รำพึง
#1
โพสต์เมื่อ 30 June 2010 - 11:20 AM
#2
โพสต์เมื่อ 30 June 2010 - 01:32 PM
#3
โพสต์เมื่อ 30 June 2010 - 02:48 PM
แต่ชีวิตคือต้นทุนที่มีให้
สั่งสมบุญติดตามพ่อสู่เส้นชัย
สุดแห่งธรรมคือเป้าหมายที่เฝ้ารอ
ดุจแสงเทียนแสงธรรมนำชีวิต
พระอุทิศกายใจทำไมหนอ
ลำพังตัวพระเองก็สุขพอ
ใยต้องรอผองเราเข้าถึงธรรม
หลวงพ่อเหนื่อยแค่ไหนใครก็รู้
โดนแค่นี้ก็ไม่สู้ดูน่าขำ
ท้อใจฟรีแล้วเมื่อไหร่ไปสุดธรรม
หมั่นตอกย้ำเป้าหมายให้จงดี
ดั่งดวงตะวันไม่เคยทิ้งท้องนภา
ดั่งดวงจันทราไม่เคยทิ้งฟ้าราตรี
ผ่านกาลเวลาเนิ่นนานจนถึงวันนี้
พ่ออยู่ตรงนี้ไม่ทิ้งให้เราเดียวดาย
สู้เพียงลำพังพ่อเหนื่อยและล้าเกินพอ
แต่ใจไม่ท้ออยากหอบเราไปในทุกที่
พ่อหมั่นพร่ำสอนให้เราทุ่มสร้างความดี
ไม่ยอมถอยหนีคอยยิ้มให้กำลังใจ
หัวใจดั่งเพชรเด็ดเดี่ยวไม่เคยทิ้งเราให้โดดเดี่ยว
แบ่งปันความฝันเดิมพันชีวิตให้เราได้เดินก้าวไป
เราอยู่ข้างหลังได้เก็บเกี่ยว
อย่าปล่อยทิ้งพ่อให้โดดเดี่ยว
สู้เพียงลำพังคนเดียว
ช่วยทำให้พ่อได้สุขใจ
หนึ่งชีวิตนำพันล้านไปสู่จุดหมาย
พวกเราทั้งหลายพ่อคนเดียวช่วยกันจะได้ไหม
ทุ่มแรงพลังสานฝันที่พ่อได้สร้างไว้
ให้พ่อผ่อนคลายสักนิดได้ชื่นใจ
จงทำทุกอย่างให้ดีที่สุด
และทุ่มให้สุดกำลังของหัวใจ
#4
โพสต์เมื่อ 30 June 2010 - 03:12 PM
แต่คนอื่นได้เหมือนกัน แต่ได้นิด ๆ
เพราะไม่กล้าตัดใจ และทำบุญอย่างเอาชีวิตเป็นเดิมพัน
ที่สำคัญลองถามตัวเองว่า
เรานั่งสมาธิทุกวันหรือเปล่า
ถ้านั่งน่ะ นั่ง NET NET แบบตั้งใจนั่ง 30 นาที หรือ 1 ชั่วโมงทุกวันหรือเปล่า
หรือนั่ง แต่นั่งนิด ๆ หน่อย ๆ 5 นาที 10 นาที พอเป็นพิธี แล้วนอน
หลักสำคัญไม่ว่าจะทำบุญเล็ก ๆ น้อย ๆ หรือ BiG BooN
คือการทำใจใส นั่งสมาธิก่อนทำ และหลังทำ นึกถึงบุญที่ทำในขณะนั่งสมาธิ
รวมถึงนึกถึงหลวงปู่ คุณยาย หลวงพ่อ (ครูบาอาจารย์) ไว้ตลอด
มีปัญหาอะไรนึกถึงท่าน และนั่งสมาธิรายงานให้ท่านทราบ
อย่าลืมว่าเรามีครูบาอาจารย์และสื่อสารกับท่านได้
ณ ศูนย์กลางกายฐานที่ 7 ด้วยการหลับตา ทำสมาธิ ผ่อนคลาย สบาย ๆ
ทำทุกวันให้ต่อเนื่อง แล้วสิ่งที่ไม่คาดฝันจะเกิดขึ้นกับคุณเอง
เข้าวัดทั้งที ต้องจับหลักวิชชาให้ได้ อย่าขาดการนั่งสมาธินะคะ สำคัญมาก
