มีปัญหาสงสัยมานานอยากถามท่านผู้รู้ครับ
#1
โพสต์เมื่อ 02 October 2010 - 02:52 PM
เข้าเรื่องเลยนะครับ ตัวผมเข้าวัดมาตั้งแต่เด็กนะครับ ก็ได้เรียนรู้และได้รับการอบรมจากโครงการของวัดต่างๆ แต่ผมไม่เข้าใจอยู่ปัญหาเดียวคือว่า ทำไหมเราต้องปราบมาร แล้วเราไปทะเลาะกับเขาตั้งแต่เมื่อไร คือแบบว่าเราทะเลาะกันทำไหมครับ มันมีการเจรจากันไหม คือเรื่องนี้ผมอยากทราบมาก ที่สังสัยเรื่องนี้ผมไม่ได้ตั้งใจจะมาตั้งปัญหากวนๆๆนะครับแต่สงสัยจริงครับ
ขอความเมตาด้วยนะครับ (รึถ้าอยากตอบมาเป็นการส่วนตัวส่งข้อความมาได้นะครัที่([email protected])
#2
โพสต์เมื่อ 02 October 2010 - 03:04 PM
#3
โพสต์เมื่อ 02 October 2010 - 03:08 PM
เท่าที่สมองน้องๆของดิฉันรับทราบ มาร คือ กิเกสในตัวเรานี่เอง
เราต้องปรามมาร คือ เราต้องปรากิเลสในตัวเราให้หมดไป
เราไม่ได้ทะเลาะกับเขา แต่เขามาหาเรื่องเราก่อน
เช่น ใครขับรถปาดหน้าเราก็โกรธ นั่นล่ะ มารมาแล้ว ไม่ได้เชิญซะด้วย
เราจึงต้องปฏิบัติธรรมให้เข้มแข็งเพื่อปราบมาร คือไม่โกรธ อโหสิกันไป อภัยกันไป คิดว่าเขาคงรีบ
สังเกตได้ว่า มันจะมามันไม่เห็นเจรจากะเราก่อนเลย
เราต้องห้ามมันไว้ไม่ให้มารออกมา หรือปราบมันไปให้หมดสิ้นจากตัวเรา
เราจะได้ถึงที่สุดแห่งธรรม(ซะที)
ปล.ความคิดเห็นส่วนตัวนะคะ ไม่ชอบไม่เป็นไร
#4
โพสต์เมื่อ 02 October 2010 - 03:46 PM
#5
โพสต์เมื่อ 02 October 2010 - 03:46 PM
#6
โพสต์เมื่อ 02 October 2010 - 03:49 PM
ใจเย็นๆนะโยม เดี๋ยวตอบหลังไมค์ให้
#8
โพสต์เมื่อ 02 October 2010 - 09:41 PM
สู้ในละเอียด ...คือการทำวิชชาธรรมกาย สู้แล้วไม่มีการเลือดตกยางออก แต่สู้แล้ว มีความสุข
ความพร้อมเกิดขึ้น เมื่อเริ่มต้นลงมือทำ (โอวาทหลวงพ่อ 27/4/51)
ไม่มีสิ่งใดที่จะรัดตรึงใจบุรุษให้หลงใหลได้มากเท่ากับสตรี ไม่มีสิ่งใดที่จะรัดตรึงใจสตรีให้หลงใหลได้มากเท่ากับบุรุษ
แท้จริงแล้วความรักก็เปรียบดั่งเครื่องพันธนาการ ที่มัดตรึงเหนียวแน่น ให้ลุ่มหลงอยู่ ย่อมจะต้องเวียนว่ายตายเกิดและจมอยู่ในกองทุกข์ร่ำไป
#9
โพสต์เมื่อ 02 October 2010 - 10:28 PM
อุปมาเหมือน แสงสว่างกับความมืด ที่ใดมีแสงสว่างที่นั่นย่อมไม่มีความมืด ที่ใดมีความมืดที่นั่นย่อมไม่มีแสงสว่าง
แล้ว ความมืดและแสงสว่าง ไปทะเลาะกันตั้งแต่เมื่อไหร่ คำตอบ คือ ธรรมชาติของแสงสว่างกับความมืด มันเข้ากันไม่ได้ตั้งแต่กำเนิดสว่างกับมืดน่ะครับ
แล้วความสว่างกับความมืดไม่สามารถเจรจากันได้หรือ คำตอบคือ หากอยู่ในที่เดียวกัน สมมุติอยู่ในห้องเดียวกัน ไม่สามารถเจรจาแบ่งที่อยู่กันได้ครับว่า ความมืดให้อยู่แค่ครึ่งห้องนี้ ส่วนความสว่างให้อยู่ครึ่งห้องโน้น (ทำไม่ได้ใช่มั้ยครับ) มีแต่ไม่สว่างก็ต้องมืดกันไปข้างน่ะครับ
