บาปไหม ?
#1
โพสต์เมื่อ 07 April 2006 - 11:03 PM
มักเอ่ยปากยืมเสมอ ๆ
ถ้าบอกว่ามีเงินต้องให้แน่(ญาติผู้ใหญ่) เพราะเกรงใจ แต่ถ้าบอกว่าไม่มี ?
"ไม่มี" ความหมายของเราคือ ไม่มีเครดิต มีแค่ใช้ แต่ไม่มีให้ยืม
เท่านั้นก็จบแต่บาปไหม ?
#2
โพสต์เมื่อ 07 April 2006 - 11:53 PM
ไม่ให้ก็ไม่ให้
ให้ไม่ให้ก็ต้องให้
ครับผม
- ไมโคร (เพลง หยุดมันเอาไว้)
"แค่หลับตา... (ลบเลือนทุกสิ่ง เหลือเพียงหนึ่งเดียว) เธอจะเห็นยามเธอหลับตา... (ใช้ใจสัมผัสและมองสิ่งนั้น) เธอจะเห็นตัวฉันเป็นอย่างที่เป็น"
- อุ๊ หฤทัย (เพลง แค่หลับตา)
#3
โพสต์เมื่อ 08 April 2006 - 01:46 AM
ทำอย่างไรเขาจึงเกรงอกเกรงใจเรา ก็อยู่ที่การวางตัวให้น่านับถือแต่แรกอย่างเสมอต้นเสมอปลายครับ หากเป็นญาติกันคงปฏิเสธยากหน่อยครับ หนักไปก็ไม่ดีผ่อนหน่อยก็จะเคยชินซ่ะก่อน การสร้างและให้โอกาสคนเป็นสิ่งดีครับ แต่จะดีไม่น้อยเช่นกัน ถ้าการช่วยเหลือของเรา นั้นสามารถทำให้เขาสร้างตัวเองต่อไปได้ สงเคราะห์ญาติ เป็นมงคลชีวิตอย่างหนึ่ง แต่ก็เลือกนิดหน่อย อย่าให้คนพาลล่ะกัน หากยังไง ๆ ก็จะต้องยืมกันให้ได้ และเห็นนิสัยแล้วไม่ไหวแน่ มีสองทางเลือกครับ
1 คือหากไม่ให้ยืมทำอย่างไหรให้อลุ่มอล่วย แบบบัวไม่ช้ำน้ำไม่ขุ่น หาสาเหตุใช้เงินก่อนเขายืมก็ดีครับ เอาไปทำบุญลงทุนอะไรแล้วก็ว่าไป แต่อย่ายอมผิดศีลมุสาเด็ดขาด
2 ในเมื่อเขาจะยืมให้ได้ เราก็ต้องเอาพยานที่เขานับถือมารับรู้กันแบบไม่ทางการหน่อย วิธีนี้อาจจะช่วยทำให้เขาละอายได้หากไม่ทำตามคำพูดตนเอง หากขึ้นชื่อว่าพาลก็ทำใจล่วงหน้าไว้ได้เลยครับ วิธีที่ดีสำหรับผม คงเป็นตัวเลือกที่ 1
#4
โพสต์เมื่อ 08 April 2006 - 07:41 AM
#5
โพสต์เมื่อ 08 April 2006 - 10:02 AM
ไม่ให้ก็ไม่ให้
ให้ไม่ให้ก็ต้องให้
ขยายความนะครับ เท่าที่พอจำได้
ให้ก็ให้ คือ ให้สำหรับผู้ที่ให้ตอบ
ไม่ให้ก็ไม่ให้ คือ ไม่ให้สำหรับผู้ที่ไม่ให้ตอบ
ให้ไม่ให้ก็ต้องให้ คือ ไม่ว่าคนผู้นั้นจะให้ตอบหรือไม่ เราก็ควรที่จะต้องให้ เช่น บิดา มารดา สามี ภรรยา ญาติพี่น้อง
สำหรับผู้ที่สนใจรายละเอียดเพิ่มสามารถหาได้จากโอวาทของธนัญชัยเศรษฐีที่ให้ไว้แก่นางวิสาขาวันที่จะออกจากเรือนแต่งงานครับ
มหาวิหาร จรัสฟ้า ค่ายิ่งใหญ่
รูปทอง ผ่องผุด ดุจยองใย
สะท้อนถึง ห้วงดวงใจ สุดบูชา
*********************
ยอดเยี่ยม "ธรรมกาย" ผล ..... ผ่องแผ้ว
เลอเลิศล่วงกุศล ..... ใดอื่น
เชิญท่านถือเอาแก้ว ..... ก่องหล้าเรืองสกล
พระมงคลเทพมุนี (สด จนฺทสโร) ผู้ค้นพบวิชชาธรรมกาย
#6
โพสต์เมื่อ 08 April 2006 - 10:06 AM
ถ้าหากว่าไม่ได้คืน ก็ยกหนี้ให้เขาไปเถอะ จะได้ไม่เป็นหนี้บุญคุณกันข้ามภพชาติ จะได้สบายใจ
แต่ถ้าเขามาบอกว่ายืมอีก ก็บอกว่าให้ไม่ได้ เพราะให้ไปแล้วไม่เคยคืน ถ้าหากเขาจะโกรธ ก็ปล่อยเขาไปเถอะค่ะ เราไม่ได้เป็นคนผิดซักหน่อยนี่นา ทำไมต้องเกรงใจ คะ ก็คุยกับเขาตามปกติ เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ถ้าหากเขาเป็นคนยืมเงินแล้วไม่คืนและยังมีหน้ามายืมอีก เขาเองยังไม่ละอายใจ แล้วเราผู้ให้ยืม แต่ไม่เคยได้เงินคืนจะต้องละอายใจด้วยเหรอ แปลกจัง
แล้วถ้าหากว่าจะตัดญาติขาดมิตรกัน เพราะว่าไม่ให้ยืมเงิน ก็ขาดไปเถอะค่ะ ญาติแบบนี้ เขาไม่เรียกว่าญาติหรอกค่ะ
อ้ายที่อยากมันก็หลอก อ้ายที่หยอกมันก็ลวง ทำให้จิตเป็นห่วงเป็นใย.."
พระมงคลเทพมุนี (สด จันทสโร)
#7
โพสต์เมื่อ 08 April 2006 - 10:56 AM
มีอุบาสกท่านหนึ่ง มายืมเงินหลวงปู่ 2หมื่นบาทเพื่อลงทุน
หลวงปู่ท่านเมตตาให้ 2พัน โดยให้ขาดไม่ให้ยืม
ท่านกล่าวว่าหากลงทุนแล้วกิจการรุ่งเรือง นึกถึงท่านได้ ก็มาคืนไม่ต้องให้ดอกเบี้ย
หากลงทุนแล้วไม่ประสบผลก้ไม่ต้องคืน เพราะการให้นี้ ไม่มีหนี้ ข้อผูกมัดต่อกัน ที่สำคัญหากเขาไม่มาคืน โอกาสที่เขาจะมาขออีกนั้นแทบจะไม่มี
อุบาสกถามต่อว่า เขาต้องการ 2หมื่น 2พัน นี่ไม่พอหรอกครับ
หลวงปู่ตอบว่า คุณก็ต้องไปหาแบบนี้(แบบหลวงปู่)อีก 9คน คุณก็จะได้ครบ 2หมื่น
#8
โพสต์เมื่อ 08 April 2006 - 11:42 AM
#9
โพสต์เมื่อ 08 April 2006 - 03:21 PM
หรือ อีกท่านหนึ่งเขียนเรื่องราวของตัวเองไว้ในหนังสือ เข็มทิศชีวิต ชื่อคุณฐิตินารถ ณ พัทลุง (ออกสัมภาษณ์รายการเจาะใจด้วย) ตอนแรกเธอกับสามีรวยมาก ไม่ต้องทำอะไรมีความสุข วันที่เป็นจุดเปลี่ยนชีวิต คือ วันที่สามีเธอตายกระทันหัน พร้อมด้วยหนี้สิน 100 ล้าน เธอแทบจะฆ่าตัวตาย ติดว่า มีลูกอยู่ 1 คน ต่อมามีคนบอกเธอว่า "จะใช้หนี้ให้หมด ให้ไปปฏิบัติธรรม" เธอถามกลับว่า "อะไรนะ ให้ไปปฏิบัติธรรม" ผู้ชวนบอกว่า "ใช่แล้ว"
