
ฆ่าคนโดยที่ไม่เจตนา
#1
โพสต์เมื่อ 16 May 2006 - 06:26 PM
ปรากฎว่าเพือนอีกคนเลยแกะมือออกเพราะถ้าไม่แกะตายทั้งคู่
เพื่อนอิกคนเลยจมน้ำตายครับ
เขาเสียใจมากครับไม่ทราบว่าจะบาปไหมมีวิบากกรรมอย่างไรครับ
ขอบคุณล่วงหน้าครับ
#2
โพสต์เมื่อ 16 May 2006 - 07:29 PM
เพื่อความเอาตัวรอด จึงต้องปล่อยมือ เพื่อนคนนั้นไป แต่คงไม่ได้คิดว่าเพื่อนอีกคนนั้นจะต้องเสียชีวิต ถือว่าไม่เจตนา ได้รึป่าวค่ะ ??? (คงต้องให้ผู้รู้ตอบให้แล้วล่ะค่ะ)
คงไม่มีวิบากรรม จะคล้ายกับอุบัติเหตุ ไม๊
ย่อมมีแสงอรุณขึ้นก่อน
เป็นบุพนิมิตฉันใด
ความเป็นกัลยาณมิตรก็เป็นตัวนำ
เป็นบุพนิมิตแห่งการเกิดขึ้น
ของหนทางพระนิพพาน ฉันนั้น"

#3
โพสต์เมื่อ 16 May 2006 - 08:39 PM
เกิดพายุฝนอย่างฉับพลัน น้ำท่วมบ้านพังหมดทั้งเมือง ทุกคนลอยคออยู่ในน้ำโดยไม่รู้ว่าจะมีชีวิตรอดได้อย่างไร ต่างคนต่างหาทางเอาตัวรอด
ครอบครัวหนึ่ง มีพ่อ แม่ (ชรา) ลูก(หนุ่ม) เจอขอนไม้ก็เกาะกันหมดทั้ง 3 คน ลอยคอไปอย่างไร้จุดหมายตามกระแสน้ำ โดยที่อีกไม่ไกล มีน้ำตกอยู่ข้างหน้า หากตกลงไป ก็ไม่ทราบเหมือนกันว่าจะมีชีวิตหรือไม่
ในทันใดนั้น ลูกชายก็ว่ายน้ำหนีทวนกระแสน้ำหนีไป หาทางเอาตัวรอดขึ้นฝั่งไปคนเดียว โดยไม่เหลียวหลังมาหาพ่อแม่อีกเลย
ใครๆ ที่เห็น ต่างก็บอกว่า เขาเป็นลูกอกตัญญู แต่แท้ที่จริงแล้ว ความคิดในใจของชายหนุ่มคนนั้น คือพยายามขึ้นไปบนฝั่งให้ได้เอาชีวิตตัวเองให้รอดก่อน แล้วค่อยหาวิธีช่วยชีวิตพ่อแม่ในภายหลัง
หากเป็นคุณ คุณจะยอมตายไปพร้อมกับพ่อแม่ หรือทำแบบชายคนนั้นคะ
ที่เล่ามานี่ ก็คือทั้งหมด มันอยู่ที่เจตนาค่ะ แบบชายหนุ่มคนนั้น หากพ่อแม่เขาตายไป ก็ถือว่าไม่บาป เพราะทำสิ่งที่ถูกต้องแล้ว ในการกลับขึ้นไปบนฝั่ง แล้วหาวิธีการ หรือหาคนมาช่วยพ่อแม่ แบบนี้ก็ถูกต้องค่ะ ไม่บาป เพราะยังมีโอกาสที่จะมีชีวิตรอดหมดทั้ง 3 ชีวิต
แต่ถ้าหากว่ามีความคิดที่จะเอาตัวรอดคนเดียว ทิ้งพ่อแม่ทั้งที่ตัวเองก็สามารถช่วยพวกเขาได้ หรือขึ้นฝั่งไปแล้ว ก็ไม่พยายามคิดหาทางอื่นทางใดช่วยเขายืนนิ่งดูดาย แบบนี้ก็เรียกว่าบาปเต็มๆ
แต่ถ้าหากขึ้นฝั่งได้แล้ว แต่หมดปัญญา หรือหนทางใดๆ ร้องตะโกนให้คนมาช่วย ก็ไม่มีใครเลย แบบนี้ก็ไม่บาปค่ะ เพราะทำอย่างสุดความสามารถแล้ว
อ้ายที่อยากมันก็หลอก อ้ายที่หยอกมันก็ลวง ทำให้จิตเป็นห่วงเป็นใย.."
พระมงคลเทพมุนี (สด จันทสโร)
#4
โพสต์เมื่อ 16 May 2006 - 08:48 PM
#5
โพสต์เมื่อ 17 May 2006 - 12:47 AM
และอนุโมทนากับน้องฟ้าร้างด้วยครับ ที่อธิบายและมีเนื้อเรื่องเปรียบเทียบให้ข้อคิดที่ดี เป็นอาจารย์หรือเปล่าครับ ช่างเปรียบช่างเทียบเช่นนี้ สาธุครับ
#6
โพสต์เมื่อ 17 May 2006 - 01:41 AM
และขอเพิ่มเติมเรื่องวิบากกรรมที่อาจเกิดขึ้นกับเพื่อนที่แกะมือเพื่อนที่เสียชีวิตออก
1. ถ้าเพื่อนรู้สึกรำคาญ และคิดว่า จะตายก็ตายไป ก็อาจมีผลให้เมื่อเพื่อนคนนี้เกิดอุบัติเหตุที่มีผลให้ถึงแก่ชีวิต ก็จะไม่มีคนช่วย เพราะรู้สึกรำคาญ
2. ถ้าเพื่อนแกะมือเขาออก แล้วรู้ว่า เขาว่ายน้ำไม่ไหว แล้วพยายามช่วย ก็อาจมีผลให้เมื่อเพื่อนคนนี้เกิดอุบัติเหตุที่มีผลให้ถึงแก่ชีวิต ก็จะมีคนช่วย แต่ช่วยไม่สำเร็จ
ทั้งนี้ทั้งนั้น ขึ้นกับแรงบุญ แรงบาปอื่นๆ ด้วย ว่ามีมากน้อยแค่ไหน
ซึ่งอาจจะมาช่วยตัดรอนวิบากกรรมนี้ได้ จึงควรเร่งสั่งสมบุญให้มากๆ
และอธิษฐานซ้ำๆ ให้พ้นจากวิบากกรรมนี้ค่ะ
รวมถึงทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้เพื่อนที่เสียชีวิตบ่อยๆ ค่ะ

#7
โพสต์เมื่อ 17 May 2006 - 09:34 AM
ทุกสิ่งทุกอย่างคือผลแห่งการกระทำของเราทั้งสิ้น
ทุกสิ่งทุกอย่างคือผลแห่งการกระทำของเราทั้งสิ้น
#8
โพสต์เมื่อ 17 May 2006 - 04:09 PM
ปรากฎว่าเพือนอีกคนเลยแกะมือออกเพราะถ้าไม่แกะตายทั้งคู่
เพื่อนอิกคนเลยจมน้ำตายครับ
เขาเสียใจมากครับไม่ทราบว่าจะบาปไหมมีวิบากกรรมอย่างไรครับ
ตอบ กรรมเกิดจากอวิชชาคือความไม่รู้โดยแท้ครับ ถ้ามีสติหน่อยเข้าทางด้านหลังของคนที่ว่ายน้ำไม่เป็น
เกี่ยวคอแล้วค่อยๆ ลากไปก็ยังพอจะช่วยเขาได้บ้างครับ
แต่กรณีนี้ผมคงไม่ชื่นชมเพื่อนที่ทิ้งเพื่อนแบบนี้หรอกครับ "เพื่อนคนหนึ่งว่ายไม่ไหวเเล้ว" แปลว่า เพื่อนที่จมน้ำตายคนนี้ก็ว่ายน้ำเป็น ถ้าคุณมีน้ำใจซักหน่อยให้เขาเกาะลอยตัวมือเขาก็มีว่ายน้ำไม่ไหวก็ค่อยๆ ลอยตัวไปเรื่อยๆ สิครับ
การที่เขาทำการ "แกะมือออกเพราะถ้าไม่แกะตายทั้งคู่" ถือเป็นความเลวของจิตที่แย่มากครับ
เจตนาแกะมือเขาออกก็เท่ากับเจตนาปล่อยให้เพื่อนตายแบบเห็นๆ อุปมาเหมือนนักดำน้ำที่ขาดออกซิเจนมาขออากาศคุณ
ถ้าคุณใจดำไม่แบ่งอากาศให้เพื่อน เพื่อนก็ต้องขาดอากาศหายใจตายแน่นอน ถ้าคู่หูเพื่อนเป็นแบบนี้ผมไม่คบคนแบบนี้เป็นมิตรแน่ครับ
มงคลข้อที่ 1 ไม่คบคนพาล
ถ้าเพื่อนว่ายน้ำไม่เป็นก็ว่าไปอย่าง นี่เพื่อนว่ายน้ำเป็นขอเกาะแค่ประคองกันจมคุณยังช่วยเพื่อนไม่ได้
ถือว่าเขาเป็นคนที่แล้งน้ำใจ ที่บัณฑิตไม่พึงคบหาเป็นมิตร เป็นมิตรปอกลอก มิตรเทียม
มิตรเมื่อยามมีภัยก็ทอดทิ้งมิตร แบบนี้ชื่อว่ามิตรเทียมครับ ถ้ามีมิตรเทียมสู้ไม่มีมิตรเลยยังจะดีซะกว่าครับ
มิตรเทียมกินข้าวเสียข้าวสุก กินกับก็เปลืองกับ กินเหล้าก็เปลืองเหล้า (ผิดศีลข้อ 5 ไม่กินดีที่สุด) คบกับหมายังดีซะกว่า
#9
โพสต์เมื่อ 17 May 2006 - 05:50 PM
ตอนแรก คุณตอบว่า เป็นการสร้างกรรมจากความไม่รู้ ไม่มีสติ ถ้ามีสติอาจแก้ปัญหาได้ ตรงนี้ผมว่า ก็จริง ตอบแนวนี้ไม่มีปัญหาครับ
