ทรมานจริง ๆ
#1
โพสต์เมื่อ 22 May 2006 - 10:37 AM
สงสารเพราะเห็นความทรมานที่คนไข้ได้รับ เซลล์มะเร็งกินปอดบางครั้งก็เจ็บปวดจนมือไม้เกร็ง และร่างกาย
ก็เหี่ยวย่นเหี่ยวแห้งผิวหนังเป็นสีดำ เพราะ เซลล์มะเร็งได้แพร่ขยายตัว ไปตามเส้นเลือดและเนื้อเยื่อต่าง ๆ
กัดกินทั้ง เป็น ๆ คนไข้จะเจ็บปวดเป็นพัก ๆ เหมือนถูกตัวอะไรกินอวัยวะภายทั้งเป็น คนไข้พยามไม่ร้องแต่
ตัวก็เกร็งไปหมดด้วยความเจ็บปวด ระยะนี้ไม่มีทางรักษาต้องเอามาไว้บ้าน เอาถังอ็อกซิเย่นใส่จมูกช่วย
หายใจเพราะปอดกำลังถูกกิน และต้องรอความตายสถานเดียว ลูกหลานก็ไม่กล้าให้ตายกลัวบาปประคองไว้
สุดกำลัง ฝ่ายคนไข้ไม่ตายสักทีก็เจ็บปวดเป็นระยะ ๆ บางทีก็หยุด บางทีก็ปวด
มีคำถามช่วยกันตอบเป็นธรรมทานครับ (พึ่งรู้ว่าเป้นมะเร็งก็ระยะนี้แล้วเพราะเข้าใจผิดว่าเป็นโรคอื่น )
- คนป่วยมะเร็งอย่างนี้ใครเป็นหมอหรือพอมีประสบการณ์ช่วยบอกหน่อยว่าควรจะบอกคนไข้หรือไม่ว่า
เป็นอะไร และต้องตายแน่ ๆ เพราะ ผลมันจะออกมาสองทางคือ คนไข้หมดกำลังใจอยู่และตายเร็วขึ้น(อาจจะช็อคในทันที)
อีกทางคือเตรียมตัวเตรียมใจได้จะได้ไปดี
- ผมลองอ่านในนี้เรื่องการรักษาโรคจากพระไตรปิฏก ซึ่งมีการกินน้ำมูถเน่า(ปัสสาวะตัวเอง) ก็น่าจะลองดูเหมือนกันเพราะ
การรักษาด้วยวิธีสมัยใหม่ตันแล้ว ท่านคิดว่าควรลองดูหรือไม่ เพราะมีผลวิจัยนี่น่าลองหลาย ๆ อย่าง
- ส่วนการบอกให้คิดถึงบุญคนไข้ทำไม่ค่อยได้เพราะพูดไม่ค่อยรู้เรื่องเนื่องจากความจำเลอะเลือน ก็ต้องพยายามหน่อย
เช่นบอกให้ระลึกถึงบุญก็พอได้ แต่ให้ทำบุญเพิ่มไม่เอา ยากเพราะศรัทธายังไม่มั่นคง มีวิธีทำอย่างไรให้ได้บุญมากที่สุด
#2
โพสต์เมื่อ 22 May 2006 - 11:53 AM
เป็นอะไร และต้องตายแน่ ๆ
ตามความคิดนะคะ บอกก็ตาย ไม่บอกก็ต้องตายอยู่ดี ดิฉันขอเลือกใช้วาจาอันทำให้สร้างกำลังใจให้กับคนไข้ ไม่ต้องบอกหรอกค่ะว่าเขาต้องตายแน่ๆ แต่ให้บอกว่า เนี่ย คุณเป็นมะเร็งอยู่นะ ตอนนี้หมอก็หาทางรักษาอยู่ แต่มีวิธีรักษาให้หายได้วิธีเดียว คือการทำสมาธิ ทำจิตให้นิ่ง สงบ แล้วก็นำเทป ซีดี พระเดชพระคุณหลวงพ่อ ไปเปิดให้เขาได้ฟัง แบบผ่อนคลาย ทุกวันๆ อย่าไปยัดเยียด จิตเขาจะน้อมดิ่ง ไปสู่กุศลจิตเอง ถึงจะไม่เข้าใจ แต่ก็พอช่วยได้ค่ะ หาพระรัตนตรัยไปให้เขาเห็น จะได้เป็นกุศลนิมิต หรือหาบทความสอนเตือนสติ ให้นึกว่า ความตายเป็นเรื่องธรรมดา อย่าไปยึดติดกับทุกสิ่งทุกอย่าง เป็นต้น แต่ไม่ควรขู่นะคะ ควรปลอบ ด้วยถ้อยคำที่ดีๆ ให้ญาติๆเขาทำบุญใหญ่ให้ โดยเอาเงินมาให้เขาจบอธิษฐาน สร้างพระให้ก็ดีค่ะ เพราะมีหลายรายเหมือนกันที่หายจากโรคร้าย เพราะสร้างพระ หรือถึงตาย ก็ไปดีค่ะ
หรือทำบุญปล่อยสัตว์ปล่อยปลา ปล่อยโค ถ้าไปเองไม่ได้ ก็ถ่ายรูปมาให้เขาดู บอกให้เขาร่วมบุญด้วย แล้วก็ถวายยา เภสัช แด่พระสงฆ์เป็นประจำ ถวายภัตตาหารก็ช่วยได้ค่ะ บอกเขาว่า การให้กำลังกับคนอื่น เราย่อมได้รับกำลังเช่นกัน เป็นต้นค่ะ
เป็นเรื่องของความเชื่อมากกว่าค่ะ โรคแบบนี้เป็นโรคกรรม หากกรรมหมด กินยาพาราอย่างเดียว แล้วทึกทักเอาว่าหาย มันก็หายค่ะ
อย่างที่บอกไปแล้ว ให้ลูกหลานหาเงินมา แล้วเอาให้เขาจบอธิษฐานก็พอทำได้ แล้วให้เขาร่วมทำด้วยเท่าที่มี แบบนี้ก็ช่วยได้ค่ะ และพยายามบอกถึงวัตถุประสงค์ของการทำบุญนั้น ว่าทำแล้วจะได้อะไร อย่างเช่น สร้างพระธรรมกายประจำตัว สลักชื่อคนป่วย ก็บอกว่า พระองค์นี้ที่สร้างเนี่ยเป็นตัวแทนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จะเอาไปไว้ที่เจดีย์ (อย่าลืมพูดเรื่องอานิสงส์ของการสร้างพระด้วยนะคะ แบบที่กล่าวอธิษฐานจิตตอนบูชาเจดีย์น่ะค่ะ) ที่มีพระแบบเนี้ยรวมอยู่ล้านองค์ แล้วที่ตรงนี้ จะกลายเป็นศูนย์กลางพุทธศาสนาของโลกในอนาคต จะมีพระจากทั่วโลกมาสักการะ มีคนเรือนหลายๆ ล้าน มานั่งสมาธิที่นี่ ตลอด 1 พันปี นับจากนี้ คนที่เขามา เขาก็มากราบไหว้พระองค์ที่คนป่วยสร้างนี่แหล่ะ ที่เขากราบ เพราะเขาเชื่อมั่นในคุณของพระพุทธเจ้า ที่สั่งสอนธรรมให้ชีวิตเขาพ้นทุกข์ได้ ฯลฯ
พยายามให้ใจเขาผูกกับพระรัตนตรัยเอาไว้
ใช้ปัญญาเอาละกันค่ะ เพราะนี่เป็นสิ่งเดียวที่จะช่วยเขาได้แล้วค่ะ
อ้ายที่อยากมันก็หลอก อ้ายที่หยอกมันก็ลวง ทำให้จิตเป็นห่วงเป็นใย.."