เธอเห็นว่า ไม่มีอะไรจะเสียแล้ว ลองดูก็ได้ แล้วก็ขึ้นไปปฏิบัติธรรมสายคุณแม่สิริ กรินชัย 7 วัน หลังจากนั้นเธอกลับมาด้วยสติ และกำลังใจ ในที่สุด ก็ค่อยๆ ทำมาหากินจนใช้หนี้ 100 ล้านได้ทั้งหมด ต่อมาเธอมาพบกัลยาณมิตรท่านหนึ่งซึ่งไปปฏิบัติธรรมที่วัดพระธรรมกาย และแล้วทั้งสองก็กลายเป็นเพื่อนกัน (แต่ยังคงปฏิบัติกันคนละสาย โดยไม่มีปัญหาใดๆ ระหว่างเพื่อน) ท้ายที่สุด เธอขายกิจการทั้งหมดให้เพื่อนกัลยาณมิตรท่านนี้ ส่วนตัวเธอ ไปซื้อบ้านอยู่ชายทะเล เลิกทำงานทั้งปวง อุทิศตนให้กับการสอนปฏิบัติธรรมสายคุณแม่สิริ กรินชัยให้กับคนทั้งหลาย ในขณะที่ยังคนคบหากับเพื่อนกัลยาณมิตรท่านนี้เป็นปรกติ ในหนังสือ เข็มทิศชีวิตของเธอ เพื่อนกัลยาณมิตรท่านนี้ ก็วาดรูปประกอบหนังสือให้ด้วย เธอบอกว่า เธอและลูกมีความสุขมากกับธรรมะของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
ดังนั้น ใครทุกคนที่เป็นหนี้ ผมแนะนำให้ไปปฏิบัติธรรมครับ หรือ ถ้าไม่มีเวลาให้ลองไปอ่านหนังสือ เข็มทิศชีวิตดูก่อนก็ได้
#10
โพสต์เมื่อ 08 April 2006 - 08:38 PM
ถ้าให้เขาเพราะเป็นญาติ เรายังต้องไป ๆ มา ๆ บ้านเขาเรื่อย ๆ ทีละ 1000 ทีละ 500 ทวงยาก
เพราะมันไม่มาก ก็ถือว่าทำทานได้ครับ
แต่มันเสียดายผมนำเงินก้อนนี้มาทำบุญเสียดีกว่าให้เขาเอาเงินไปใช้ฟรี แต่ศีลข้อ 4 มัน
ไม่ค่อยบริสุทธิ์เอา
ปัจจุบันนี้หาผู้ที่ละอายมีความเกรงกลัวต่อบาปยากนัก
#11
โพสต์เมื่อ 08 April 2006 - 11:09 PM
เพราะมันไม่มาก ก็ถือว่าทำทานได้ครับ
แต่มันเสียดายผมนำเงินก้อนนี้มาทำบุญเสียดีกว่าให้เขาเอาเงินไปใช้ฟรี แต่ศีลข้อ 4 มัน
ไม่ค่อยบริสุทธิ์เอา
คุณก็นึกเสียว่า คุณได้ทำบุญสงเคราะห์ญาติไปก็แล้วกัน เอาเป็นว่าถ้าวันหลังจะไม่ให้ ก็ไม่ให้เสียตั้งแต่ต้นมือเลยจะดีกว่าครับ เพราะหากเราให้ไปแล้วเกิดความรู้สึกเสียดายในภายหลังนี่ ไม่ดีนะครับ แถมยังต้องพ่วงบาปอันเกิดจากการพูดปด (แบบจำเป็น) ไปด้วยอีกต่างหาก ยิ่งไม่ดีใหญ่เลยครับ
#12
โพสต์เมื่อ 09 April 2006 - 10:03 AM
#13
โพสต์เมื่อ 09 April 2006 - 03:12 PM
#14
โพสต์เมื่อ 10 April 2006 - 01:41 AM
ตามที่ในพระไตรปิฎกเขียนไว้ครับ
แม้ชีวิตนี้ก็ให้ได้
#15
โพสต์เมื่อ 10 April 2006 - 12:56 PM
#16
โพสต์เมื่อ 14 February 2007 - 09:05 AM