
กินยาถ่ายพยาธิเป็นการฆ่าสัตว์หรือไม่
#1
โพสต์เมื่อ 12 April 2006 - 05:37 PM
เม็ดเดียวครั้งเดียว ถ่ายพยาธิ ทั้ง10ชนิด
#2
โพสต์เมื่อ 12 April 2006 - 07:50 PM
#3
โพสต์เมื่อ 12 April 2006 - 08:13 PM
#4
โพสต์เมื่อ 12 April 2006 - 09:59 PM
#5
โพสต์เมื่อ 12 April 2006 - 10:12 PM
มีคนหนึ่ง มีอาการปวดท้องเหมือนเป็นโรคกระเพาะอาหาร รักษามานาน และ หลายหมอบอกว่าเป็นโรคกระเพาะอาหารอักเสบ กินยาหลายขนานก็ยังไม่หาย ภายหลังพบหมอคนหนึ่ง แนะนำให้กินยาถ่ายพยาธิ ยี่ห้อ เบ็นด้า 500 สัปดาห์ละหนึ่งเม็ดเป็นเวลา 6 สัปดาห์ติดต่อกัน (เพราะจะได้ตายทั้งตัวและไข่) ปรากฎว่าหายจากอาการที่เรียกว่าโรคกระเพาะ หมอบอกว่ามีพยาธิอยู่ ทำให้ปวดท้อง ทานบ่อย ทำให้ทานอาหารไม่ตรงเวลา
ฟังแล้ว ดิฉันก็ลองทำตามดู เพราะปวดท้องโรคกระเพาะอาหารอยู่หลายสิบปีเหมือนกัน หลังครบ 6 สัปดาห์ ก็ไม่รู้สึกปวดท้องและหิวบ่อย
ใครจะลองทำตามดูบ้างก็ไม่น่าจะเสียหาย เพราะยาถ่ายพยาธิไม่เป็นอันตราย (อันนี้คิดเองนะคะ)
และตอนหลังยังสามารถถือศีล 8 ได้อีก ติดต่อกันมาเป็นเวลากว่า 8 ปีแล้ว ไม่เคยมีอาการปวดท้องโรคกระเพาะเลย
แถมเคล็ดอีกอย่าง อาการปวดท้องโรคกระเพาะ อาจเป็นเพราะมีลมในกระเพาะมาก ถ้ารู้สึกปวดท้อง ลองพยายามขะแม่วท้องเพื่อรีดลมในท้องออก จะทำให้ลมออกปาก (อย่าทำเวลาเพิ่งอิ่มข้าว จะทำให้อาหารออกมาด้วย) ก็จะช่วยได้มากคะ
#6
โพสต์เมื่อ 12 April 2006 - 10:44 PM
Interresting !!!

#7
โพสต์เมื่อ 12 April 2006 - 11:48 PM
Phylum Platyhelminthes => สำหรับพยาธิตัวแบน อาทิ พยาธิตัวตืดสุกร และ
Phylum Nemathelminthes/Nematoda => สำหรับพยาธิตัวกลม อาทิ พยาธิปากขอ


ภาพ ๑ พยาธิตัวตืดสุกร (Taenia solium (tapeworms)) และวงจรชีพ


ภาพ ๒ พยาธิปากขอ (Ancylostoma duodenale (hookworms)) และวงจรชีพ
#8
โพสต์เมื่อ 13 April 2006 - 01:34 AM
เอ แต่ อะไรคือสาเหตุที่ทำให้มีลมในท้องมากเหรอคะ แล้วจะแก้ไขอย่างไร จึงจะหาย เพราะตัวเองมีลมในท้องบ่อยมาก บางทีเสียดเหมือนมีคนเอามีดมาทิ่มเครื่องใน ทรมานมาก และเป็นอุปสรรคต่อการนั่งธรรมะมากคะ ขอความกรุณาท่านผู้รู้ช่วยหน่อยคะ
น้าจี้
#9
โพสต์เมื่อ 13 April 2006 - 09:17 PM
อยากรู้เหมือนกันครับ
#10
โพสต์เมื่อ 13 April 2006 - 09:41 PM
5555
#11
โพสต์เมื่อ 14 April 2006 - 03:55 PM
เอ ทำให้สงสัยและว่าถ้าเรากินยาปฏิชีวนะแล้วไปฆ่าเชื้อไวรัส หรือแบคทีเรีย ให้ตายนี่จะเป็นการฆ่าสัตว์
ผิดศีลด้วยหรือป่าวครับเนี่ย ????
ไม่สั่นคลอน ใสเหมือนน้ำที่ปราศจากตะกอน
#12
โพสต์เมื่อ 14 April 2006 - 06:47 PM
ผิดศีลด้วยหรือป่าวครับเนี่ย ????