แล้วความสว่างยอมแพ้ไม่ได้หรือ จะได้สงบสุข อ๋อ ความสว่างย่อมแพ้หมายถึงตาย(จริงๆ)กันหมดน่ะครับ เพราะไม่ได้เหมือนมนุษย์ที่อีกฝายยอมแพ้แล้วสงครามยุติ แต่เหมือนว่า ถ้าเราปิดไฟ ทั้งห้องก็มืดหมด (ความสว่างทั้งหลายก็หายหมดน่ะครับ) แต่ถ้าเราเปิดไฟ ความมืดก็ต้องหายหมดเช่นกัน มันเป็นอย่างนี้ แหละครับ
อ้าวแล้วจะทำอย่างไรล่ะ ก็ทำในสิ่งที่เราทำแล้วมีความสุขสิครับ คือ ละชั่ว ทำดี ทำใจให้ผ่องใส ซึ่งการทำเช่นนี้ มันคือ การเปิดไฟ(ต้องเข้าใจนะครับ) ผลก็คือ มารจะอ่อนแรงทุกครั้งที่คุณละชั่ว ทำดี ทำใจให้ผ่องใส เหมือน ความมืดต้องหายไปทุกครั้งที่เราเปิดไฟ ธรรมชาติของมันเป็นเช่นนี้น่ะครับ ถ้าเราจำเป็นต้องใช้ไฟ เราจะต้องสงสารความมืดด้วยหรือ ว่ามันจะต้องมลายหายไปเมื่อเราเปิดไฟ ไม่จำเป็นถูกมั้ยครับ
#10
โพสต์เมื่อ 03 October 2010 - 09:34 PM
ไม่รู้จะตอบยังไงให้เข้าใจครับ หวังว่าหลวงพี่ท่านคงจะช่วยเคลียร์ให้แล้วนะครับ
#11
โพสต์เมื่อ 03 October 2010 - 11:06 PM
อยากเกิดมาเจ็บป่วยเจ็บไข้ไม๊? อยากเกิดมาโดยไม่รู้ว่าไปทำกรรมอะไรไว้ไม๊? อยากเกิดแล้วเกิดอีกไปเรื่อยๆไม่จบไม่สิ้นหรือไม่? นั่นแหละคือคำตอบ
สิ่งเหล่านั้นเป็นผลมาจากผู้ออกแบบภพ 3 เขากำหนดและบังคับไว้ เราเรียกอวิชชา เป็นสิ่งที่ผู้มีอำนาจมากสร้างไว้ และกำหนดไว้ให้ตกอยู่ภายใต้การบังคับนั้น
และขัดขวางการหลุดพ้น ขัดขวางการทำความดี ขัดขวางบุญบารมี เพื่อไม่ให้รู้ ไม่ให้เข้าใจความเป็นไปของชีวิตและการกำเนิดมาเป็นสัตว์เดรัจฉาน หรือมนุษย์
สิ่งนั้นแหละ ผู้มีอำนาจนั้น เราเรียกมาร ลองอ่านในพระไตรปิฏกเสริมไปก็ได้นะจ๊ะ ถ้าเราไม่หยุดเขา เขาก็หยุดเราและดึงมนุษย์ให้ตกต่ำไปเรื่อยๆจนลืมไปว่า "ทำไมต้องเกิดมา?"
#12
โพสต์เมื่อ 03 October 2010 - 11:27 PM
มีห้าฝูงคือ
กิเลสมาร ทำให้คนเกิดความรู้สึกไม่อยากทำความดี อยากทำความชั่ว
ขันธ์มาร ทำให้ทำความดีได้ไม่เต็มที่ เพราะต้องคอยบริหารขันธ์(กินข้าว ,อาบน้ำ,พักผ่อน ฯลฯ)
เทวบุตรมาร การขัดขวางการทำความดีและชักชวนให้ทำชั่วจากบุคคลอื่น
มัจจุมาร กำลังทำจะทำดีหรือยังทำดีได้ไม่เท่าไหร่ ดันตายซะก่อน
อภิสังขารมาร ความเสื่อมแห่งสังขารทำให้กำลังในการทำความดี ลดลงตามกาล
หรือมีสังขารที่ทำให้ทำความดีได้ยาก(พิกลพิการ,ไม่ได้เกิดเป็นมนุษย์ เป็นต้น)
การปราบมาร คือ ทำลายหรือเอาชนะเครื่องกั้นความดี
มิให้มาขวางกั้นความดี และ ขวางมรรคผลนิพพานของชาวโลกได้อีกนั่นเอง
#13
โพสต์เมื่อ 04 October 2010 - 06:14 PM
"นิพพานของมาร" เพื่อลิ้มรส "ซุปเปอร์ทุกข์" สุดยอดของความทุกข์ทั้งมวล
อยากลองไปไหมครับ?