พระมงคลเทพมุนี (สด จันทสโร)
#3
โพสต์เมื่อ 22 May 2006 - 12:40 PM
- คนป่วยมะเร็งปอดระยะนี้ ใครเป็นหมอหรือพอมีประสบการณ์ช่วยบอกหน่อยว่าควรจะบอกคนไข้หรือไม่ว่าเป็นอะไร และต้องตายแน่ ๆ เพราะ ผลมันจะออกมาสองทางคือ คนไข้หมดกำลังใจอยู่และตายเร็วขึ้น(อาจจะช็อคในทันที) อีกทางคือเตรียมตัวเตรียมใจได้จะได้ไปดี

การควบคุมความเจ็บปวดในการดูแลผู้ป่วยระยะท้าย เป็นศิลปะอย่างหนึ่ง เพื่อให้ผู้ป่วยกินได้ ถ่ายคล่อง หลับดี ได้แก่
1. ยากินบรรเทาปวด ปรับตามความแรงจากแพทย์
2. อาจเพิ่มยาแก้ปวดชนิดแปะผิวหนังจากแพทย์
3. อาจต้องใช้ยานอนหลับ
4. ยาระบาย นิยม ชามะขามแขก
5. อาจต้องใช้ยากระตุ้นให้อยาอาหาร
ถ้าไม่ให้ผล อาจพิจารณาปรึกษาแพทย์ดมยาทำ Nerve block ไม่ให้รับความรู้สึกในบริเวณที่เจ็บปวด บางแห่งประสาทศัลยแพทย์อาจเป็นผู้ฉีดยาทำลายเส้นประสาทให้
หรือจะลองฝังเข็มเป็นพักๆก้ไม่เสียหาย เพราะหน้าที่ของบุตรคือหาทางเลือกที่ดีที่สุดให้แก่บุพการี
- ผมลองอ่านในนี้เรื่องการรักษาโรคจากพระไตรปิฏก ซึ่งมีการกินน้ำมูถเน่า(ปัสสาวะตัวเอง) ก็น่าจะลองดูเหมือนกันเพราะ
การรักษาด้วยวิธีสมัยใหม่ตันแล้ว ท่านคิดว่าควรลองดูหรือไม่ เพราะมีผลวิจัยนี่น่าลองหลาย ๆ อย่าง

- ส่วนการบอกให้คิดถึงบุญคนไข้ทำไม่ค่อยได้เพราะพูดไม่ค่อยรู้เรื่องเนื่องจากความจำเลอะเลือน ก็ต้องพยายามหน่อย
เช่นบอกให้ระลึกถึงบุญก็พอได้ แต่ให้ทำบุญเพิ่มไม่เอา ยากเพราะศรัทธายังไม่มั่นคง มีวิธีทำอย่างไรให้ได้บุญมากที่สุด

#4
โพสต์เมื่อ 22 May 2006 - 04:56 PM
ไม่น่าใช่ความเชื่อนะคะ เพราะพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านก็ตรัสไว้ว่าเป็นยานี่คะ
รอตั้งนานผู้ชาญศึกหายไปไหน
บอกจะพบกันครึ่งทางที่กลางใจ
อีกนานไหมจะให้พบช่วยบอกที
#5
โพสต์เมื่อ 22 May 2006 - 06:07 PM
อืมแล้วคนป่วยเป็นมะเร็ง แบบนี้ เคยทำวิบากกรรมอะไรมาจึงทรมานทรกรรมได้ขนาดนี้ รู้สึกมีเคสเกี่ยวกับมะเร็งแล้วจำไม่ได้
ไม่อยากเจอวิบากกรรมแบบนี้บ้าง