ไม่ผิดศีล และไม่บาปด้วยครับ เพราะไวรัส แบคทีเรีย ตัวสเปิร์มและ/หรือไข่ (ที่ยังไม่ได้รับการผสม) เหล่านี้ จัดเป็นสิ่งมีชีวิตที่ไม่มีวิญญาณครอง แต่สามารถเคลื่อนที่และเพิ่มจำนวนได้โดยอาศัยวาโยธาตุ (ธาตุลม) ครับ แต่ที่ผมยังรู้สึกกังขาอยู่ก็ไอ้เจ้าตัวยึกยือพวกนี้แหละครับ เพราะหากพิจารณาจากการจัดและจำแนกประเภทของสิ่งมีชีวิตตามหลักทางชีววิทยา หรือที่เรียกว่า
"อนุกรมวิธาน (taxonomy)" แล้ว เขาจัดพวกมันไว้เป็นสิ่งมีชีวิตใน ๒ phylum จากทั้งหมด ๙ phylum น่ะครับ (สำหรับสิ่งมีชีวิตอย่างพวกเรานั้น ถูกจัดอยู่ใน Phylum Cordata ซึ่งเป็นกลุ่มของสิ่งมีชีวิตที่มีกระดูกสันหลัง (vertebrates) ครับผม) ก็เลยสงสัยอยู่เหมือนกันว่า หากเรากินยาถ่ายแล้วไปออกฤทธิ์ฆ่าพวกเขานี่ เราจะพลอยมีบาปติดตัวด้วยหรือเปล่า?
#13
โพสต์เมื่อ 14 April 2006 - 09:00 PM
#14
โพสต์เมื่อ 17 April 2006 - 12:44 PM
สัตว์ที่ต่ำสุด ที่ระบบมีระบบประสาทคือ ไฮดร้า ครับ สังเกตุจากการทดลองกับสัตว์เริ่มมีระบบประสาทคือ เมื่อมีสิ่งเร้า เช่น แหย่เข็มแทงปลาหมึก มันจะตอบสนองสิ่งเร้านั้น เช่น ว่ายน้ำหลบหนีเข็มแทง เป็นต้น
ส่วนพยาธินั้น ขอให้ไปเปิดอนุกรมวิธานดูนะครับ ว่ามีระบบประสาทหรือไม่ (สูงหรือต่ำกว่า ไฮดร้า) เท่าที่จำได้คิดว่า ไม่มี แต่เนื่องจากเรียนมายี่สิบกว่าปี เลยไม่แม่นแล้วน่ะครับ ถ้าท่านใดเรียนชีววิทยาอยู่ ก็ลองไปเปิดตำราดูนะครับ
#15
โพสต์เมื่อ 17 April 2006 - 01:31 PM
เอแล้วสัตว์เหล่านั้น ไม่ว่าจะเป็นพยาธิ อะมีบ้า แบคทีเรีย ไวรัส มันมีชีวิตได้ยังไงหละครับถ้าไม่มีวิญญาณครองหนะครับ
มันเคลื่อนไหวกินอาหารขับถ่ายของเสียได้ยังงัยหละครับ มึนตึบเลยครับใครทราบช่วยขยายความหน่อยคร๊าบบ
ไม่สั่นคลอน ใสเหมือนน้ำที่ปราศจากตะกอน
#16
โพสต์เมื่อ 17 April 2006 - 04:47 PM
ชีวิตในทางวิทยาศาสตร์นั้น ถ้าแบ่งตามอนุกรมวิธาน ก็แบ่งได้จาก สัตว์เซลเดียว สัตว์ 2 เซล เช่น เชื้อโรคต่างๆ ทางวิทยาศาสตร์ถือว่ามันมีชีวิตน่ะครับ ต่อมาก็คือ สัตว์หลายเซล แต่ยังไม่มีระบบสืบพันธุ์ ต่อมาก็เป็นสัตว์ที่มีระบบสืบพันธุ์ พืชต่างๆ ด้วย ต่อมาก็เป็นสัตว์ที่เริ่มมีระบบประสาท สูงขึ้นมาก็เป็น สัตว์น้ำ สัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำ สัตว์เลื้อยคลาน สัตว์ปีก สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม นี่แบ่งแบบคร่าวๆ นะครับ ถ้าจะแบบละเอียด ต้องไปเรียน อนุกรมวิธานครับ
แต่ชีวิตในทางพระพุทธศาสนา จะแบ่งได้ 2 ประเภทคือ
