ในกองทุกข์ร่ำไป
#26
โพสต์เมื่อ 17 May 2010 - 02:56 AM
กระทู้นี้ตั้งขึ้นเพื่อเตือนสติมิให้ประมาทในธรรม เน้นให้รู้เท่า รู้ทัน รู้กัน และรู้แก้ปัญหาความรัก
และที่แย่มาก ๆ หากหลงทางและหลงตัวเอง ปัญหาต่างๆไม่มีอะไรใหม่เลยแม้ในสมัยพุทธกาลก็มีปัญหาเหล่านี้
ดังที่เราได้ศึกษาจากพระธรรมเทศนาของหลวงพ่อคุณครูไม่ใหญ่มาแล้ว จะเห็นได้ว่าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่าน
ได้เป็นตัวอย่างทำหน้าที่กัลยาณมิตรได้ดีที่สุดในโลก เพราะด้วยพระปัญญาธิคุณ พระบริสุทธิคุณ และพระ
มหากรุณาธิคุณ พูดง่ายๆด้วยความบริสุทธิ์ใจ มีปัญญาและเมตตากรุณาต่อสรรพสัตว์ สรรพสิ่งทั้งหลายด้วย
รักและปรารถนาดี เป็น POSITIVE THINKING ทำให้ผู้พลั้งพลาดผิดไปแล้วได้คิดใหม่ ทำใหม่จนบรรลุธรรม
เป็นพระอริยะไปก็มี ทั้งฝ่ายปุถุชนหญิงหรือชายก็ตาม และรวมไปถึงพระภิกษุด้วย-ดูเคสท่านสิริมาเทพนารีเป็นตัวอย่าง
ท่านเข้าใจมั้ย มนุษย์ที่กำลังฝึกฝนตัวเองเข้าสู่ฝั่งพระนิพพานนั้นก็เหมือนเด็กหัดเดิน อาจจะมีหกล้มไปบ้าง
หรือคนหัดว่ายน้ำ มีจะจม จะดำว่ายดำผุดสะดุดตอเข้าได้ คุณจะช่วยเขา ไม่ให้จม หรือช่วยให้ไปถึงฝั่งได้
หรือว่า..............อยู่ที่ตัวของเรา เราว่ายน้ำช่วยตัวเองได้แล้วยัง และยังช่วยคนอื่นได้ด้วยก็ยิ่งดี แม้นว่า
เราเองช่วยเขาตรง ๆไม่ได้ เพราะเราเองก็ยังว่ายไม่เก่ง กระโดดลงไปช่วยก็จะพากันกอดคอกันตายทั้งคู่
แต่เรามีวิธีอื่นรองรับอยู่ก็คือหมู่คณะนั่นเองเป็นกัลยาณมิตรให้กัน เช่นดียวกันกับในพระธรรมเทศนาที่ว่า
พระภิกษุรูปที่หลงไหลในนางสิริมา เอาแต่เพ้อถึงเธอ หมู่สหธรรมมิกเพื่อนฝูงเตือนก็ไม่ได้ผล จึงนำความไป
กราบทูลพระสัมมาสัมพุทธเข้าได้โปรดเป็นกัลยาณมิตรให้ ในที่สุดพระภิกษุรูปนี้ได้สำเร็จเป็นพระอริยะได้
ฉะนั้นการแก้ปัญหาควรไปตามลำดับ ไม่สรุปและตัดตอนโดยคนคนเดียวคือปุถุชนอย่างเรา ๆ นรอ.เท่านั้น
ถ้าเห็นแล้วว่าเขาพลาดแล้ว นอกจากไม่คิดจะช่วยแล้วยังคิดว่า มันโง่ มันเลวไปลงนรกเสียเถอะ !negative นะ
จ้ะถ้าอย่างนี้ "คุณครูไม่ใหญ่คงไม่สอนว่า ให้ลืมความผิดพลาดทั้งหมด และให้ทำความดีให้ยิ่ง ๆ ขึ้นไป" แล้ว
ให้หมั่นนึกถึงบุญ จิตใจจะได้อ่อนโยนและมีเมตตา ให้รักและปรารถนาดีต่อเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน รวมทั้งสรรพสัตว์
ทั้งหลายที่เป็นเพื่อนทุกข์ เกิด แก่ เจ็บ ตาย ด้วยกันท้งหมดทั้งสิ้นค่ะ....ก็จบลงอย่างนี้แล
............................
สาธุ ๆ ๆ อนุโมทนาบุญกับทุก ๆ ท่านด้วยค่ะ