แต่พอตอบๆ ไป ในประโยคต่อๆ ไป กลับบอกว่า "ถือเป็นความเลวของจิตใจที่แย่มาก" ประเด็นจะต่างออกไป จากความไม่รู้ กลายเป็นความเลว
ผมว่า ลองไปทบทวนคำตอบดูใหม่นะครับ
เรื่องนี้คล้ายๆ Case Study ของน้องสาวผมเอง ในเคสชื่อ ใช้ชื่อคนอื่นจนตาย ออกเมื่อวันที่ 4 พค. 2549
ตอนนั้น น้องสาวกับเพื่อน ยังเด็กทั้งคู่ แต่ก็เล่นซน แล้วก็แอบไปเล่นน้ำ ปรากฏว่า เพื่อนเป็นตะคริว แล้วก็เกาะตัวน้องสาวไว้ น้องสาวด้วยสัญชาติญาณเด็ก (ไม่ใช่จิตใจเลว แต่เป็นเพราะความไม่รู้ ถ้ารู้และเก่ง อาจช่วยตัวเองและเพื่อนได้) ก็สละแต่ไม่ออก น้องสาวจึงนึกในใจว่า "ตายเป็นตาย ช่างมัน" กลับปรากฏว่า เพื่อนปล่อยมือออกเอง แล้วเพื่อนก็จมน้ำตาย ส่วนน้องสาวก็ตะเกียกตะกายรอดมาได้
คุณครูฝันว่า น้องสาวชาติอดีต ชอบทดลองหัดลูกหมาว่ายน้ำ พอมันจมน้ำก็ช่วยมันไว้ทัน น้องสาวจึงรอดตาย ส่วนเพื่อนน้องสาวที่ตาย ก็เป็นกรรมของเขา ต่างคนต่างมีวิบากกรรมกันไปน่ะครับ
#10
โพสต์เมื่อ 17 May 2006 - 06:49 PM
ตอนนั้น น้องสาวกับเพื่อน ยังเด็กทั้งคู่ แต่ก็เล่นซน แล้วก็แอบไปเล่นน้ำ ปรากฏว่า เพื่อนเป็นตะคริว แล้วก็เกาะตัวน้องสาวไว้ น้องสาวด้วยสัญชาติญาณเด็ก (ไม่ใช่จิตใจเลว แต่เป็นเพราะความไม่รู้ ถ้ารู้และเก่ง อาจช่วยตัวเองและเพื่อนได้) ก็สละแต่ไม่ออก น้องสาวจึงนึกในใจว่า "ตายเป็นตาย ช่างมัน" กลับปรากฏว่า เพื่อนปล่อยมือออกเอง แล้วเพื่อนก็จมน้ำตาย ส่วนน้องสาวก็ตะเกียกตะกายรอดมาได้
เพื่อนก็ยังเป็น ด.ช. อยู่เลยครับ
#11
โพสต์เมื่อ 17 May 2006 - 07:57 PM
จากที่เคยทราบมานะค่ะ โดยปกติคนที่ว่ายน้ำเป็น ไม่ใช่ว่าทุกคนที่ว่ายน้ำเป็นจะสามารถช่วยคนที่จะจม หรือจมน้ำได้ทุกคนค่ะ ทักษะการช่วยคนจมน้ำต้องเรียนรู้และฝึกมาอย่างดีค่ะ จึงจะช่วยได้ค่ะ เพราะส่วนใหญ่พอจะจมน้ำคนที่กำลังจะจมมักจะไม่มีสติ ทำอะไรไม่ถูกคว้าอะไรได้ ก็เกาะและดึงเพื่อเอาตัวรอด แม้ขนาดคนที่มีทักษะดีแล้ว ถ้าไม่ตั้งสติและช่วยเหลืออย่างถูกต้องตนเองก็จะเดือดร้อน จมน้ำไปด้วยก็เคยมีกรณีบ่อยๆค่ะ ที่คนไปช่วยกลับจมน้ำลงไปเสียเอง และคนไม่มีสติขณะนั้นคิดว่าการเกาะลอยตัวคงทำไม่ได้ง่ายๆแน่ค่ะ อาจกดอีกคนให้จมไปด้วยได้ค่ะ
ยิ่งกรณีที่น้องเป็นเด็กด้วยแล้ว การพาเพื่อนอีกคนที่กำลังจะจม และตะเกียกตะกายเอาตัวรอดไม่ใช่เรื่องง่ายเลยค่ะ อาจจมน้ำไปทั้งคู่ได้เลยค่ะ ส่วนตัวเองว่ายน้ำเป็น แต่ก็ไม่เคยรู้วิธีที่จะจับตัวคนที่กำลังจะจมเลยค่ะ
คิดว่าอยู่ที่เจตนามากกว่านะค่ะ ถ้าคิดว่าอยากช่วยและพยายามแล้ว ถ้าช่วยต่อตัวเองตายแน่ละก็ ไม่น่าจะมีกรรมมากนะค่ะ เพราะวิบากกรรมก็เป็นของแต่ละคน ถึงช่วยเต็มที่ถ้ากรรมหนัก มาถึงฝั่งก็อาจตายได้ค่ะ
บางทีน้องอาจคิดว่าไม่ได้ช่วยเค้าเต็มที่หรือเปล่า เพราะถ้าเราไม่มีวิบากกรรมหนักมาถึงต้องเสียชีวิตครั้งนั้ แล้วคิดว่าเราให้เพื่อนเกาะแล้วก็จมไปกับเค้า ถ้าไม่มีกรรมถึงที่ตาย ก็คงไม่ตายเองนั่นแหละ ตรงนี้ขอยกคำพูดคณครูไม่ใหญ่ที่เคยสอนไว้นะค่ะ แต่อาจจะไม่คำต่อคำเท่าไหร่ สรุปว่า ถึงแม้ทุกอย่างจะขึ้นอยู่กับกรรมที่เราเคยทำมาในอดีตส่งผล แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าให้เราประมาทไม่ป้องกันตัวเอง เดินเข้าไปหาปัญหานะค่ะ เหมือนคิดว่าเราเดินเข้าไปหาเสือให้เสือกิน ถ้าไม่มีวิบากมากับมัน มันก็ไม่ทำอะไรเราหรอก คุณครูไม่ใหญ่บอกว่าอย่าเสี่ยงนะค่ะ
พี่ก็ฝากบอกน้องที่รอดมาได้ อย่าไปคิดมากนะค่ะ
" อดีตที่ผิดพลาดลืมให้หมดค่ะ
บาปอกุศลทุกชนิด อย่าได้คิดทำอีกเด็ดขาด
หมั่นสั่งสมบุญทุกชนิด และรีบปฏิบัติธรรมให้เข้าถึงองค์พระในตัวนะค่ะ"
อย่าลืม
"เมื่อจิตเศร้าหมอง ไม่ผ่องใส ทุกขติ เป็นที่ไปนะจ้ะ"
แผ่เมตตาให้เพื่อนและส่งบุญไปให้เค้าเยอะๆ และทำเพื่อตัวเองด้วยจ้ะ
#12
โพสต์เมื่อ 17 May 2006 - 09:27 PM
ตอนแรก คุณตอบว่า เป็นการสร้างกรรมจากความไม่รู้ ไม่มีสติ ถ้ามีสติอาจแก้ปัญหาได้ ตรงนี้ผมว่า ก็จริง ตอบแนวนี้ไม่มีปัญหาครับ แต่พอตอบๆ ไป ในประโยคต่อๆ ไป กลับบอกว่า "ถือเป็นความเลวของจิตใจที่แย่มาก" ประเด็นจะต่างออกไป จากความไม่รู้ กลายเป็นความเลว ผมว่า ลองไปทบทวนคำตอบดูใหม่นะครับ
ตอบ ไม่สับสนหรอกครับคุณหัดฝัน เพียงแต่ผมแยกประเด็นออกตะหากครับ คำตอบแรกคือคำตอบรวมที่แก้ไขอะไรไม่ได้แล้วเพราะผู้ที่ก่อกรรมนี้ได้ทำกรรมนั้นไปแล้ว และผมก็ตอบตามเหตุการณ์ในแต่ละช่วงครับ
จากประโยคนี้คำว่าอวิชชา คือ เขาทำไปโดยไม่รู้นั้น หมายความว่าเขาไม่รู้วิธีการแก้ปัญหาที่ถูกต้อง ขาดสติ
ซึ่งก็เป็นได้ทั้งคนดีมีน้ำใจ รักเพื่อน หรือคนไม่มีน้ำใจ ทอดทิ้งเพื่อนก็ได้ เป็นประโยคกลางๆ
จากประโยคนี้ผมบอกชัดว่าเป็นอารมณ์จิตที่เลวเพราะอย่าลืมนะครับว่า ผู้ที่ก่อกรรมนี้ยังมีกิเลสยังมีความเห็นแก่ตัวอยู่
ขาดเมตตาจิตอย่างเห็นได้ชัด คนที่ไม่มีเมตตาจิต และเป็นคนที่ขาดสติแบบนี้ย่อมมีโมหะครอบงำทำให้อวิชชาเข้าสิงจิต ไม่สามารถคิดออกได้ว่าอะไรควรทำอะไรไม่ควรทำ ขาด หิริ-โอตัปปะ อย่างเห็นได้ชัดเจนผมไม่สรรเสริญคนแบบนี้ตามท่านอื่นๆ ด้วยหรอกครับ ผมบูชาธรรม ผมไม่บูชาคนที่ไม่มีธรรม ผมเกรงใจธรรมแต่ผมไม่เกรงใจอธรรมครับ
ถ้าสมมุติว่าคนที่เกาะคุณเป็นพ่อคุณหละคุณจะปล่อยมือท่านให้จมน้ำตายไหมถ้าพ่อคุณก็ว่ายน้ำเป็น แล้วมาเกาะคุณบอกว่า
ลูกรักเอ้ยพ่อตะคิวกินขาว่ายน้ำไม่ไหว ลูกรักคนนี้จะแกะมือพ่อปล่อยให้พ่อจมน้ำตายได้หรือไม่??