#6
โพสต์เมื่อ 22 May 2006 - 08:02 PM
ความคิดเห็นส่วนตัวนะค่ะ
การประกอบวิชาชีพแพทย์ ถือเป็นการประกอบโรคศิลป์ อย่างหนึ่งค่ะ (จบมาก็ได้ใบประกอบโรคศิลป์) เพราะฉนั้นการดูแลรักษาไม่ว่าจะเป็นผู้ป่วยคนไหน ระยะไหน ถือเป็นศิลปะ ของแต่ละคน ไม่ใช่เฉพาะผู้ป่วยมะเร็งระยะสุดท้ายหรอกนะค่ะ ที่จริงตั้งแต่ที่ผู้ป่วยเดินเข้ามาหาเราแต่แรกเลย การจะพูดจะคุย ซักถาม ตรวจร่างกาย และให้การรักษา หรือภาษาแพทย์ เรียกว่าการ Approach ผู้ป่วยนั่นแหละค่ะ ขึ้นอยู่กับลักษณะของผู้ป่วยแต่ละคนเป็นหลักมากกว่าค่ะ
โดยเฉพาะเรื่องการบอกโรคร้ายแกผู้ป่วย เนี่ยก็ยังเป็นที่ถกเถียงกันอยู่เหมือนกันว่าควรจะบอกเมื่อไหร่ ทันทีที่ทราบเลยหรือไม่ หรือรอไปซักระยะให้ผู้ป่วยรับได้ จะบอกกับใคร ตัวผู้ป่วยเองหรือญาติใกล้ชิด บอกไปแล้วมีผลดีผลเสียคุ้มกันหรือไม่ บางคนบอกไปแล้วกังวลมาก ทำอะไรไม่ได้ ท้อแท้ สิ้นหวังจนถึงขั้นคิดสั้นก็มี มันก็ขึ้นกับลักษณะของผู้ป่วยแต่ละคนเป็นหลักค่ะ และดุลยพินิจของหมอเอง
แต่จริงๆแล้วถ้าหากผู้ป่วยอายุมาก เจ็บโทรมแทบแย่แล้วเนี่ยเพิ่งรู้ว่าเป็นมะเร็ง ความจริงแล้วตัวผู้ป่วยเองลึกๆ น่าจะพอสงสัยอยู่บ้างแล้วหล่ะค่ะว่าตนเองเป็นโรคร้ายแรงหรือเปล่า เพราะโรคพวกนี้ไม่ใช่ 2-3 เป็น มักจะมีอาการนำมาซักระยะก่อนค่ะ ผู้ป่วยคงพอเดาได้อยู่แล้ว แต่เพียงอยากให้เราย้ำให้ชัดหรือไม่ก็เท่านั้นแหละค่ะ ก็อยู่ที่วิธีบอกของแพทย์ว่ามีวิธีที่ปราณีตแค่ไหนหล่ะนะค่ะ
ที่จริง คุณหมอ extra น่าจะมีแนวทางในการบอกความจริงเกี่ยวกับผู้ป่วยมาแนะนำ ให้ละเอียดกว่านี้มากกว่านะค่ะ
ส่วนเรื่องแนะนำการปฏิบัติตัวของผู้ป่วยที่รักษาไม่ได้แล้วก็ ค่อยๆแนะนำให้สร้างบารมีให้มากๆนะค่ะ ชิงช่วงช่วงชิง จะไปไหน สุขติ หรือ ทุกขติ ก็ตอนนี้แหละค่ะ
#7
โพสต์เมื่อ 22 May 2006 - 08:46 PM