ขอให้สำเร็จในทุกสิ่งที่ต้องการค่ะ
#5
โพสต์เมื่อ 30 June 2010 - 03:41 PM
บุญหกหล่นหมด
อีกอย่าง อย่ายืมเงินมาทำบุญ จนกระทั่งตัวเองเป็นหนี้นะ มันไม่ดี
เพราะมันยาก ที่จะทำใจให้ใสได้ ขณะที่ตัวเองเป็นหนี้
#6
โพสต์เมื่อ 30 June 2010 - 05:54 PM
ยุคอดีต การเข่นฆ่ากันเกิดขึ้นไม่มาก หากเกิดขึ้นก็มีคนล้มตายไม่มาก
ยุคปัจจุบัน เทคโนโลยีล้ำหน้าไปมาก คนนับล้านสามารถตายได้ด้วยปุ่มระเบิดเพียงปุ่มเดียว ดังนั้น บาปจึงทวีกำลังมหาศาล
ยุคอดีต การคดโกงลักขโมยฉกริ่งวิ่งราว แทบไม่มี เพราะคนส่วนใหญ่พอมีพอกินกันทั้งนั้น
ยุคปัจจุบัน เทคนิคกลโกงล้ำหน้าไปมาก ด้วยอำนาจเทคโนโลยี สามารถคดโกงกันได้ทีเดียวเป็นร้อยล้านพันล้าน ดังนั้น กระแสบาปจึงแรงมหาศาล
ยุคอดีต การนอกใจคู่ครองแทบไม่มี
ยุคปัจจุบัน เรื่องสวิงกิ้ง สลับคู่นอนกันไปมา ดูเป็นเรื่องปรกติไปทั้งโลก ดังนั้นแรงบาปเรื่องนี้ก็มหาศาลเช่นเดียวกัน
ยุคอดีต การโกหกแทบไม่ค่อยจะมี หากมีเกิดขึ้นก็มีผลกับคนกลุ่มน้อย
ยุคปัจจุบัน เทคโนโลยีสื่อสารก้าวหน้าไปมาก เพียงแค่โกหกครั้งเดียว สามารถโกหกคนเป็นสิบล้านคนได้สบายๆ ดังนั้น แรงบาปก็ทับทวีทีเดียวเชียวแหละ
ยุคอดีต การดื่มน้ำเมา แทบไม่มี ถ้ามีก็อยู่ในวงจำกัด และช่วงเวลาจำกัด เช่น เฉพาะเทศกาลเฉลิมฉลองประจำเมืองนั้น ซึ่งนานๆ ที
ยุคปัจจุบัน การดื่มน้ำเมา เกิดขึ้นทั่วทุกมุมโลก
ด้วยแรงบาปมหาศาลทุกๆ วันขนาดนี้ จึงทำให้กระแสบาปโดยรวมของโลกมีกำลังแรงมาก จึงหน่วงเวลากระแสบุญที่จะส่งผลให้กับคนทำดีต้องรอเวลาเนิ่นนานออกไป
ถ้าเช่นนั้นให้เลิกทำบุญดีมั้ย คำตอบคือ จะยิ่งแย่กว่าเดิมทับทวี เพราะจะไม่มีกำลังบุญใดคอยต้านทานการให้ผลของแรงบาปอันมหาศาลนี้เลย สรุป เราจึงต้องทำกันต่อไปครับ ขอให้เชื่อมั่นในบุญ โดยหมั่นฟังเพลงธรรมะบ่อยๆ ก็ได้ อย่างเช่น เพลงนี้
คุณยาย...ในครานั้น...ท่านได้เคยกล่าว
เมื่อใด...ที่อับจน...อย้าท้อ
ขอให้นึกถึงบุญ...ที่เคยทำ...มากกมาย
บุญที่ทำ...จะย้อน...มาช่วยเรา
เหมือนคุณยาย...อยู่ใกล้ๆ...ให้กำลังใจ
หากมี...อันตราย...ไม่ท้อ
ขอให้นึกถึง...คุณยาย...จะรอดพ้น...ในทุกคราว
บารมี...จากคุณยาย...จะช่วยเรา...