ถ้าแกะมือพ่อปล่อยให้ท่านตายได้ เทวธรรมก็ไม่เหลือแล้วครับ ไม่รู้ว่ามนุษยธรรมจะทนอยู่ไหวหรือป่าวนะครับ ???
#13
โพสต์เมื่อ 18 May 2006 - 02:52 AM
ในกรณี ชั่ววูบเสี้ยววินาที ความเห็นแก่ตัวของคนมันแว้บรักษาชีวิตตัวเองได้น่ะครับ
จะว่าไปแล้วเรื่องนี้เกิดกับเด็ก การตัดสินใจของเขาในเหตุการณ์เช่นนี้ไม่ว่าจะพลาดหรือไม่อย่างไร ในเมื่อเขาแสดงความเสียใจและรู้สึกผิดแล้ว อย่าไปซ้ำเติมเขาเลยจ้ะ
#14
โพสต์เมื่อ 18 May 2006 - 08:03 AM
การที่คุณบอกว่า
"ผมไม่สรรเสริญคนแบบนี้ตามท่านอื่นๆ ด้วยหรอกครับ ผมบูชาธรรม ผมไม่บูชาคนที่ไม่มีธรรม ผมเกรงใจธรรมแต่ผมไม่เกรงใจอธรรมครับ"
นั้นก็ถูกต้องครับ แต่สิ่งที่คุณ Post มันคือการตำหนิน่ะครับ ไม่ใช่ การไม่สรรเสริญ
ไม่สรรเสริญ นี่ไม่ได้หมายความว่า ต้องตำหนินะครับ
ยกตัวอย่างการ Post แบบนี้ ก็ไม่ได้สรรเสริญครับ แต่ก็ไม่ได้ตำหนิเช่นกัน
"การที่น้องคนนั้นแกะมือเพื่อนออก ก็ย่อมมีวิบากกรรม ทำให้ต่อไปเขาจะต้องโดนคล้ายๆ อย่างนี้บ้างในอนาคต"
ตอบอย่างนี้ ก็หมายความว่า ไม่ได้สรรเสริญการกระทำนี้เช่นกันใช่มั้ยครับ หรือคุณว่าไม่ใช่
อีกอย่างขอชื่นชม คุณธรรมในใจของคุณมากว่า "ถ้าเกิดเหตุการณ์คล้ายๆ อย่างนี้ คุณตั้งใจจะช่วยให้ถึงที่สุด ใจที่กรุณาเช่นนี้ เขาเรียกว่า ใจพระโพธิสัตว์เลยเช่นนะครับ ก็ขอให้รักษาความตั้งใจนี้ไว้ตลอดนะครับ สาธุด้วย"
และขอให้เพิ่มข้อมูลไปนิดนึงว่า "การช่วยผู้อื่นนั้น ไม่ได้ต้องการการช่วยด้วยกายเสมอไปครับ การช่วยด้วยวาจา ก็เป็นสิ่งสำคัญ การด่าว่า ไม่ได้ช่วยให้คนเป็นคนมีคุณธรรมขึ้นมาหรอกครับ ดีไม่ดีผู้ที่ถูกด่าว่าอาจจะมีคุณธรรมแย่ลงอีกด้วย ดังนั้น ทำอย่างไรล่ะ จึงจะช่วยให้คนอื่นมีคุณธรรมเพิ่มขึ้น ด้วยการใช้วาจาสุภาษิต นี่แหละครับ สิ่งสำคัญอีกอย่าง ที่ผู้มีใจพระโพธิสัตว์ควรเรียนรู้ไว้
#15
โพสต์เมื่อ 18 May 2006 - 02:15 PM
ผมไม่จำเป็นต้องตอบถูกใจใครหรือถูกใจคุณหัดฝัน ขอให้เข้าใจข้อนี้ด้วยครับ
ถ้าจิตเราไม่เลวก็อย่าเดือดร้อนสิครับ ถ้าจิตใครดีผมก็ว่าดี จิตใครไม่ดีผมก็ว่าไม่ดี
ไม่เห็นต้องอ้อมค้อมเลย ถ้าใครทำผิดพลาดไปก็จงยอมรับอารมณ์ของใจตนในขณะนั้นว่า
"เออจริงตอนนั้นจิตเรามันเลว คราวหลังก็อย่าทำอีกสิครับ"
ถ้าฟังคำตักเตือนไม่ได้มองข้ามบาปอกุศลแม้เพียงน้อยนิด ถ้าชาตินี้ดูเบาว่าจิตเราไม่เลวหลงทำกรรมชั่ว
แล้วยังคิดว่าตนเองดีอยู่ก็แสดงว่าเรานี้เลวจัดครับ เลวจัดที่มองไม่เห็นความเลวของจิตตนเอง
เลวจัดที่คิดว่าเรานี้จะสามารถทำบุญไถ่บาปกรรมที่ตนเองทำได้
การที่จิตจะเข็ดหลาบได้นั้นคุณผู้เป็นเจ้าของเหตุการณ์จะต้องตักเตือนตนเองให้หนักอย่ารอให้ใครเขามาว่ากล่าวเลย
ด่าตนเองให้เป็น แล้วสำนึกด้วยตนเองดีกว่าครับ ตั้งใจซะว่าต่อไปนี้เราจะไม่คบหากับอารมณ์ใจเลวๆ แบบที่เราเคยทำ
ในอดีตมาอีก เพราะอารมณ์ใจเลวๆ แบบนี้มันจะฉุดให้เราไปอบายทุคติได้โดยง่าย
วันนี้อาจจะมีคนค่อยเตือนคุณ แบบเพื่อนผู้หวังดี อาจจะฟังดูหนักไปบ้าง แต่ขอให้รู้ไว้ว่าเพื่อนไม่ต้องการให้เพื่อนเป็นคนเลว
จึงเตือนให้ ถ้าวันใดเพื่อนทนฟังคำตักเตือนไม่ได้ และไม่รู้จักเตือนตนเองให้เป็นแล้วไซร้ จะขึ้นเขาลงห้วยก็ตามใจเถอะครับ...
เอวังก็มีด้วยประการฉะนี้
#16
โพสต์เมื่อ 18 May 2006 - 02:34 PM
พระพุทธเจ้าแนะนำเรื่องนี้อย่างไร ทรงแนะนำง่ายมากครับว่า
คำใดเป็นคำไม่จริง ตถาคต ไม่พูดคำนั้น
คำใดเป็นคำจริง แต่ไม่ไพเราะ ตถาคต ไม่พูดคำนั้น
คำใดเป็นคำจริงด้วย ไพเราะด้วย แต่ไม่มีประโยชน์ ตถาคต ไม่พูดคำนั้น
คำใดเป็นคำจริงด้วย ไพเราะด้วย มีประโยชน์ด้วย แต่ไม่มีเจตนาดี ตถาคต ไม่พูดคำนั้น
คำใดเป็นคำจริงด้วย ไพเราะด้วย มีประโยชน์ด้วย เจตนาดีด้วย ตถาคต ก็ยังไม่พูดคำพูด จนกว่าจะเมื่อถึงจังหวะเวลาที่เหมาะสม ตถาคตรู้กาล(เทศะ) ที่จะพูดคำนั้น
เช่น เพื่อนทำผิด ไปเตือนเพื่อนว่า เลว ต่อหน้า สาธารณะแล้วจะได้ผลหรือไม่ ทำนองนี้น่ะครับ
ลองศึกษาดูนะครับ ผมก็หวังดีต่อคุณเช่นเดียวกัน อยากให้คุณและผมก้าวหน้าไปในเส้นทางที่พระพุทธองค์ทรงสอน และเดินไปก่อนหน้านั้นน่ะครับ
#17
โพสต์เมื่อ 18 May 2006 - 03:49 PM
คุณหัดฝันสับสนอะไรหรือป่าวครับ ผมถือคติว่า "อัตตนาโจทยัตตานัง จงกล่าวโทษโจทความผิดของตนเองไว้เสมอ ถ้าจิตเราเลวเราก็ต้องว่าเลว" ผมไม่เคยมองว่าตนเองเป็นคนดีเลยซักครั้งเดียว เพราะถ้าผมดีจริงอรหัตมรรค อรหัตผล ก็คงเหมือนกล้วยสุกเข้าปากไปแล้วครับ ส่วนการปฏิบัติตามคำสอนนั้นเราผู้เป็นสาวกก็ควรเจียมตนว่าคือสาวก อย่าคิดเอาตนไปเทียบกับจริยาของพระพุทธเจ้าเลยครับ จริยาของพระองค์นั้นไม่ใช่จริยาของสาวก บารมีเทียบกันไม่ได้ และพุทธวจนะที่คุณหัดฝันยกมานี้เนื่องจากคุณยกมาว่าเป็นพุทธวจนะดังนั้นรบกวนช่วยชี้แจงที่มาในพระไตรปิฏกด้วยครับ ถ้าจะยกพุทธวจนะก็ไม่ควรกล่าวลอยๆ ครับอ้างอิงที่มาซักนิดผมจะนิยมมากครับ
ตกลงคุณหัดฝันจะให้ผมชมว่า "เธอทำดีแล้ว ไม่ผิดหรอกไม่บาปหรอก ตั้งใจทำดีแบบนี้ต่อไปนะ อดีตที่ผิดพลาดลืมให้หมด"
ใช่ไหมครับ
ลองพิจารณามหาพิจารณาในพุทธวจนะของพระพุทธองค์เอาเองนะครับ
ว่าพระองค์ทรงติเตียน ทรงว่ากล่าว ทรงตำหนิภิกษุว่าเลว ว่าชั่ว ในโทษที่เกิดขึ้นจริงหรือไม่???