1. ชึวิตที่ไม่มีวิญญาณครอง หรือ เรียกอีกอย่างว่า ธาตุเป็น ธาตุเป็นเหล่านี้ มีกิจกรรมของสิ่งมีชีวิตเบื้องต้นเกือบทุกอย่าง รวมถึงบางชนิดอาจมีระบบสืบพันธุ์ แต่ไม่มีระบบประสาทน่ะครับ เช่น ต้นไม้ ใช้เข็มแทง มันก็ไม่ขยับหนีเข็ม แต่มันก็มีชีวิต(ที่ไม่มีวิญญาณครอง) มีกิจกรรมต่างๆ ของชีวิต เช่น รับอาหาร ขับของเสียออก เจริญเติบโตได้ บางชนิดเคลื่อนไหวได้ เช่นต้นไมยราฟ แมลงมาเกาะก็หุบใบกินแมลง (แต่ไม่ใช่การเคลื่อนแบบมีความคิดนะครับ ถ้าเราเอามีดไปแหย่มัน มันก็หุบใบงับมีด แทนที่จะหนี) เชื้อโรคต่างๆ ไม่มีวิญญาณครอง สัตว์ที่ยังไม่มีระบบประสาท ก็ยังไม่มีวิญญาณครองครับ ดังนั้น ถ้าทำให้ตาย เช่น ตัดต้นไม้ ย่อมไม่บาปจากการฆ่า (แต่อาจบาปจากการทำลายทรัพย์สินผู้อื่นแทน)
2. ชีวิตที่มีวิญญาณครอง ได้แก่ สัตว์ที่เริ่มมีระบบประสาทขึ้นมา จนถึงมนุษย์นั่นแหละครับ ถ้าไปฆ่าสัตว์เหล่านี้ขึ้นมา ก็บาปทันทีครับ
#17
โพสต์เมื่อ 19 April 2006 - 04:43 PM
แต่ถ้าคิดในเชิงลบหละก็ เท่ากับการทำปาณาติบาติ ข้าสัตว์
แต่ว่า น่าจะลองทำวิธีกรวดน้ำ ไปให้พวกนั้น ในเบื้องต้นก่อนก็ได้มั้งค่ะ
ความรู้สึกส่วนตัวน่ะ เป็นเช่นนี้หล่ะค่ะ
ยิ้ม ใส ปิ๊ง จ๊า...
#18
โพสต์เมื่อ 25 April 2006 - 02:00 AM
เหมือนกับ เรื่องราวในอดีต ทำไมพระพุทธองค์ จึงไม่บอกให้พวกเราไปกินเจ ก็ในเมื่อ มีข้อดีตั้งหลายอย่าง 1.ทั้งไม่ฆ่าสัตว์ 2.ช่วยส่งเสริมการไม่ฆ่าสัตว์ 3.อื่นๆ
ข้อดีเยอะแยะ จนนึกต่อไปไม่หมด เลย
เห็นไหมว่า ถ้าเรายิ่งนึกมาก มันก็เรื่องมาก
คำถามนี้ผมก็ว่า เข้าข่ายนี้เหมือนกัน คือ คิดมากไปเอง
และสำหรับคำตอบ ว่า เป็นการฆ่าสัตว์หรือไม่??? คำตอบก็คือ เป็นการฆ่าแน่นอนอยู่แล้วครับ (ถ้าคุณจะคิดให้เรื่องมาก) ทำไมไม่ลองคิดต่อไปล่ะว่า ตั้งแต่คุณเกิดมา จนกะทั่งปัจจุบัน คุณเหยียบ มด หรือ แมลง หรือ สัตว์อื่นๆ มามากเท่าไรแล้ว
แล้วรู้ตัวหรือเปล่า ว่าตั้งแต่ปฐมชาติ จนถึง ชาติปัจุบัน ฆ่าสัตว์ไปมากเท่าไรแล้ว จะมัวแต่กลัววิบากกรรมอยู่หรือ???
ผมแค่อยากจะบอกว่า พระสงฆ์หรือพระอรหันต์ ท่านไม่มัวมากังวลถีงวิบากกรรมเล็กๆ น้อยๆ ให้ใจหมอง จนไม่ได้สั่งสมบุญเพื่อหนีออกจากวัฎสงสารหลอกครับ
#19
โพสต์เมื่อ 27 April 2006 - 12:48 PM
ถ้าคุณคิดว่ามันบาป
คุณฆ่าเขาแน่นอน
ถ้าคุณคิดว่าคุณฆ่า
#20
โพสต์เมื่อ 28 April 2006 - 05:33 PM
แต่ถ้าไม่คิดว่าบาปล่ะ เป็นบาปหรือไม่ คำตอบคือ ถ้าทำสิ่งที่เป็นบาป แม้ไม่รู้ก็บาปครับ เหมือนคนกินผลไม้มีพิษ แม้ไม่รู้ก็ได้รับพิษครับ
อ้าว บางท่านอาจจะถามอีกว่า แล้วถ้าคนคิดว่าตนกินผลไม้มีพิษเข้าไป แต่ความจริงผลไม้ไม่มีพิษล่ะ มันก็ไม่เป็นไรสิ คำตอบคือ เป็นครับ เพราะเราเมื่อคิดวิตกกังวลตลอดว่า ผลไม้มีพิษ ความเครียดจะเกิดขึ้นกับใจของเรา แล้วหลั่งสารพิษออกมาที่ร่างกายให้เป็นมะเร็งได้ง่ายนั่นเองครับ
#21
โพสต์เมื่อ 26 January 2007 - 01:59 PM