#7
โพสต์เมื่อ 30 June 2010 - 06:42 PM
#8
โพสต์เมื่อ 30 June 2010 - 07:56 PM
..ไม่ทำบุญ แล้วเรามีกินมีใช้จริงหรือเปล่า? ปัญหาไม่มีเลยหรือ? ชีวิตครอบครัวมีความสุขจริงไหม? แล้ว....ถ้าทำบุญ เรามีกินมีใช้จริงหรือ? ไม่มีปัญหาเลยหรือ? ชีวิตครอบครัวมีความสุขจริงไหม? ถ้าข้อสรุปคือ ทำหรือไม่ทำ ก็เปลี่ยนแปลงทันทีไม่ได้ งั้น ...ทำบุญดีกว่า อย่างน้อยยังมีความหวัง มีที่พึ่ง ทั้งภพนี้และภพหน้า เมื่อตายจากโลกนี้ไปก็ยังรู้ว่าจะได้ไปที่ใด อย่างไร วิธีใด ฯลฯ แบบนี้ อันไหนน่าจะทำมากกว่ากัน จิงไม๊คับ?
...บุญก็เหมือนการปลูกต้นไม้ เหมือนน้ำในแก้ว บางคนมีน้ำมาก่อนแล้ว พอเติมอีกนิดหน่อยน้ำก็เต็มล้นออกมา ที่ล้นก็เรียกว่าบุญส่งผลให้เห็นทันตา ก็เหมือนปลูกต้นไม้ หากพึ่งหว่านเมล็ด แล้วจะมาบอก หรือน้อยใจ หรือบ่นว่าทำไมไม่ได้กินผลสักที ไม่เห็นออกลูกเลย นี่แหละครับ เวลาและการทุ่มเทไม่สุญหายไปไหน มันกำลังกลั่นเพื่อตอบแทนคุณ อย่างสาสมทีเดียวล่ะครับ ทั้งบุญและบาปก็ลักษณะเดียวกัน...
...ในสมัยพุทธกาล ผู้จะตัดสินใจทุ่มแทสร้างบารมีอย่างเต็มที่ อย่างเอาชีวิตเป็นเดิมพัน ผมค้นแล้วไม่เจอท่านใด รูปใดเลยที่ไม่เจอปัญหา เจออุปสรรค เจอคำด่าว่า นินทา หัวเราะเยาะ หรือขับไล่ เรามาถูกทางแล้ว เดินหน้าต่อ จะหันหลังกลับไปดูหรือถอยหลังรอใครไปด้วยเหตุใด? ลุยต่อ ถ้ารู้สิ่งที่ทำดี และดีที่สุดที่ได้ทำแล้ว ไม่ต้องหวนกลับมาคิดให้เสียเวลาอีกแล้วครับ ใครไม่ไป ไม่ลุย ไม่เห็นด้วยกับเรา เราก็ยิ้มๆ แต่ดื้อดี ไม่ใช่ดื้อด้าน อิอิ ทำความดี สร้างบารมีเรื่อยไป แล้วไปคุยกันที่ดุสิตบุรีนะครับ ..ผมจะรอคุณที่นั่น
#9
โพสต์เมื่อ 30 June 2010 - 09:13 PM
#10
โพสต์เมื่อ 01 July 2010 - 12:45 AM
แต่ว่าเราต้องสำรวจบารมี และกาละเทศะของตนเองด้วยนะครับ ว่าถึงเวลานั้นหรือยัง บารมีเราสามารถทำได้แบบนั้นไหม ถ้าทำแล้วเดือดร้อนใจ นั่นไม่ใช่แล้ว เรายังไม่ถึงเวลา ทำเกินตัวเองแบบนั้นจนเป็นหนี้เป็นสิน นี่เป็นการไม่สมควรนะครับ ต้องใช้ปัญญาพิจารณาให้ดี