*******************************************************************
ดูกรเทวทัตต์ ข่าวว่า เธอตะเกียกตะกาย เพื่อทำลายสงฆ์ เพื่อทำลายข้อห้ามในพุทธจักร จริงหรือ?
พระเทวทัตต์ทูลรับว่า จริง พระพุทธเจ้าข้า
พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าทรงติเตียนว่า ดูกรโมฆบุรุษ การกระทำของเธอนั่น ไม่เหมาะไม่สม ไม่ควร ไม่ใช่กิจของสมณะ
ใช้ไม่ได้ ไม่ควรทำ ดูกรโมฆบุรุษ ไฉน เธอจึงได้ตะเกียกตะกาย เพื่อทำลายสงฆ์ เพื่อทำลายข้อห้ามในพุทธจักรเล่า
.............
พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดูกรเทวทัต แม้แต่สารีบุตรและโมคคัลลานะเรายังไม่มอบภิกษุสงฆ์ให้ ไฉนจะพึงมอบให้เธอผู้ เช่นทรากศพ ผู้บริโภคปัจจัยเช่นก้อนเขฬะเล่า
ทีนั้น พระเทวทัตคิดว่า พระผู้มีพระภาคทรงรุกรานเรากลางบริษัทพร้อมด้วยพระราชา ด้วยวาทะว่าบริโภคปัจจัยดุจก้อนเขฬะ ทรงยกย่องแต่พระสารีบุตรและพระโมคคัลลานะ ดังนี้ จึงโกรธ น้อยใจ ถวายบังคมพระผู้มีพระภาค ทำประทักษิณแล้วกลับไปนี่แหละ พระเทวทัตได้ผูกอาฆาตในพระผู้มีพระภาค เป็นครั้งแรก ฯ
ที่มา : http://84000.org/tip...7&A=3818&Z=3863
ที่มา: http://84000.org/tip...A=3399&w=เทวทัต
******************************************************************
ดูกรอุทายี ข่าวว่า เธอกล่าวคุณแห่งการบำเรอตนด้วยกามในสำนักมาตุคามจริงหรือ?
ท่านพระอุทายีทูลรับว่า จริง พระพุทธเจ้าข้า
พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าทรงติเตียนว่า ดูกรโมฆบุรุษ การกระทำของเธอนั่น ไม่เหมาะไม่สม ไม่ควร ไม่ใช่กิจของสมณะ ใช้ไม่ได้ ไม่ควรทำ ไฉนเธอจึงได้กล่าวคุณแห่งการบำเรอตนด้วยกาม ในสำนักมาตุคามเล่า
ดูกรโมฆบุรุษ ธรรมอันเราแสดงแล้วโดยอเนกปริยาย เพื่อคลายความกำหนัด ไม่ใช่เพื่อมีความกำหนัด เพื่อความพราก ไม่ใช่เพื่อความประกอบ เพื่อความไม่ถือมั่น ไม่ใช่เพื่อมีความถือมั่น มิใช่หรือ เมื่อธรรมชื่อนั้น อันเราแสดงแล้ว เพื่อคลายความกำหนัด เธอยังจักคิดเพื่อมีความกำหนัด เราแสดงเพื่อความพราก เธอยังจักคิดเพื่อความประกอบ เราแสดงเพื่อความไม่ถือมั่น เธอยังจักคิดเพื่อมีความถือมั่น
ที่มา : http://84000.org/tip...&A=14241&w=เขฬะ
******************************************************************
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุผู้เลวทรามบางรูปในธรรมวินัยนี้ ก็ฉันนั้นเหมือนกันแล ย่อมปรารถนาอย่างนี้ว่า เมื่อไรหนอ เราจึงจักเป็นผู้อันภิกษุร้อยหนึ่ง หรือพันหนึ่งแวดล้อมแล้วเที่ยวจาริกไปในคามนิคมและราชธานี อันคฤหัสถ์และบรรชิต สักการะ เคารพ นับถือ บูชายำเกรง ได้จีวร บิณฑบาต เสนาสนะ และคิลานปัจจัย เภสัชบริขาร สมัยต่อมา เธอเป็นผู้อันภิกษุร้อยหนึ่ง หรือพันหนึ่งแวดล้อมแล้ว เที่ยวจาริกไปในคามนิคมและราชธานี อันคฤหัสถ์และบรรพชิตสักการะ เคารพ นับถือ บูชา ยำเกรงแล้ว ได้จีวร บิณฑบาต เสนาสนะและคิลานปัจจัยเภสัชบริขารทั้งหลาย ดูกรภิกษุทั้งหลาย นี้เป็นมหาโจรจำพวกที่ ๑ มีปรากฏอยู่ในโลก
๒. ดูกรภิกษุทั้งหลาย อีกข้อหนึ่ง ภิกษุผู้เลวทรามบางรูปในธรรมวินัยนี้ เล่าเรียนธรรมวินัยอันตถาคตประกาศแล้ว ย่อมยกตนขึ้น ดูกรภิกษุทั้งหลาย นี้เป็นมหาโจรจำพวกที่ ๒มีปรากฏอยู่ในโลก
๓. ดูกรภิกษุทั้งหลาย อีกข้อหนึ่ง ภิกษุผู้เลวทรามบางรูปในธรรมวินัยนี้ ย่อมตามกำจัดเพื่อนพรหมจารี ผู้หมดจด ผู้ประพฤติพรหมจรรย์อันบริสุทธิ์อยู่ด้วยธรรมอันเป็นข้าศึกแก่พรหมจรรย์อันหามูลมิได้ ดูกรภิกษุทั้งหลาย นี้เป็นมหาโจรจำพวกที่ ๓ มีปรากฏอยู่ในโลก
๔. ดูกรภิกษุทั้งหลาย อีกข้อหนึ่ง ภิกษุผู้เลวทรามบางรูปในธรรมวินัยนี้ ย่อมสงเคราะห์เกลี้ยกล่อมคฤหัสถ์ทั้งหลาย ด้วยครุภัณฑ์ ครุบริขาร ของสงฆ์ คือ อาราม พื้นที่อารามวิหาร พื้นที่วิหาร เตียง ตั่ง ฟูก หมอน หม้อโลหะ อ่างโลหะ กะถางโลหะ กะทะโลหะมีด ขวาน ผึ่ง จอบ สว่าน เถาวัลย์ ไม้ไผ่ หญ้ามุงกะต่าย หญ้าปล้อง หญ้าสามัญ ดินเหนียวเครื่องไม้ เครื่องดิน ดูกรภิกษุทั้งหลาย นี้เป็นมหาโจรจำพวกที่ ๔ มีปรากฏอยู่ในโลก
๕. ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุผู้กล่าวอวดอุตตริมนุสสธรรม อันไม่มีอยู่ อันไม่เป็นจริงนี้จัดเป็นยอดมหาโจร ในโลกพร้อมทั้งเทวโลก มารโลก พรหมโลก ในหมู่สัตว์พร้อมทั้งสมณะพราหมณ์ เทวดา และมนุษย์ ข้อนั้น เพราะเหตุไร เพราะภิกษุนั้น ฉันก้อนข้าวของชาวแว่นแคว้น ด้วยอาการแห่งคนขโมย.
