
เบื่อชีวิตมากๆเลย
#1
โพสต์เมื่อ 23 October 2010 - 10:22 AM
แต่พอออกจากงานมาปรากฎว่ารับสมัครรุ่นใหม่เดือนมีนาคมปีหน้า ตอนนี้ก็ไม่รู้จะทำอะไรเลย อยากเข้าไปทำงานข้างในวัดอ่ะค่ะ
แต่ไม่รู้จะไปทำอะไรที่ไหน แถมยังมีภาระต้องเลี้ยงดูครอบครัวอีก เซงเบื่อ...
#2
โพสต์เมื่อ 23 October 2010 - 11:26 AM
#3
โพสต์เมื่อ 23 October 2010 - 01:21 PM
#4
โพสต์เมื่อ 23 October 2010 - 01:32 PM
คงต้องเร่งฟื้นฟูตัวเองด่วนแล้วล่ะ
ทำไมถึงเบื่อได้แค่ศึกษาธรรมะในWWW.DMC.TV สลับกับการนั่งสมาธิก็หมดเวลาแล้ววันหนึ่งๆ
#5
โพสต์เมื่อ 23 October 2010 - 01:38 PM
#6
โพสต์เมื่อ 23 October 2010 - 02:31 PM
คนป่วย นอนเป็นอัมพาต รอคนอื่นป้อนข้าวป้อนน้ำ คงจะน่าเบื่อมากๆ
#7
โพสต์เมื่อ 23 October 2010 - 03:27 PM
ประสบการณ์ชีวิต สอนมาตลอด ว่า.....ถ้า.....
อยากแบบ เบื่อๆ เซ็งๆ อยากๆ จะทำอะไรมีเป้าหมายในใจมีไว้ว่า....ไม่รู้จะทำอะไรดี จะทำได้รึเปล่า..(ขาดความมั่นใจ+สติ+ปัญญา).----->ทำอะไรก็อันตราย ทำงาน ทำบุญ ก็ได้ผลไม่เต็มที่ ผลงานออกมาไม่ดี ล้มเหลว เดี๋ยวเลิกเดี๋ยวทำ จับจด...
แต่ถ้า...อยากแบบ สนุกๆ เบิกบาน แช่มชื่น มั่นใจ จะทำอะไรมีเป้าหมายในใจมีไว้ว่า....ทำอะไรก็จะทำให้ดีที่สุด สุดชีวิตไปเลยก็ได้(มีความมั่นใจ+สติ+ปัญญาเต็มที่).----->ทำอะไรก็ดี ประสบความสำเร็จไปหมด แม้แต่นั่งสมาธิ ผลการปฏิบัติธรรม ได้ผลแบบไม่มืดตื้อมืดมิด แน่นอน
ประสบความสำเร็จ มีพร้อมทุกอย่างทั้ง ลาภ ยศ สรรเสริญฯลฯ ตามกำลังบุญของตัวที่เคยทำมาในอดีต จนกระทั่ง....หยุดอยากทั้งสิ้น....พาให้ใจหยุด....
ใจหยุด ใจก็ตกลงไปศูนย์กลางกาย ทำให้ได้?
เคยได้ยินมาว่า ใจหยุดทำให้ได้ ที่สุดแห่ง ลาภ ยศ ฯลฯ ซึ่งประชุมรวมอยู่ใน พระธรรมกายใสๆในตัวของคุณๆทั้งหลาย
และก็เคยได้ยินหลวงปู่สด ท่านกล่าวไว้ว่า
ถ้า ใจหยุดได้ แค่เห็นดวงใสๆ เงินทองไหลมาเอง
ทำแบบนี้ก็ดีเหมือนกันเนอะ ง่าย สบาย ไม่ลำบากดี แค่ทำใจเฉยๆ ฝึกไปเรื่อยๆ แบบฝึกจริงๆเอาชีวิตแลก ไม่เลิกฝึก ก็คงอาจจะได้เหมือนกะเขาบ้างสักวันหนึ่ง
ว่าแต่คนอ่านจะลองเชื่อ(ครู) พระมงคลเทพมุนี สด จนฺทสโร ผู้ค้นพบวิชชาธรรมกาย แล้วลองทำดูไหมละ?
ไหนๆก็โดน (ครู)ที่โรงเรียน ลวงมาเกือบทั้งชีวิตแล้วว่า เรียนจบแล้วก็ไปทำมาหากิน คงอาจรอดตาย แต่ตายแล้วรอดรึเปล่า?