ตัวอย่างท่านที่สร้างบารมีในสมัยพุทธกาลเป้นต้น บางท่านทำจนตัวตาย แต่เขาไม่มีความเดือดร้อนใจ เพราะบารมีที่สั่งสมมา ถึงพร้อมแก่กาละเทศะแล้วนะครับ และเขาก็ไม่เดือดร้อนตนเอง หรือไปกู้หนี้ยืมสินมาด้วย
ผมเองถ้าสักวันหนึ่งพิจารณาว่าตนเองพร้อมแล้ว แม้ชีวิต ผมก็เสียสละเพื่อการบำเพ็ญบารมีได้ โดยไม่มีความร้อนใจอะไรเลย แต่ตอนนี้พิจารณาแล้วยังไม่ถึงกาละเทศะนั้นครับ
ก็อยากให้กำลังใจว่า สิ่งที่คุณสร้างบุญไปแล้ว ก็ขอให้ทำใจให้ยินดี สดชื่น อิ่มในบุญตลอดเวลานะครับ อย่าคิดให้เศร้าหมองใจ
และเรื่องสร้างบารมีไม่ได้มีแค่เรื่อง เงินๆๆๆๆๆ เท่านั้น แต่ว่า เงิน และทานกุศล เป็นสิ่งที่สำคัญมากเช่นกัน มิฉะนั้นกองทัพธรรมก็เดินหน้าลำบาก
แต่สมควรที่จะมองหา และสร้างบารมีให้ครบสูตรทั้ง ทาน ศีล ภาวนา บุญกิริยาวัตถุ 10 และบารมี 10 ประการด้วยนะครับ
สิ่งที่คุณสร้างบารมีมา คุณทำดีที่สุดแล้ว ขอให้บุญบารมีนั้นส่งผลให้คุณมีความสุขสมหวังและเข้าถึงธรรมเถิดครับ สาธุ

ละธรรมดำ ยังธรรมขาวให้เจริญ
ธัมมะกาโย อะหัง อิติปิ
เราตถาคต คือธรรมกาย
#11
โพสต์เมื่อ 01 July 2010 - 01:40 AM
และในระหว่างหาเงินมาคืน ก็ไม่ควรทำบาปเพิ่ม ด้วยการสร้างความลำบาก เดือนร้อนให้ผู้เป็นเจ้าของเงิน
ถ้ายืมเงินมาทำบุญ ก็อย่าน้อยใจที่บุญยังไม่ส่งผลเต็มที่
การยืมเงินทำบุญ ได้ประโยชน์ ตรงที่ไปจองล๊อคบุญไว้เท่านั้น
ทางที่ดีก็ไม่ควรยืมเงินมาทำบุญ
จะรื้อผังจนได้เนี๊ยะ อย่างน้อย...ต้องตัดใจ ถ้าเป็นบุญที่ทำได้ยากและสามารถตัดใจได้(คล้ายเอาชีวิตเป็นเดิมพัน) ต้องปลื้ม ปลื้มขนาดตื้นตันใจ น้ำตาไหล และความปลื้มขนาดนั้นเนี๊ยะ..ไม่จำเป็นต้องทำแยะๆ เสมอไปค่ะ
บุญประจำวันก็สำคัญนะคะ เช่น ตักบาตรตอนเช้าทุกวัน สวดมนต์ นั่งสมาธิทุกๆ วัน
last edite 1/7/53 20.02
ความพร้อมเกิดขึ้น เมื่อเริ่มต้นลงมือทำ (โอวาทหลวงพ่อ 27/4/51)
ไม่มีสิ่งใดที่จะรัดตรึงใจบุรุษให้หลงใหลได้มากเท่ากับสตรี ไม่มีสิ่งใดที่จะรัดตรึงใจสตรีให้หลงใหลได้มากเท่ากับบุรุษ