ที่มา : http://84000.org/tip...=1&A=8613&w=เลว
******************************************************************
การประกอบตนให้พัวพันด้วยกามสุขในกามทั้งหลาย เป็นธรรมอันเลว เป็นของชาวบ้าน
เป็นของปุถุชน ไม่ใช่ของพระอริยะ ไม่ประกอบด้วยประโยชน์ ๑
ที่มา : http://84000.org/tip...B=4&A=359&w=เลว
******************************************************************
****พระผู้มีพระภาครับสั่งให้ประชุมภิกษุสงฆ์ ****
ในเพราะเหตุเป็นเค้ามูลนั้น ในเพราะเหตุแรกเกิดนั้น แล้วทรงสอบถามภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย
ข่าวว่า ภิกษุพวกอัสสชิและปุนัพพสุกะ เป็นเจ้าถิ่นในชนบทกิฏาคีรี เป็นภิกษุอลัชชี เลวทราม พวกเธอประพฤติอนาจารเห็นปานดังนี้ คือ ปลูกต้นไม้ดอกเองบ้าง ใช้ผู้อื่นปลูกบ้าง ... ประพฤติอนาจารมีอย่างต่างๆ บ้าง เมื่อก่อนชาวบ้านยังมีศรัทธาเลื่อมใส แต่เดี๋ยวนี้เขาไม่ศรัทธาไม่เลื่อมใสแล้ว แม้ทานประจำของสงฆ์ก่อนๆ บัดนี้ทายกทายิกาได้ตัดขาดแล้ว ภิกษุมีศีลเป็นที่รักย่อมหลีกเลี่ยงไป ภิกษุเลวทรามอยู่ครอง ดังนี้ จริงหรือ
ภิกษุทั้งหลายทูลรับว่า จริง พระพุทธเจ้าข้า
พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าทรงติเตียนว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย การกระทำของโมฆบุรุษเหล่านั้นนั่น ไม่เหมาะ ไม่สม ไม่ควร ไม่ใช่กิจของสมณะ ใช้ไม่ได้ไม่ควรทำ ดูกรภิกษุทั้งหลาย ไฉน ภิกษุโมฆบุรุษเหล่านั้นจึงได้ประพฤติอนาจารเห็นปานดังนี้ คือ ได้ปลูกต้นไม้ดอกเองบ้าง ได้ใช้ให้ผู้อื่นปลูกบ้าง ได้รดน้ำเองบ้าง ได้ใช้ให้ผู้อื่นรดบ้าง ได้เก็บดอกไม้เองบ้าง
ที่มา : http://84000.org/tip...=6&A=845&Z=1042
******************************************************************
พระผู้มีพระภาคทรงทราบเรื่องนั้นแล้ว ทรงเปล่งอุทานในเวลานั้น ว่าดังนี้:-
[๓๘๘] ความดี คนดีทำง่าย ความดี คนชั่วทำยาก ความชั่ว
คนชั่วทำง่าย แต่อารยชน ทำความชั่วได้ยาก ฯ
ที่มา : http://84000.org/tip...7&A=3818&Z=3863
******************************************************************
นี่เพียงแค่ยกเป็นตัวอย่างให้คุณหัดฝันได้ลองพิจารณาดูเอาเองนะครับ
ถ้าอยากจะทราบว่าพระพุทธองค์ทรงตรัสคำว่า "เลว" ไว้เยอะแค่ไหนก็ให้ลองเข้าไปในเวพที่ผมเข้าไปมานี่แหละครับแล้ว Search ดูเอาเองเลยครับ
ถ้าสงสัยสิ่งที่ผมตอบก็ขอให้อ่านทวนกระทู้ของผมบ่อยๆ แล้วจับให้ได้ว่าผมมีเจตนาต่อเจ้าของเหตุการณ์นี้ยังงัย มีเมตตาแฝงอยู่หรือไม่? ลองพิจารณาดูนะครับ
#18
โพสต์เมื่อ 18 May 2006 - 04:17 PM
แต่ความจริงเมื่อคุณอธิบายออกมาเช่นนี้ว่า คุณไม่ได้คิดเช่นนั้นเลย
ก็ขอโทษครับ เป็นเพราะผมจับประเด็นผิดไปเอง ในประเด็นนี้นะครับ
ส่วนเรื่องวาจาสุภาษิต พระพุทธองค์ตรัสอย่างไรก็เป็นอย่างนั้นน่ะครับ
พระเทวทัตท่านนั้น ท่านประพฤติกรรมชั่วจริงๆ หลายต่อหลายครั้ง คิดขนาดฆ่าพระพุทธเจ้า และเป็นใหญ่ครอบครองสงฆ์ การพูดของพระพุทธเจ้า ที่มีต่อพระเทวทัต ก็เป็นแบบหนึ่ง ดังที่คุณได้ Post มา
พระอุทายี ก็เป็นพระที่เกียจคร้าน และคอยหาช่องทางทำผิดตลอด ไม่ตั้งใจปฏิบัติธรรม และทำให้พระพุทธเจ้าต้องบัญญัตพระวินัยหลายๆ อย่าง คล้ายคนทำผิดที่เตือนครั้งเดียวก็ไม่รู้สำนึก ต้องเตือนหลายต่อหลายครั้ง การพูดของพระพุทธเจ้าที่มีต่อพระอุทายีก็เป็นอีกแบบหนึ่งใช่มั้ยครับ
แต่องคุลีมาล ฆ่าคนด้วยความไม่รู้ว่าเป็นความผิด ตั้ง 999 คน พอพระพุทธเจ้าพบเจอองคุลีมาล ท่านก็พูดอีกแบบหนึ่งใช่มั้ยครับ พระพุทธเจ้าไม่ได้พูดเลยว่า อคุลีมาล ท่านเลวมากฆ่าคนตายตั้งเกือบพันคน มีแต่บอกว่า ตถาคต หยุดแล้ว แต่ท่านยังไม่หยุด ลองไปศึกษาดูสิครับ
ดังนั้น การที่ใครสักคนจะผลักมือใครออก ตอนจมน้ำไปด้วยกัน แน่นอน ไม่ได้บอกว่า การกระทำเช่นนี้ดีแล้ว และก็แน่นอน ไม่ได้ว่าเขาเหมือนกับขนาดพระเทวทัต หรือ พระอุทายี เพราะเขายังไม่ได้เจตนาฆ่าเลย เทียบแล้วยังเบากว่า องคุลีมาล (ตอนยังไม่บวชพระ) อีกนะครับ
#19
โพสต์เมื่อ 18 May 2006 - 05:26 PM
เพื่อความเอาตัวรอด จึงต้องปล่อยมือ เพื่อนคนนั้นไป แต่คงไม่ได้คิดว่าเพื่อนอีกคนนั้นจะต้องเสียชีวิต ถือว่าไม่เจตนา คงต้องแผ่เมตตาบ่อยๆ
#20
โพสต์เมื่อ 18 May 2006 - 09:24 PM
ใช่ไหมครับ
ลองพิจารณามหาพิจารณาในพุทธวจนะของพระพุทธองค์เอาเองนะครับ
ว่าพระองค์ทรงติเตียน ทรงว่ากล่าว ทรงตำหนิภิกษุว่าเลว ว่าชั่ว ในโทษที่เกิดขึ้นจริงหรือไม่???
ขออนุญาติยกคำสอนคุณยายมาหน่อยนะค่ะ
"พูดดีๆ อย่าไปด่า ไปว่าเขา" จากหนังสือเมื่อต้องดูแลตัวเอง บทที่ 21
คุณยายสอนให้พูดกับน้องๆที่มาช่วยงานวัดว่า
"พวกเราต้องรู้จักพูด พูดกับเขาดีๆ อย่าไปด่า อย่าไปว่าเขา ค่อยๆพูด ค่อยๆตักเตือน เขาจะฟังเรา จะเคารพและเกรงใจเรา จะมาช่วยเราตลอดไป แต่ถ้าเราพูดกับเขาไม่ดี ไปด่าไปว่าเขา เขาก็จะกลัว และไม่กล้ามาช่วยงานอีก งานเราก็เสีย เขาก็ไม่ได้บุญ
เพราะฉะนั้น เราต้องพูดกับเขาดีๆ ไม่ด่าไม่ว่าเขา ค่อยๆตักเตือน เขาจะฟังเรา แล้วเขาจะคิดได้ งานเราก็สำเร็จ เขาก็ได้บุญ
ค่อยพูดกันดีๆนะค่ะ อย่าใจขุ่นนะค่ะ อนุโมทนาบุญกับความปรารถณาดีของทุกคนที่เข้ามาโพสต์กระทู้ด้วยนะค่ะ.....สาธุ
#21
โพสต์เมื่อ 18 May 2006 - 11:07 PM
"พูดดีๆ อย่าไปด่า ไปว่าเขา"
เอาไว้คุณเป็นคนจมน้ำตายเองแล้วลองถามใจตัวเองว่าเพื่อนแบบนี้เราควรเรียกว่าเพื่อนแบบไหนดี?
เพื่อนแบบนี้ถ้าเป็นตัวคุณเองเจอกับตัวคุณอยากจะคบไหมหละ?
คนที่จะรู้ตัวว่าตนเองทำถูกหรือผิดนั้นคือกายละเอียดของเจ้าของเหตุการณ์นี้ตะหากครับ
ถึงคนอื่นจะบอกว่าการกระทำของคุณไม่ผิด แต่หลอกใจตัวเองไม่ได้หรอกครับใจคุณเองรู้อยู่แก่ใจดี
และผมขออธิบายให้คุณจังกึมได้ทราบไว้ด้วยว่า ประโยคว่ากล่าวตักเตือนของผมเป็นเพียงประโยคสั้นๆ ที่ถูกมองว่าเป็นคำด่า
ผมหละแปลกใจจริงๆ ถ้าใครเขาเป็นคนดีแล้วผมไปด่าว่าเขาเลวอันนี้สิเรียกว่า "คำด่า" แต่ถ้าใครเขาประพฤติไม่ดี(เลว)แล้วผมกล่าวว่า
พูดจริงคำจริง แต่แปลกจริงๆ ที่รับฟังกันไม่ได้ ขำมากครับ ผมพูดมุสาหรือก็ป่าวด่าว่าให้เจ้าของเรื่องเสียหาย (ไม่ได้กล่าวว่าคนดีเป็นคนเลวเลย ถ้าพฤติกรรมดีจริงผมจะกล่าวแบบนี้ไหมหละครับ) พูดความจริงหยาบคายตรงไหนมิทราบ แปลกจริงๆ
ถามหน่อยเถอะถ้าใครมีลูกมีหลาน แล้วเผลอไปทำตัวเลวเช่น กินเหล้า สูบบุหรี่ เที่ยวกลางคืน ติดยา แล้วคุณไม่กล้าว่ากล่าวตักเตือน เพียงประโยคว่า
พวกคุณก็เดือดร้อนกันแล้ว แบบนี้จะให้โอ๋ลูก โอ๋หลานว่า ลูกจ้ะไม่เป็นรัยจ่ะอย่าไปเที่ยว อย่ากินเหล้า อย่าสูบบุหรี่ อย่าติดยาอีกนะจ้ะคุณลูกขา คุณหลานขาที่เคารพคุณแม่ขอร้องหรืองัยครับ
*************************************************
มีผู้ตักเตือนให้เห็นโทษ กลับถูกมองว่าเป็นคนเพ่งโทษ
มีผู้ว่ากล่าวไม่ให้หลงกระทำกรรมชั่ว อันจะมีอบายเป็นที่รองรับ กลับถูกมองว่าผู้ตักเตือนเป็นผู้พูดๆ ด่าว่า
ผู้ตักเตือนให้เห็นโทษความเลวของจิตอันผู้ใดกระทำแล้วจะมีอบายเป็นผลรองรับ กลับถูกมองว่า ด่าว่าผู้อื่น
ถ้าเป็นเช่นนี้ ....