#8
โพสต์เมื่อ 23 October 2010 - 08:15 PM
#9
โพสต์เมื่อ 23 October 2010 - 09:17 PM
เพราะแม้แต่สุดยอดนักธุรกิจเมืองไทยท่านยังยอมรับว่ายังมืดค่ะ(พี่ใหญ่ คุณอนันต์) ทั้ง ๆ ที่ประสพความสำเร็จยอดเยี่ยมในชีวิต
อ่านได้ ฟังได้แต่ความจริงก็คือความจริง นี่ไม่ได้เถียงหรือดันทุรัง เพราะแต่ละคนมีพื้นฐานต่างกัน
จริง ๆ แล้วทุกคนอยากเป็นหนึ่งในล้านทั้งนั้น ถ้ามีแต่ปัจจุบันเท่านั้น แต่เรามีอดีตกันทุกคนไม่รู้ว่าทำผิดทำพลาดอะไรไว้บ้าง
สติ ปัญญา จึงไม่เท่ากัน ขอเพียงทำออกแบบวันนี้ให้ดีที่สุดเมื่อรู้แล้ว มาได้ยินได้ฟังวิชชาธรรมกายแล้วค่ะ
#10
โพสต์เมื่อ 23 October 2010 - 10:36 PM
ผมเชื่อว่าเรื่องของภพ3ถ้าได้ศึกษาด้วยธรรมกาย ทั้งชีวิตก็ศึกษาไม่หมด
คนเราก็แปลกนะครับ ชอบคิดว่าไม่มีอะไรทำ แต่กลับไม่ยอมนั่งสมาธิ เข้าวัดปฏิบัติธรรม ถ้าได้เข้าถึงธรรมผมมั่นใจ
ว่าคุณจะมีอะไรให้ทำอีกเยอะครับ

#11
โพสต์เมื่อ 24 October 2010 - 12:49 AM
บางที ผมสังเกต เห็น พี่ใหญ่ บุญชัย มานั่งวันอาทิตย์ นั่งหลับน้อยนะ ดูตั้งใจนั่งมาก ท่านั่งก็นิ่งๆสบายๆดี
คุณ อนันต์ บางที ก็เห็น นั่งหน้ายิ้มๆ เวลานั่งสมาธิบางครั้ง (ชอบแอบสังเกตชาวบ้าน)
ผู้มีปัญญาทั้ง2 และอีกหลายๆท่าน ที่นั่งสมาธิแล้ว ภายนอก บ่งบอกออกมาแบบนี้ คงไม่ได้ ยิ้ม หรือนั่งแบบสบายๆ
เพราะ เห็นความมืด หรือ "โครตเมื่อยเลยวะ" โดยเจตนา แกล้งยิ้ม ทำตัวสบายๆ หลอกตัวเองและชาวบ้าน
แม้หลวงพ่อฯ นำนั่งสมาธิ ท่านก็ปรือๆ ตา กระพริบไปกระพริบมา(เพราะท่านสอนให้หลับตาแบบท่าน)
ใครๆดูแล้วก็ตั้งคำถาม ว่าหลวงพ่อฯ ท่านหลับตาแบบนั้นทำไม? ท่านเข้าถึงธรรมจริงหรือ? ทำไมตัวท่านไม่นิ่ง?