แท้จริงแล้วความรักก็เปรียบดั่งเครื่องพันธนาการ ที่มัดตรึงเหนียวแน่น ให้ลุ่มหลงอยู่ ย่อมจะต้องเวียนว่ายตายเกิดและจมอยู่ในกองทุกข์ร่ำไป
#12
โพสต์เมื่อ 01 July 2010 - 02:20 AM
น่าจะเป็นประโยคนี้ใช่ไหมครับที่คาใจอยู่ ลองดูเป็นเรื่องๆ นะครับ
ขอกราบอนุโมทนาบุญกับบุญต่างๆ ที่ได้ทำไปแล้วครับ ลองเทียบกันคนในโลกใบนี้ซิครับ มีกี่คนที่ทำโอกาสในการทำบุญอย่างเรา ได้ตัดความตระหนี่อย่างไร ... สาธุ ๆ ครับ :-)
#13
โพสต์เมื่อ 01 July 2010 - 03:34 AM
ขอเสริมค่ะ คิดว่าเป็นธรรมดาค่ะและเชื่อว่ามีหลายคน ที่เป็นเช่นนี้ และยิ่งกว่านี้ แต่สำคัญที่สุดตรงทำใจให้ได้
อย่างยาย "ยายไม่เคยน้อยใจ"
เราไม่มีโลกีย์ทรัพย์อย่างเขาแต่เรามีอริยทรัพย์ ที่ได้สั่งสมไว้ดีแล้วให้หมั่นตรึกระลึกนึกถึงบุญค่ะ ดวงบุญจะ
ได้โตวันโตคืนโตทุก ๆครั้งที่เราปลื้มและปิติในบุญนั้น ๆยิ่งทำได้ยากยิ่งต้องหมั่นตรึกระลึกถึง บุญจะได้ชิงช่วง
ช่วงชิงมาส่งผลได้มากขึ้นค่ะ "หาบุญได้ใช้บุญเป็น"
รำพึงมาก็รำพันไปว่า.....บ่เป็นหยัง คนที่หนักกว่าคุณยังมีค่ะเขาเวลานี้อาจจะมีแต่ตัวและหัวใจ เขาสูญสิ้นแล้ว
ทุกอย่าง แล้วเขาก็ถามตัวเองว่าถ้าตายลงวันนี้เขาจะไปไหน มั่นใจหรือว่าจะไปดุสิตบุรี เปล่าเลยไม่แน่ใจแต่มั่น
ใจว่าไปดีเพราะอยู่ในบุญตลอดมา รู้สึกเฉย ๆ ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น ปัญหามีก็แก้กันไป
...................โปรดรักษาใจไว้ให้ดี
.........................................กระทบ กระแทก แต่ไม่สะเทือน!! นี่คือบรมครูของเรา ต้องเอาอย่าง
#14
โพสต์เมื่อ 01 July 2010 - 03:46 AM
ในบางครั้ง "ความจน" ก็ทำให้เราเป็นสุขได้ / และในบางครั้ง "ความรวย" ก็ทำให้เราเป็นทุกข์ได้
ดังนั้น คำว่า ความรวย หรือ ความจน จึงไม่ใช่ตัวบ่งชี้ว่าจะสุขหรือทุกข์ ....แต่อย่างใดเลย ????
...................ทุกอย่างอยู่ที่ใจเรา ต่างหาก

#15
โพสต์เมื่อ 01 July 2010 - 05:22 AM
ขอร่วมอนุโมทนาบุญกับเจ้าของกระทู้ด้วยนะครับ สาธุ.................