ผมเป็นคนตรงผิดก็ต้องว่าตามผิด ถูกก็ต้องว่าตามถูก เอาใจใครไม่เป็น
ถ้าผมพูดแล้วเพื่อนๆ ในเวพนี้มีปัญหากันมาก ก็ขอให้พุทธภาษิตนี้ตักเตือนกันเองก็แล้วกันครับ
[๓๘๘] ความดี คนดีทำง่าย ความดี คนชั่วทำยาก ความชั่ว
คนชั่วทำง่าย แต่อารยชน ทำความชั่วได้ยาก ฯ
#22
โพสต์เมื่อ 18 May 2006 - 11:33 PM
ปรากฎว่าเพือนอีกคนเลยแกะมือออกเพราะถ้าไม่แกะตายทั้งคู่
เพื่อนอิกคนเลยจมน้ำตายครับ
เขาเสียใจมากครับไม่ทราบว่าจะบาปไหมมีวิบากกรรมอย่างไรครับ
ขอบคุณล่วงหน้าครับ
กรรมเวรไม่เข้าใครออกใครจ๊ะ เดี๋ยวนี้กรรมติดเทอโบไวจะตาย บอกเพื่อนหมั่นทำบุญกุศล หรือไม่ก็บวชให้เพื่อน เพื่อไถ่บาปที่ทำไว้ นะจ๊ะ เหตุการณ์นี้ผู้ที่แกะมือออกถือว่ามีเจตนาและตั้งใจเลยค่ะเพราะกลัวตัวเองตายเลยต้องทำแบบนี้ จงใจและเจตนาแกะเลยจ๊ะ


#23
โพสต์เมื่อ 19 May 2006 - 09:10 AM
นี่เองก็เลยเสนอมาให้คุณพิจารณา แต่ถ้าคุณเห็นว่า คุณยังบำเพ็ญบารมีอื่นอยู่ คุณสมบัตินี้ยังไม่จำเป็น รอไว้ก่อน เอาไว้พร้อมเมื่อไหร่ ค่อยมาศึกษาคุณสมบัตินี้ของพระพุทธเจ้า ก็ไม่เป็นไรครับ
#24
โพสต์เมื่อ 20 May 2006 - 05:09 PM
เพื่อนแบบนี้ถ้าเป็นตัวคุณเองเจอกับตัวคุณอยากจะคบไหมหละ?
และผมขออธิบายให้คุณจังกึมได้ทราบไว้ด้วยว่า ประโยคว่ากล่าวตักเตือนของผมเป็นเพียงประโยคสั้นๆ ที่ถูกมองว่าเป็นคำด่า
ก่อนอื่นต้องขออภัยคุณ XLMEN ด้วยนะค่ะที่อาจทำให้เข้าใจผิด และไม่ทราบว่าทำให้คุณ XLMEN อาจจะไม่พอใจค่ะ (จากที่อ่านกระทู้ จะรู้สึกอย่างนั้น แต่ถ้าไม่เป็นตามนั้นก็ขออภัยอีกทีนะค่ะ)
คือที่ยกคำสอนคุณยายมา ไม่ได้หมายความว่า ที่คุณ XLMEN กล่าวมานี้เป็น คำด่า นะค่ะ เพราะคำด่า ความหมายคือคำหยาบคายไม่สุภาพด้วย แต่การที่ใช้คำว่า สภาวะจิตที่เลว ก็ไม่ได้หยาบคายอะไร แต่ที่ยกคำสอนยายมาเนี่ยก็เพราะว่า เห็นการตอบกระทู้ค่อนข้างจะรุนแรง ก็ไม่ทราบตัวเองคิดไปเองหรือไม่ ไม่อยากให้คุณ xlmen ใจขุ่นนะค่ะ เพราะจากที่อ่านการตอบกระทู้อื่นๆ ก็ชื่นชมกับคำตอบของคุณมาตลอด
แต่ที่จะขออนุญาติแนะนิดนึง นิดเดียวนะค่ะ อย่าถือว่าเป็นการมาสอน หรือการมาตำหนิกันเลยนะค่ะ ถือเป็นการแสดงความคิดเห็นจะดีกว่า ถ้าไม่เห็นด้วยก็ไม่เป็นไรค่ะ ยิ้มให้กันไว้หน่อยนะค่ะ คือส่วนตัวเองคิดว่าถึงแม้ความเห็นแต่ละคนว่า เด็กที่ปล่อยมือจะผิดหรือไม่ผิดก็ตาม ก็เป็นสิทธิของแต่ละคนที่จะแสดงความเห็น ไม่มีผิดหรือถูกหรอกค่ะ แต่วิธีการแสดงความคิดเราสามารถทำให้ดูไม่รุนแรงได้นี่ค่ะ ในความหมายที่ออกมารูปแบบเดียวกัน การที่ยกคำสอนยายมา อย่างที่บอกแค่เปรียบเทียบ ไม่ได้ว่าคุณ xlmen ด่า นะค่ะ แต่พอดี ตนเองไม่สามารถหาคำสอนอื่นที่พอจะใกล้เคียงได้มากกว่านี้ ก็เท่านั้นเองค่ะ ต้องขออภัยจริงๆ ที่ทำให้เข้าใจผิดนะค่ะ โหสิ โหสิ นะค่ะ และอีกอย่างน้องที่เข้ามาโพสต์ก็ยังเด็ก ดูจากที่เล่าคงเป็นเด็กชายอยู่ บางที่คนที่ปล่อยมือเด็กอีกคน ก็อาจจะเข้ามาอ่านด้วย บางครั้งน้องเค้าอาจจะไม่เข้าใจ สิ่งที่คุณ xlmen หมายความ หรือหลงประเด็นไปได้น่ะค่ะ ถ้าเค้าอ่านแล้วได้คิด คิดได้ ก็เป็นบุญของเรา แต่ถ้าเราเป็นส่วนทำให้เค้าใจขุ่น หรือเสียใจมากจนตัดสินใจอะไรผิดขึ้นมา มันก็คงไม่มีใครอยากให้เป็นแบบนั้นนะค่ะ
ยกตัวอย่างตัวเอง ตอนเป็นเด็ก คนอื่นๆหลายคนก็คงเป็นแบบเดียวกันบ้างนะค่ะ เวลาเราทำผิด และรู้ตัวว่าทำผิด เอาง่ายๆแค่เราขี่มอเตอร์ไซด์ซิ่งไปหน่อยตอนเด็กๆ ไปชนกับกระบะ เราเองก็เจ็บตัวได้แผลมาอยู่แล้ว ดีที่กระบะเค้าไม่เอาเรื่อง กลับมาบ้าน กลับถูกดุอีกชุดใหญ่ว่า เตือนแล้วอย่างโน้น อย่างนี้ ไม่ระวัง เป็นต้น เราก็รู้เต็มอกว่าผิด แต่แหม ตอนนั้นก็เจ็บทั้งตัว ใจเสีย แล้วก็เสียใจอยู่แล้ว ขอคำปลอบซักหน่อยให้รู้ว่าห่วงหน่อยนึงค่อยดุก็ได้นี่นา
ตามประสามนุษย์ ที่ยังมีกิเลสอยู่นะค่ะ ถึงแม้รู้ว่าผิด ก็ไม่อยากถูกตำหนิหรอกค่ะ แต่ไม่ใช่ว่าจะไปชมหรือเยินยอว่าทำถูกนะค่ะ ไม่ใช่เลย แต่เราลูบหลัง แล้วค่อยตบหัว ก็ได้ เปรียบเฉยๆนะค่ะ อันนี้คือเอาตัวเองเป็นตัวอย่างว่า ถ้าเราเป็นคนผิดเนี่ย จะรู้สึกยังไง อยากได้แบบได้ ตักเตือนแบบไหนแล้วอยากจะรับฟังอยากจะทำตามหน่ะค่ะ
ที่จริงเราผิดก็เสียใจมากพอแล้วหล่ะค่ะ เวลาเราท้อแท้ สิ่งที่เราต้องการมากที่สุด คือ กำลังใจนะค่ะ ถึงแม้จะนิดหน่อย ก็ยังดี ไม่ได้หมายความว่าให้ไปโกหก แต่การไปสอนหรือชี้มูลผิด บางทีเราก็ต้องรอเวลาซักระยะ เราไม่จำเป็นต้องบอก ณ เวลานั้นก็ได้ไม่ใช่เหรอค่ะ เพราะไหนๆ เรื่องก็เกิดมาแล้ว แก้ไขเรื่องที่เกิดไม่ได้ แต่เราสามารถป้องกัน และเปลี่ยนแปลงตัวเองในอนาคตได้ ไม่ใช่เหรอค่ะ เราก็ค่อยๆตักเตือน ยกตัวอย่างสิ่งที่ไม่ถูกให้เค้าได้คิด ให้เค้าไม่รู้สึกว่ากำลังเป็นคนที่ไม่ดีเอามากๆๆ อะไรแบบเนี้ยหน่ะค่ะ ใจมันจะฝ่อ (ตัวเองเคยเป็นมาแล้วหลายที เรื่องหนักๆก็มีเยอะ บางทีถึงขั้นคิดทำอะไรไม่ดีเลยก็มี เพราะรู้สึกว่ามีแต่คนมาตำหนิ แต่พอดีคิดถึงหลวงพ่อ เอาไว้ เลยยังรอดมาได้ นะค่ะ)
ก็อยากฝากความคิดเห็นส่วนตัวไว้เท่านั้นเองค่ะ หวังว่าคงไม่ได้ทำให้คุณ xlmen ขัดเคืองใจนะค่ะ ถ้ามีบ้างก็ขออภัยไว้อีกทีนะค่ะ
มองหน้าหนูจังกึมด้านซ้ายบน ยิ้มหวานอย่างนี้ มีดอกไม้มาให้ด้วย คุณ xlmen คงยิ้มได้ ไม่ว่ากันนะค่ะ.....สาธุ
#25
โพสต์เมื่อ 21 May 2006 - 11:56 AM
............................................................................................