เขาว่า กันว่า คนรวยมากแล้ว เขาจะไม่อวดรวย
คนมีผลการปฏิบัติ ธรรมที่ดีๆ เขาจะไม่อวดว่า เข้าถึงธรรมกายแล้วหรือเป็นเซียนแล้ว
ผมเองก็ยอมรับเลยว่า ผมก็ยังไม่เข้าถึงพระธรรมกาย และ ยังมืดตื้อมืดมิดอยู่
แต่เคย ฟลุ๊ค เห็น แสงสว่าง ดวงใส ตัวเอง องค์พระใสๆ ตัวเบา ตัวหาย ตัวลอย ถูกดูด มาหลายครั้งแล้ว
ขอบอกว่า นับครั้งไม่ได้แล้ว(เพราะไม่เคยนับไว้) จึงมั่นใจว่า สักวันเราต้องเข้าถึงธรรมแน่นอน ถ้าเรา "จริงเท่าชีวิตสิ"
แม้ตัวผมเองจะรู้ตัวว่า ยังไม่ได้เข้าถึงธรรมกาย
แต่เวลา ใครๆมาถาม เรื่องผลของการปฏิบัติธรรม
ก็มักจะบอกว่า ก็ยังมืดตื้อมืดมิดอยู่ แต่ไม่ขอเลิกฝึกนั่งสมาธิจนตายแน่นอน
(เพราะไม่รู้จะอวด ว่าเคยเห็นแสงสว่างฯลฯแล้วนะ ไปทำไม นอกจากเขาอยากรู้จริงๆก็จะเล่าแบบที่ได้มาให้ฟังแบบให้เขาเชื่อว่าโม้ๆสนุกๆ แต่ตัวเราย่อมรู้ดีว่าโม้หรือจริง)
แม้คนที่เข้าถึงพระธรรมกายแล้ว เคยได้ไปถามเขา
เขาก็บอก ยังมืดตื้อมืดมิดอยู่เป็นบางครั้งที่ใจหยาบ
คุณยายอาจารย์ ก่อนเข้าโรงงานทำวิชชา (ขนาดไปช่วยพ่อในนรกมาแล้วด้วยจ๊ะ)
คุณยายบอก ก่อนมาทำวิชชา มืดตื้อมืดมิด ธรรมมะหาย แถมป่วยอีกด้วย แต่ก็เพียรกลับมาแซง จน "เป็นหนึ่งไม่มีสอง"
ที่กล่าวบอกนี้ ไม่ได้มาขัดแย้งนะครับ แค่มาชี้แจง เหตุผล ความเป็นจริง
หากคนใหม่ๆ หรือคนที่ยังศึกษามาไม่นาน มาอ่านอาจเข้าใจว่า.......ปฏิบัติธรรมเข้าถึงยาก
ขนาด คนรวยๆ ดร.ทั้งหลาย คนมีปัญญา ที่เข้าวัดพระธรรมกายนี้ ทุ่มทำบุญเพราะงมงาย? มืดตื้อมืดมิด? หน้ามืดทำบุญหรือเปล่า?
ได้ยินมาว่าขนาด พี่ใหญ่ พี่อนันต์ ยัง มืดตื้อมืดมิด แบบที่ใครเข้าใจอยู่ เพราะ
ได้ยินเขาบอกด้วยตัวเอง(แบบถ่อมตัว) แต่ไม่ตีความหมายลึกๆ (ว่ายังไงได้ก่อนตายแน่นอน)
ลองพิจารณาดูว่า ทำไมเด็ก ถึงเห็นองค์พระแบบ สบายๆง่ายๆ กระโดด โลดเต้น ก็ยังเห็นองค์พระ?
ทั้งๆที่เด็กยังทำงานหาเงินเองยังไม่ได้!แถม อดีตชาติอาจเคยฆ่าคน(เลว)มาก่อน (ตอนเป็นทหารของพระราชา)
แต่ทำไม เด็กก็ยังเห็นองค์พระ? ทั้งๆสติปัญญาก็ยังไปทำงานหาเงินไม่ได้
ช่วงเข้าวัดตอนแรก ผมทำบุญแค่หลักร้อย แต่อยากรู้ว่า ธรรมกายของจริงรึเปล่า? จึงทุ่มทำสมาธิ และศึกษาฯลฯ ก็ฟลุ๊ค เห็นกุศลนิมิตเป็นดวงใสในกลางท้อง จึงเดาๆว่าอาจเป็นจุดเริ่มต้นของการเข้าถึงธรรม แบบที่หลวงพ่อฯท่านว่าไว้เลย(แบบนี้ธรรมมะเป็นของมีจริงนี่ ถ้าถูกหลักวิชชาก็ง่ายๆนี่)
จากนั้น ผมจึงรักษาศีล ฝึกสมาธิ และทุ่มเลี้ยงพระ ด้วยหัวใจไม่เกี่ยง แม้จะเหลือ(หัว)ล้านสุดท้ายก็จะทุ่ม เพื่อแลกกับ ทานบารมี ชาติหน้าหัวจะได้ไม่ล้าน มีแต่เงินล้านอย่างเดียว+หล่อเท่ห์ แล้วออกบวชจนตาย ทรมาณสาวๆที่พบเห็น แบบชายแมนๆทุกๆชาติ จนกว่าจะสิ้นชาติเกิด
ปัจจุบันผมเองก็ยัง มืดตื้อมืดมิดอยู่บ่อยๆ แต่ไม่มืดสนิท เพราะ คิดตั้งสติกลับมาทำตามหลักวิชชาของหลวงพ่อฯ เสมอ หากไม่หลับไปเลย
แม้มีเผลอบ้าง มันก็เลย มืดตื้อมืดมิด เหมือนใครๆหลายๆคน ที่อยากรวยโครตๆ เพื่อมาเลี้ยงพระ
มันก็ธรรมดา ของฝ่ายเสบียง หน้าที่คนละแบบกับ ฝ่ายลุยทางใจ
เพราะงานเสบียงมันก็เอาเรื่องอยู่ ปัญหามันเยอะ คุมคนหลายคน บริษัทหลายบริษัท
จิตใจจะไม่มีความคิดเลย ใจไม่กังวลอะไรเลย แล้วมันจะเป็นไปได้อย่างไร?