ส่วนที่ว่า สู้กัน ตั้งแต่เมื่อไหร่ ? ผมไม่ทราบ เพราะมันอาจ คล้ายๆกับจำนวน เมล็ดทรายในมหาสมุทร มั้ง? รู้ระยะเวลาไปก็ไม่เกิดประโยชน์
แล้วทะเลาะกันทำไม? จขกท. ลองเดินไปหากลุ่มคนพาล(พวกชอบตีกัน) แล้วมองหน้าส่งสายตาเฉยๆดูสิ พวกนั้นมันคง ชวน จขกท.กินข้าวหรอกนะ
แล้วเจรจากันไหม? ส่วนใหญ่ นิสัยของโจรคนพาล มันไม่ค่อยชอบเจรจา มันชอบลุยแบบหมาลอบกัด จะเจรจาตอนที่ตัวเองเริ่มเสียเปรียบแล้วมั้ง?
ดูก่อน จขกท. นี้แค่มนุษย์ขาดสติ ไม่เอาใจไว้ที่กลางท้อง เลย โดนมารเข้าสิงจิตใจ บังคับให้ทำชั่ว ทางกาย วาจา ใจ
ถ้าเป็น "มารตัวจริง" มาเอง ก็คงต้องใช้คำว่า "ซุปเปอร์ชั่ว" แบบคาดเดาไม่ได้
ทั้งหมดนี้ฟังคำเล่าบอกต่อมาอีกที ผิดพลาดยังไงหรือ ภาพมันเป็นยังไง ก็ต้อง "นั่งสมาธิไปพิสูจน์กันเอาเองนะ"
#14
โพสต์เมื่อ 04 October 2010 - 06:53 PM
ต้องไปศึกษาเรื่องมาร 5 ให้เข้าใจก่อนนะครับ
ส่วนภาคมาร ที่เป็นที่มาของคำว่า ปราบมาร ในวิชชาธรรมกาย นั้น เป็นธาตุธรรมภาคมารที่สุดละเอียด ที่เป็นผู้สอดส่งมารทั้ง 5 มานั่นเองครับ
ถ้าว่ากันตามกติกาแล้วต่างฝ่ายจะต่างอยู่ ไม่ระรานกัน แต่เพราะภาคดำเขาผิดกติกา หลวงปู่สดเราจึงเทศน์เอาไว้ว่า "เลยต้องประมูลฤิทธิ์กัน" ที่เรียกกันอีกอย่างว่า "ทำวิชชารบ" เป็นสำนวนทางวิชชาธรรมกายนะครับ หมายถึงรบกับภาคมารคือกิเลสที่สุดละเอียดนี้แหละ
ถามว่ามีการเจรจาไหม? ก็มี แต่มิใช่เรื่องเจราจาแบบที่คนทั่วๆไปเข้าใจกัน เป็นการเจรจาด้วยธาตุธรรมที่ละเอียดๆ
มันเป็นเรื่องลึกซึ้งกว่าบุคคลผู้มีใจแคบจะพอเข้าใจกัน แต่หากเปิดใจพิจารณาแล้วจะเห็นว่า เป็นไปตามพระธรรมวินัยแท้ๆเลย กุสลาธรรมา อกุสลาธรรมา อัพยากตาธรรมา ไงครับ
.........................
ส่วนถ้าหากว่าคุณไปได้ยินเรื่อง "มาร" มาจากศานาเทวนิยม ที่มีพระเจ้า หรือเทพเจ้า รบ กับ ซาตาน หรือ พญามาร อันนั้นเป็นนิทานปรัมปราคติแล้วครับ อย่าเอามาเทียบกัน แบบนั้นเป็นนิทานมีทุกประเทศทั่วโลก ทุกชนเผ่า ทุกเผ่าพันธ์ แต่งกันขึ้นมาเอง เชื่อกันไปเอง
เรื่องทำนองนี้ ในทางพระพุทธศาสนา หากจะมีอยู่บ้าง เป็นเพียงแค่เรื่องเทวดาชั้นดาวดึงส์นำโดยพระอินทร์ รบ กับเทวดาอสูร เท่านั้นเองครับ ไม่ใช่เรืองยิ่งใหญ่อะไรเลย เป็นเรื่องธรรมดาของภพภูมิต่างๆ แบบนี้เขาทะเลาะกันด้วยเรื่องส่วนตัวตามประสาโลกๆครับ
แบบนี้คงต้องส่ง นรอ ไปช่วยเจราจาสงบศึกแล้ว อิอิ

ละธรรมดำ ยังธรรมขาวให้เจริญ
ธัมมะกาโย อะหัง อิติปิ
เราตถาคต คือธรรมกาย
#16
โพสต์เมื่อ 05 October 2010 - 10:25 AM