คุณ XLMEN กล่าวว่า
พูดจริงคำจริง แต่แปลกจริงๆ ที่รับฟังกันไม่ได้ ขำมากครับ ผมพูดมุสาหรือก็ป่าวด่าว่าให้เจ้าของเรื่องเสียหาย (ไม่ได้กล่าวว่าคนดีเป็นคนเลวเลย ถ้าพฤติกรรมดีจริงผมจะกล่าวแบบนี้ไหมหละครับ) พูดความจริงหยาบคายตรงไหนมิทราบ แปลกจริงๆ
ถามหน่อยเถอะถ้าใครมีลูกมีหลาน แล้วเผลอไปทำตัวเลวเช่น กินเหล้า สูบบุหรี่ เที่ยวกลางคืน ติดยา แล้วคุณไม่กล้าว่ากล่าวตักเตือน เพียงประโยคว่า
QUOTEถือเป็นความเลวของจิตที่แย่มาก
พวกคุณก็เดือดร้อนกันแล้ว แบบนี้จะให้โอ๋ลูก โอ๋หลานว่า ลูกจ้ะไม่เป็นรัยจ่ะอย่าไปเที่ยว อย่ากินเหล้า อย่าสูบบุหรี่ อย่าติดยาอีกนะจ้ะคุณลูกขา คุณหลานขาที่เคารพคุณแม่ขอร้องหรืองัยครับ
*************************************************
มีผู้ตักเตือนให้เห็นโทษ กลับถูกมองว่าเป็นคนเพ่งโทษ
มีผู้ว่ากล่าวไม่ให้หลงกระทำกรรมชั่ว อันจะมีอบายเป็นที่รองรับ กลับถูกมองว่าผู้ตักเตือนเป็นผู้พูดๆ ด่าว่า
ผู้ตักเตือนให้เห็นโทษความเลวของจิตอันผู้ใดกระทำแล้วจะมีอบายเป็นผลรองรับ กลับถูกมองว่า ด่าว่าผู้อื่น
ถ้าเป็นเช่นนี้ ....
ถ้าคุณ XLMEN ยังเอาใจใครไม่เป็นก็ต้องหัดเอาใจเขามาใส่ใจเราบ้างครับ หมู่คณะเราจะได้มีพลังครับ ทำให้เขาดีกันได้รักกันสามัคคีกัน เราก้ได้บุญครับ ใจเย็นๆนะครับ
.......................................................................................................
บางอย่างการไปชี้มูล ถูก หรือ ผิด ในสภาวะแวดล้อมที่แตกต่างกัน ก็อันตรายครับ บางอย่างที่มันมีผลต่อรูปคดี ศาลท่านยังสั่งไม่ให้พูดเลยครับ
.......................................................................
.........................................................................
ไม่ทราบว่าคุณ XLMEN มีครอบครัวมีลูกหรือยังครับ ถ้ามีแล้ว หรือมีหลานที่ต้องอบรมสั่งสอนอย่าไปดุเขามากนะครับ เด็กสมัยนี้ไม่เหมือนสมัยก่อน โลกเราเป็นพลวัตร DYNAMIC มันเปลี่ยนไปตลอดแนวทางการอบรมสั่งสอนบางอย่างที่ใช้ได้ผลดีเมื่อสิบปี ยี่สิบปี ที่แล้วตอนนี้ใช้ไม่ได้แล้วครับ การลงโทษเด็กแบบใช้ไม่เรียวหวด เขกกระบาล แบบเดิมๆสมัยนี้ใช้ไม่ได้แล้วครับ อันตรายต่อตนเองและคนรอบข้างและจะถูกประนามกับสังคม การใช้ถ้อยคำแรงๆในการแนะนำ หรืออบรมสั่งสอน บุตรธิดา สมัยนี้ใช้ไม่ได้ครับ
ที่แน่ๆคือใช้ได้ดีในตอนนี้คือ
STEP 1.ให้ของเขาชอบที่ไม่เป็นโทษกับเขาก่อนเลยครับ และปนด้วยคำชมกำลังใจนิดนึงครับ และการให้นั้นให้ใช้น้ำใจ ใช้ เหตุและผล สั่งสอนเขาแบบอารมณเย็นๆสบายๆ ผู้สอนมีเมตตาที่จะสอน และให้สังเกตุผู้รับยินดีที่จะรับการสอน ไม่ใช่ไปสอนเขาตอนร้องไห้ อันนี้เขาไม่รับหรอกครับ เพราะเขามัวแต่ร้องไห้ หรือโกรธ โมหะเพียบ เขาไม่ฟัง เราต้องหยุดก่อน ในเวปนี้เหมือนกัน ถ้าจะเกิดสภาวะขัดแย้งทางความคิดกันขึ้นมา เราก็ต้องช่วยกันประคับประคอง อย่าให้มีโทสะ เพราะ โมหะจะตามมา ไม่ดีกับหมูคณะเราอย่างมากครับ (แพ้มาร)
.................................................................................................
STEP 2.ครั้นเมื่อเราสังเกตเห็นเขาจำได้ ฟังเข้าใจ ในสิ่งที่สอนทั้งหมดแล้ว และสามารถนำไปปฏิบัติเป็นรูปธรรมได้ ผู้สอน คือพ่อ แม่ พี่ ป้า น้า อาก็ควรกล่าวชมเชย เป็นระยะ ๆ ตามความคืบหน้า ยิ่งถ้าสามารถทำได้ผลสำเร็จก็ต้องยกย่องให้ปรากฏ ให้ได้ครับ และ พยายามทำตัวเป็นมิตรสหาย เป็นเพื่อนที่ซึมซับความรู้สึกเขาให้ได้ แม้ว่าจะขัดความรู้สึกเราก็ตามครับ อย่าไปดุด่านำเขาไปก่อน คราวหลังเวลาเขามีเรื่องร้ายแรงอะไรมาเขาไม่บอกเรา ขอคำปรึกษาเราแน่ๆ เขาจะไปขอคำปรึกษาคนอื่น อันตรายอย่างยิ่งครับ
.............................................
STEP 3 เมื่อผ่าน 2 STEP มาแล้วเขายังไม่ดีขึ้น อาจจะเป็นเพราะวิบากกรรมเก่าเขา หรือ ปัจจัยทางสิ่งแวดล้อมทางสังคมมาบีบคั้นเขา หรือเกิดจากการอบรมสั่งสอนของ พ่อแม่ พี่ น้อง คุณ ป้า น้า อา ในทางที่ผิด คือแบบเดิมๆ เคยดุ ด่า มากๆ อันนี้ก็ต้องรื้อผังใหม่ แต่ถ้าค้นแล้วเป็นที่ตัวเขาเอง เราก็ต้องลงโทษแบบ อารยะชน เช่นอาจจะตัดเงิน หลังจากกล่าวตักเตือน หรือ งดไปเที่ยว งดซื้อของที่เขาชอบ อย่าไปใส่อารมณ์ว่ากล่าวที่แรงๆเด็ดขาด (เหมือนกับในเวปบอร์ด ถ้ามีคนมาตอบกระทู้แล้วไม่ถูกใจเรา เราก็ต้องวางใจนิ่งๆ นุ่มๆจับสิ่งที่ดีๆ แล้วตอบไปแบบเย็นๆกันนะครับ)
.............................................
STEP 4 ถ้าทำทั้ง 3 สเตปแล้ว ไม่ดีขึ้นก็ใช้วิธี ไม่พูดคุยด้วยแล้วล่ะครับ แต่ต้องคอยสังเกตุดูถ้าเขาจะตกเหวก็ใช้วิธี ต๋งเชือกไว้ครับ อย่าให้เขาตก สุดท้ายคือ อธิฐานจิต ให้เขามีดวงปัญญาสว่างไสว อย่าให้เขามี โมหะจริต คือความโง่เขาเบาปัญญาในการดำเนินชีวิตด้วยเทอญ..และปฎิบัติกับเขาแบบวิธีการลงพรหมทันต์ น่ะครับ
........