#16
โพสต์เมื่อ 01 July 2010 - 09:04 AM
#17
โพสต์เมื่อ 01 July 2010 - 10:05 AM

อนุโมทนา คำตอบเพื่อนกัลยาณมิตรทุกท่านด้วยครับ

การส่งผลของกรรม ก็มีลำดับ , คิว นะครับ
อยากลัดคิว
ก็ต้องทบทวนทานกุศลให้ปลื้มบ่อย ๆ , บำเพ็ญมหาทาน ในเนื้อนาบุญ ,
ขยันนั่งธรรมะ ยิ่งเห็นดวงทานบารมี ใจอยู่ในดวงทานบารมีเนือง ๆ
อธิษฐาน อาราธนาพระรัตนตรัยและทานกุศลที่เคยทำไว้ดีแล้ว ฯล
ที่สำคัญ ไม่ควรตัดพ้อ รำพึง เชิงน้อยใจ ว่า บุญ(วิบากจากทานกุศล) ทำไมไม่ช่วย ยังไม่ส่งผล
เพราะ ใจจะหมอง ไม่ผ่องใส
ทำให้ยิ่งยืด คิวการส่งผลของทานกุศล
หรือ ได้ผลไม่เต็มที่ อย่างที่ควรจะเป็น เหมือน ท่อน้ำตีบ ๆ ให้น้ำได้ทีละไม่มาก หรือภาชนะที่มีรูรั่ว
ฯล
ฉะนั้น ลองพิจารณาเองนะครับ ว่า
ความน้อยใจ มีคุณ หรือ โทษ
และยังสมควร น้อยใจ อีกหรือเปล่า ?
อีกอย่าง ถ้าใจเรา ไม่ถึงขนาดพระโพธสัตว์
ควรหลีกเลี่ยงการทำทานกุศล แบบก่อหนี้ กระทบตนเองและครอบครัว นะครับ
เพราะการที่ทำทานกุศลแล้ว จะได้อานิสงส์มาก มีผลไพบูลย์ นั้น
จำนวนเงินมาก ๆ หรือวัตถุทานมาก ๆ ไทยธรรมมาก ๆ
เป็น ปัจจัยหนึ่ง ในหลาย ๆ ปัจจัยเท่านั้น
ลองศึกษา เรื่องทานที่มีผลมาก ดูนะครับ
http://www.84000.org...k/bookpn01.html
แต่ถ้าใจคุณ ต้องการบำเพ็ญมหาทานบารมี แบบพระโพธิสัตว์ เช่น พระเวสสันดร ฯล
ที่แม้อาจกระทบตนเอง หรือครอบครัว มีใครติเตียนในเบื้องต้น
เพื่อประโยชน์สุขของส่วนรวม หรือสังฆมณฑล และสรรพสัตว์ไม่เลือกหน้า
ผมยินดีอนุโมทนา ครับ
อ้อ อย่าทำความดี แล้วน้อยใจ ด้วยนะครับ
ข้อคิดเรื่อง เวสสันดรชาดก
http://www.dharma-ga...n/ubasok-29.htm
http://dmc.tv/forum/...showtopic=17707
#18
โพสต์เมื่อ 01 July 2010 - 01:27 PM
อย่าน้อยใจเลยครับ บุญเก่าเราน้อย แต่คนอื่นเขาลำบากกว่าเราเยอะ สู้ ๆๆๆ
#19
โพสต์เมื่อ 01 July 2010 - 03:08 PM
หนูใส่บาตรหน้าบ้านโดยซื้ออาหารวันละ 20 บ.
ถือศีล 5 จ-ศ ศีล 8 ส-อา นี่ก็ได้บุญ
สวดมนต์ก่อนนอน นั่งสมาธิ 1 ชม. นี่ก็ได้บุญ
วันอาทิตย์มาวัด ทำบุญ 100 บ. สร้างพระอีก 100 บ.
ส่วนอื่นๆ หนูก็ทำหย่อยตู้ละ 20 บ.