#12
โพสต์เมื่อ 24 October 2010 - 05:27 AM
Absolutely not !!!! TEAM team ๆ ในที่สุดทั้งทีมต้องเข้าถึงธรรมค่ะเพียงแต่เวลานี้ว่ากันไปตามหน้าที่ค่ะ
ลืมแล้วหรือจ้ะ เราทำงานกันเป็นทีม ทีม ๆนี้ประกอบด้วย 4 เหล่าทัพ มาทบทวนกันหน่อยดีมั้ยจ้ะ
๑. ฝายทำวิชชาธรรมกาย
๒.ฝ่ายเผยแผ่วิชชาธรรมกาย
๓.ฝ่ายเสบียง (กองทัพเดินได้ด้วยท้อง และพระมิได้ฉันลม จำได้ไหม)
๔. ฝ่ายปฎิสังขรณ์ ก็พระมิได้อยู่โพรงไม้ ฯลฯ
ทุก ๆฝ่ายต้องรักสามัคคีกันและไปสู่ที่สุดแห่งธรรมด้วยกัน รู้ใช่มั้ยใครจะไปเป็นคนสุดท้าย ?
การปฎิบัติธรรมเป็นกรณียกิจที่แท้จริงของชีวิต แต่อย่าลืมว่าการปฎิบัติงานในพระพุทธศานามิใช่หลับตา
อย่างเดียว และก็ได้บุญเช่นกัน หมู่คณะหรือทีมงานจึงต้องไม่มีศิลปินเดี่ยวด้วยเหตุนี้แล อย่าหาว่าอวดรู้
เลยนะปากและใจมันพาไป ผิดพลาดประการใด ๆ ก็ขออภัยด้วย
การทำงานของทีมก็เหมือนเล่นกีฬา ทุกคนรู้หน้าที่ตัวเอง ทำหน้าที่ให้เติมเต็มด้วยกันเพราะทีมชนะก็ชนะทั้งทีม
แพ้ก็แพ้ทั้งทีม นี่แหละจึงต้องฟังหัวหน้าทีมว่าอย่างไรว่าตามกัน เราต้องประคับประคองกันไปให้ตลอดเส้นทาง
แล้วในที่สุด AT LAST YOU(WE) WIN ก่อนจะชนะต้องมี LOVELY LOVE เมตตาปรารถนาดีต่อกันจ้า
.....................
ก่อนสว่างล้วนมืดมาก่อนทั้งนั้นทุกคน อย่าลืมว่าเรากำลังฝึกฝนตัวอยู่และสิ่งนี้ตามติดติดตามตัวไปข้ามภพข้ามชาติ ทุกคนเคร่งได้แต่อย่าเครียดค่ะ
เรามิได้อยู่คนเดียว แม้ดูเหมือนจะอยู่โดดเดี่ยวตามลำพัง แต่แท้จริงเราเป็นสัตว์สังคมที่พึงพาอาศัยกันอยู่ตลอดเวลา จึงมีผู้กล่าวว่า"เด็ดดอกไม้สะเทือนดวงดาว"
และหัดคิดบวกทำบวกจะมีความสุขมากกว่าคิดลบทำลบ เพราะพลังที่เรามองไม่เห็นมันสื่อกันอยู่ตลอดเวลา ........บาย บาย ไปวัดดีกว่า.
#13
โพสต์เมื่อ 24 October 2010 - 10:43 PM
#14
โพสต์เมื่อ 05 November 2010 - 01:40 PM

#15
โพสต์เมื่อ 09 November 2010 - 08:26 PM