ในฐานะที่ข้าพเจ้าเรียนมาทางวิทยาศาสตร์ วิศวกรรมศาสตร์ กระทู้ต่างๆ ที่ข้าพเจ้าแสดงความเห็นใน DMC.tv นี้
ถึงจะเป็นตะเกียงดวงน้อยด้อยแสง แต่ไฟแรงจุดติดดวงอื่นได้
ไม่เสียดายให้แสงสว่างกับผู้ใด ชักนำใจให้สว่างเพียงแต่ธรรม
#26
โพสต์เมื่อ 21 May 2006 - 02:20 PM
แต่ถ้าตัวเราเองเป็นคนไม่ซื่อ เป็นคนไม่น่าคบ เราก็ไม่ควรคบกับอารมณ์จิตเลวๆ ที่มีในใจของเราครับ ถ้าใครมีปัญญาอ่านข้อความที่ผมพยายามสื่อได้เข้าใจเขาจะทราบเองว่าเจตนาของผู้พูดไม่ใช่ด่า มีเมตตาแฝงอยู่ สำคัญคืออย่าเพ่งโทษหรือใส่ร้ายผู้ที่ปรารถนาดีด้วยกัน อย่าขัดกันเอง เพราะกรรมจะถูกบันทึกไว้ในดวงมนุษยธรรมของเพื่อนท่านนั้นแล้วครับ
และทุกๆ ความคิดเห็นที่ขัดกันเองก็คือ "ความขัดแย้ง"เหมือนนักเรียนทำผิดครูฝ่ายปกครองกำลังจะลงไม้เรียว ครูฝ่ายธุรการมาเห็นสั่งห้ามตีเด็กนะ ครูฝ่ายปกครองกล่าวว่าผมแค่ตีลงโทษเบาๆ ให้เขารู้โทษของความผิด ครูธุรการก็ออกมาต่อว่าครูฝ่ายปกครองต่อหน้าเด็ก ถ้าเป็นแบบนี้แล้วคุณคิดว่าเด็กที่ทำผิดเขาจะคิดกันยังงัยหละครับ
>>>> เจ็บด้วยไม้เรียว เจ็บด้วยคำว่ากล่าวตักเตือน ยังไม่เจ็บเท่าทุกข์ในอบายทุคติ <<<<
คำแนะนำคุณหัดฝันผมขอขอบคุณเป็นอย่างยิ่ง ถ้าคุณหัดฝันอ่านจริยาของพระพุทธองค์ที่ทรงตอบภิกษุที่ปลูกต้นไม้ หรือใช้ให้คนอื่นปลูกต้นไม้แล้วพระพุทธองค์ทรงกล่าวว่าเป็น "ภิกษุอลัชชี เลวทราม พวกเธอประพฤติอนาจารเห็นปานดังนี้ คือ ปลูกต้นไม้ดอกเองบ้าง ใช้ผู้อื่นปลูกบ้าง" คุณจะเข้าใจว่าพระพุทธองค์ไม่ทรงปราณีต่อบาปอกุศลเลย กิจใดเพื่อยังให้บาปอกุศลกำเริบพระองค์จะไม่ทรงอลุ่มอล่วยเพื่อให้อกุศลจิตได้ใจเด็ดขาดครับ ส่วนเรื่องจริยาของพระพุทธองค์ ถ้าคุณหัดฝันมีความเข้าใจแตกต่างจากผมแค่ไหนนั้นขอให้วัดกันที่บารมีดีกว่าครับ อย่ามาตัดสินกันที่ความคิดเห็นเลยครับ พูดไปก็ไม่มีวันจบหรอกครับ ผมยินดีรับฟังแต่จะปฏิบัติได้แค่ไหนก็แล้วบุญบารมีครับ
ตอบคุณเถลิงเกียรติ เป็นคำแนะนำที่ดีมากครับ แต่คงไม่ใช่สำหรับคนหัวโบราณอย่างผมนะครับ ยอมรับครับว่าผมไม่สามารถปฏิบัติแบบนิ่มนวลดังคำแนะนำได้ครับ ดังนั้นถ้าใครปรารถนาจะเกิดเป็นลูกผม หลานผม ศิษย์ผมเขาเหล่านั้นก็จงเข้าใจไว้ด้วยว่า ถ้าใครทำดีผมจะชื่นชม ถ้าใครทำเลวผมจะลงโทษ อย่างเบาคือว่ากล่าวตักเตือน ถ้าเตือนกันไม่ได้ ก็อย่างที่ผมบอกแหละครับ จะขึ้นเขาลงห้วย ลงนรกที่ไหนก็เชิญเถอะจ่ะแล้วแต่ลูกหลานจะชอบนะจ้ะ การใช้วิธีทางพระคือการลงพรหมทัณฑ์ คือการคว่ำบาตรไม่สนใจวางใจเป็นอุเบกขาไปเลยก็ย่อมทำได้เหมาะกับบุคคลผู้เก้อยาก เหมาะกับบุคคลที่แม้จะตักเตือนว่ากล่าวก็ไม่สำนึก ไม่ละอายต่อบาป พระพุทธองค์ก็ให้ทิ้งเสียถือเป็นดอกบัวเหล่าที่ 4 ให้เต่า ปลากินไปตามเวรตามกรรมครับ
ไม่สั่นคลอน ใสเหมือนน้ำที่ปราศจากตะกอน
#27
โพสต์เมื่อ 21 May 2006 - 02:27 PM
นี่แหละครับ แนวคิดของนักปราชญ์การแสดงความเห็น การแสดงออก จะมีสติ คอยกำกับ โดยจะมีความปราถนาดี เป็นกล้อง คอยบันทึกสิ่งดีงามออกมาเป็นสารบบให้แก่อนุชนรุ่นหลังได้เอาเป็นเยี่ยงอย่างในการ มีปฎิสัมพันธ์ของความคิดที่แตกต่างกันด้วยดีครับ...
......................
ปล.ในความเห็นผมแล้วท่าน XLMEN มีคุณสมบัติที่จะไปอยู่ฝ่ายปราบครับ ขออนุโมทนาบุญด้วยครับ..
ในฐานะที่ข้าพเจ้าเรียนมาทางวิทยาศาสตร์ วิศวกรรมศาสตร์ กระทู้ต่างๆ ที่ข้าพเจ้าแสดงความเห็นใน DMC.tv นี้
ถึงจะเป็นตะเกียงดวงน้อยด้อยแสง แต่ไฟแรงจุดติดดวงอื่นได้
ไม่เสียดายให้แสงสว่างกับผู้ใด ชักนำใจให้สว่างเพียงแต่ธรรม
#28
โพสต์เมื่อ 21 May 2006 - 03:15 PM
.....................................
การสอนตนเมื่อเกิดปฏิฆะ เพื่อระงับความโกรธ
1.ระลึกถึงโทษของการโกรธ โกรธแล้วเราเป็นอย่างไร
2.ระลึกถึงความดีของเขา อย่างน้อยเขาก็เคยทำดีกับเรา
3.ความโกรธคือทำทุกข์ให้ตัวเอง เราโกรธก็ไม่ได้ทำให้เขามาทุกข์กับเรา
4.พิจารณากัมมัสสกตา ถ้าโกรธแล้วเราจะไม่บรรลุตามสิ่งที่ตนเองปราถนา เช่น พระสัมมาสัมโพธิญาณ
ปัจเจกโพธิญาณ สาวกโพธิญาณ เป็นต้น
5.พิจารณาถึงพระบุพจริยา พระศาสดาเราแลพระอรหัตสาวกของพระองค์ในกาลก่อน มิทรงโกรธแค้นผู้ใด
6.พิจารณาถึงความเกี่ยวข้องในสังสารวัฏ คนที่เราโกรธอาจจะเคยเป็นญาติมิตรพ่อแม่พี่น้องของเราก็ได้ในชาติก่อน
7.พิจารณาอานิสงส์เมตตา อานิสงส์มีอะไรบ้าง ถ้าเจริญแล้วจะมีอานิสงส์กับผู้เจริญอย่างไร
8.วิธีแยกธาตุ เราโกรธส่วนใดของเขา ผมหรือ ขนหรือ จมูกหรือ แขนหรือ ขาเขาหรือ ตาเขาหรือ ฯลฯ
9.ทำทานสังควิภาค หากยังมิหายโกรธเราต้องให้ทานการให้จะทำให้เราระงับความอาฆาตได้เป็นแน่แท้
การให้ ปราบคนที่ใครๆ ปราบไม่ได้ (ก็ได้) การให้ยังสิ่งประสงค์ทั้งปวงให้สำเร็จ(ก็ได้)
ด้วยการให้กับการเจรจาไพเราะ (ประกอบกันทำให้)คนทั้งหลายเงยก็มีก้มก็มี เพราะว่าฝ่ายให้
ย่อมเป็นผู้เงย ส่วนฝ่ายก้ม คือ ผู้รับ
...........................
ในฐานะที่ข้าพเจ้าเรียนมาทางวิทยาศาสตร์ วิศวกรรมศาสตร์ กระทู้ต่างๆ ที่ข้าพเจ้าแสดงความเห็นใน DMC.tv นี้
ถึงจะเป็นตะเกียงดวงน้อยด้อยแสง แต่ไฟแรงจุดติดดวงอื่นได้
ไม่เสียดายให้แสงสว่างกับผู้ใด ชักนำใจให้สว่างเพียงแต่ธรรม
#29
โพสต์เมื่อ 04 March 2007 - 04:11 PM