หนูไม่หมดตัวซักกะที มีงานอะไรก็ใช้แรงกายทำเพราะเงินน้อย
บุญหนูก็ไม่เคยขาด เงินหนูก็เลยไม่ขาดซะที มีรายได้มาเรื่อยๆ
#20
โพสต์เมื่อ 01 July 2010 - 06:14 PM
#21
โพสต์เมื่อ 01 July 2010 - 07:38 PM
ที่นี่มีคำตอบ: การที่ไม่มีเงินแต่อยากทำบุญมาก แล้วไปขอยืมเงินเขามาทำบุญนั้น ถือว่ายังทำไม่ถูกหลักวิชชาอย่างสมบูรณ์ เพราะยังเบียดเบียนตนเองอยู่ จะให้ถูกหลักวิชชาต้องไม่เบียดเบียนตนเองและผู้อื่น ยกเว้นเรารู้ตัวว่า เราสามารถใช้คืนเขาได้ และเราได้คืนเขาด้วย เช่น เราไม่ได้นำเงินมาจากที่บ้าน จึงขอยืมเงินคนที่มาวัดด้วยกันเพื่อมาทำบุญก่อน กลับบ้านเราก็เอาไปใช้คืนเขา อย่างนี้ได้ แต่ไม่ใช่เรารู้ว่า เราไม่มีเงินใช้คืนเขา แต่ก็ไปขอยืมเขา ถ้าขอลืมอย่างนี้ก็ไม่ถูกหลัก บุญจะเกิดขึ้นทันทีที่ทำ แม้ว่าจะเป็นเงินที่เราขอยืมมาก็ตาม แต่ไม่เต็มเม็ดเต็มหน่วย เพราะเรายังไม่ได้ใช้คืนเขา ต่อเมื่อใช้คืนเขา จึงจะได้เต็มเม็ดเต็มหน่วย ถือว่าเป็นเงินของเรา การขอ ยืมเงินเขาไปทำบุญ ถ้าไม่ใช้คืนเขา เราก็จะกลายเป็นหนี้เขา เพราะเราทำบุญไปแล้ว บุญได้เกิดขึ้นแล้ว เวลาสมบัติเกิดขึ้นกับเรา ก็จะมีเหตุให้ไม่อาจจะใช้สมบัติได้ เช่น ถูกยึด ถูกจี้ ถูกปล้น น้ำท่วม ไฟไหม้ มันจะมีเหตุให้ไม่อาจใช้สมบัติได้ เช่น ถูกรางวัลที่หนึ่ง แต่ช็อกตาย แต่ถ้าใช้คืนเขา เวลาสมบัติเกิดขึ้น ก็สามารถใช้สมบัตินั้นได้อย่างเต็มที่ เพราะเป็นบุญของเรา เขาเต็มใจให้เรายืมเงินมาทำบุญ แต่ภายหลังเราก็ไม่มีเงินใช้คืนเขาสักที คือ เราก็อยากใช้คืนแต่มันก็ไม่มี เขาสงสารก็เลยยกหนี้ให้ เมื่อบุญส่งผลก็จะได้เกิดใต้ใบบุญเขา คือ จะมีกินมีใช้ก็ต้องไปเป็นบริวารเขา โดย คุณครูไม่ใหญ่ (พระราชภาวนาวิสุทธิ์) 29 ตุลาคม พ.ศ.2548
ศึกษาเรื่อง การทุ่มเททำบุญ ความปลื้มของคนมีเงินมากกับเงินน้อยตอนทำบุญและผลบุญที่ได้รับ และเรื่องยืมเงินทำบุญ เพิ่มเติมได้ที่
http://www.dmc.tv/pr.../481029case.wmv
เรื่องทบทวนบุญทุกๆ บุญ ทุกวันนั้น ให้ผลจริงๆ และอย่าดูเบาค่ะ เป็นเรื่องง่ายๆ ที่ทำได้ทุกที่ทุกเวลา
อยู่ว่างๆ ระหว่างเดินทางไปทำงาน ไปทานข้าว ไปอาบน้ำ ก็นึกทบทวนบุญไปเรื่อยๆ และอธิษฐานจิตไปเรื่อยๆ
ความพร้อมเกิดขึ้น เมื่อเริ่มต้นลงมือทำ (โอวาทหลวงพ่อ 27/4/51)
ไม่มีสิ่งใดที่จะรัดตรึงใจบุรุษให้หลงใหลได้มากเท่ากับสตรี ไม่มีสิ่งใดที่จะรัดตรึงใจสตรีให้หลงใหลได้มากเท่ากับบุรุษ
แท้จริงแล้วความรักก็เปรียบดั่งเครื่องพันธนาการ ที่มัดตรึงเหนียวแน่น ให้ลุ่มหลงอยู่ ย่อมจะต้องเวียนว่ายตายเกิดและจมอยู่ในกองทุกข์ร่ำไป
#22
โพสต์เมื่อ 01 July 2010 - 08:54 PM
#23
โพสต์เมื่อ 02 July 2010 - 12:05 PM
คุณนำค้างกลางใจค่ะ
คำตอบของคุณแสงตะวัน อาจจะโดนใจคุณแล้วล่ะ
แต่ขอร่วมด้วยช่วยคิดอีกสักคนค่ะ
คำถามน่ะค่ะ
1.ปัจจุบันการดำรงชีวิตแต่ละวันมีความสุขไหมค่ะ
2 บ้านที่อย่ปัจจุบันแม้หลังไม่ใหญ่เหมือนคนอื่น แต่มีความสุขไหมค่ะ
3.ขึ้นรถเมล์ทุกวัน แม้ไม่มีรถคันงามที่ราคาแพง แต่มีความสุขไหมค่ะ
4.มีเพื่อน มีพี่น้อง มีพ่อแม่ ที่รักเราทุกคน มีความสุขไหมค่ะ
ถ้าคุณตอบตัวเองว่ามีความสุข สิ่งที่อย่นอกตัวหามาได้ก็แค่นั้นค่ะ บ้าน รถ ล้วนเป็นภาระที่ต้องหาเงินมาจ่ายทุกเดือน
เวลาที่จะพักปฏิบัติธรรม ก็น้อยลงเพราะต้องดิ้นรนทำงานให้มากขึ้นเพื่อจะหาเงินมาจ่ายค่าหนี้บ้าน รถ
ความจริงแล้วคุณต้องการอะไรล่ะ หลับตาปฏิบัติธรรมใช่ไหมค่ะ ปัจจัยข้างนอก ไม่ว่าจะเป็น การแต่งงานมีครอบครัว มีบ้าน มีรถ คือ ภาระไม่ใช่หรือ
ไม่ต้องเสียใจน่ะค่ะ กับการทำบุญ ทุกบุญ คุณได้รับผลของบุญค่ะ นั่งสมาธิทุกวันให้ปลื้มในบุญทุกบุญที่เราทำดีแล้ว และ บุญจะส่งผลให้ค่ะ
ขอเป็นกำลังใจให้ค่ะ
เราเคยเห็นคนที่มีทุกอย่างพร้อม ไม่มีความสุข และ ตายแล้วก็เอา คน ทรัพย์ สิ่งของ ไปไม่ได้เลย กลายเป็นของคนอื่นหมดค่ะ
มีแต่บุญกับบาปที่ติดตัวเราไปค่ะ อย่าเสียใจเลยค่ะ ที่ไม่มีทรัพย์เหมือนคนอื่นเขาค่ะ เพราะคุณเป็นคนโชคดีกว่าคนอื่นที่มีญาติพี่น้องเพื่อนมากมายค่ะที่ยังหวังดีกับคุณค่ะ
อนุโมทนาบุญด้วยค่ะ สาธุ
#24
โพสต์เมื่อ 03 July 2010 - 08:23 AM
#25
โพสต์เมื่อ 03 July 2010 - 11:32 PM
แต่อย่าลืมว่า บวชฟรี ก็ต้องมีผู้อุปถัมป์ ครับ ขออนุโมทนา ผู้มีบุญ ที่ทำมหากุศล ครั้งนี้ อย่างพี่สาวผมก็ ร่วมทำบุญ รูปละหนึ่งบาท ครับ
การทำบุญ ขอใ้ห้มีสติ ครับตามปัจจัย ที่พอมี และมีพอที่จะทำได้ครับ
เอาใหม่ น่ะครับ อะไรที่ผ่านไปแล้ว เริ่มต้นใหม่ ทำบุญอย่างมีสติ ครับ อย่าให้คนอื่น มอง เราผิดๆ น่ะครับ จะไม่ดีกับทางวัด และหวงพ่อฯ ครับ
สาธุ