ไม่ทราบสิคะน้องวิว ก็เห็นแต่คุณครูไม่ใหญ่ ท่านก็ยังบอกให้คนป่วย ทำบุญแล้วอธิษฐานว่าให้เจอหมอดียาดี (ถ้ามีบุญซะอย่าง เป็นโรคเบาหวาน แต่เจอหมอจับเส้นอย่างเดียวก็หายได้) ไม่เห็นท่านเคยบอกให้ไปดื่มน้ำมูธของตนเอง ซักกะรายเดียว ไม่อย่างนั้น ใครเป็นโรคอะไร ก็ให้ดื่มน้ำปัสสาวะตัวเองอย่างเดียว
คนเป็นโรคมะเร็งในโลกนี้ทุกคน ดื่มน้ำปัสสาวะตัวเอง ก็หายหมดสิคะ
ก็ไม่ได้หมายความว่าทุกคนกินน้ำปัสสาวะ ก็จะหายจากโรคหมดนี่นา ที่หาย ก็เป็นเพราะกรรมหมดข้อนี้ถูกต้องที่สุดค่ะ
ส่วนที่ถามว่า โรคมะเร็งปอด แล้วทรมานมากมายแบบนี้ ก็ตามหลักสันนิษฐานวิทยานะคะ อยากรู้จริงๆ ต้องไปถามผู้รู้เอาค่ะ
กรรมปาณาติบาตเป็นหลักค่ะ ส่วนที่เป็นที่ปอด มีเคสที่เป็นทหาร เคยฆ่าเขาด้วยคมหอกคมดาบ ไปทิ่มแทงปอดของเขา ทำให้เขาหายใจไม่ได้จนขาดใจตายค่ะ
ส่วนถ้าเป็นกรรมปัจจุบัน อาจจะเคยสูบบุหรี่จัดน่ะเอง
ขอเสริมอีกนิดนะคะ
มีเคสที่เป็นมะเร็งเม็ดเลือดขาวระยะสุดท้ายค่ะ หมดอาลัยตายอยากในชีวิต แต่พอได้ฝึกหัดนั่งสมาธิจนเห็นองค์พระใสๆ อาการของโรคก็หายไปๆ จนสุดท้าย หมอตะลึงตึงๆ ว่าหายจากโรคนี้อย่างอัศจรรย์ใจค่ะ ไม่แน่ใจว่าเคสนั้นมีที่ไหนบ้าง ถ้าหาเจอจะนำมาโพสท์บอกอีกทีคะ
ขอเสริมอีกนิดนะคะ
มีเคสที่เป็นมะเร็งเม็ดเลือดขาวระยะสุดท้ายค่ะ หมดอาลัยตายอยากในชีวิต แต่พอได้ฝึกหัดนั่งสมาธิจนเห็นองค์พระใสๆ อาการของโรคก็หายไปๆ จนสุดท้าย หมอตะลึงตึงๆ ว่าหายจากโรคนี้อย่างอัศจรรย์ใจค่ะ ไม่แน่ใจว่าเคสนั้นมีที่ไหนบ้าง ถ้าหาเจอจะนำมาโพสท์บอกอีกทีคะ
อ้ายที่อยากมันก็หลอก อ้ายที่หยอกมันก็ลวง ทำให้จิตเป็นห่วงเป็นใย.."
พระมงคลเทพมุนี (สด จันทสโร)
#8
โพสต์เมื่อ 23 May 2006 - 02:09 AM
เรื่องกฎของกรรมจะรู้แจ้งได้ดีที่สุดก็คงต้องไปรู้ไปเห็นเองแหละครับถึงจะดีที่สุดครับ
ถึงจะฟังนิทานก็ไม่แน่ว่าจะมีมูลความจริงเชื่อได้หรือป่าวนะครับ....งานนี้ของดไม่เล่านิทานดีกว่าครับ....เนื่องจากสงสารเจ้าของโรคครับ...และเกรงใจที่จะเล่ากรรมไม่ดีในอดีตให้ฟังครับ
ถ้าผู้ป่วยไม่สามารถนึกถึงภาพพระพุทธรูปได้ก็ให้นึกถึงคำว่า "พุทโธ" จำให้ได้ตลอดเวลาท่องไว้ในใจตลอดเวลาทั้งลืมตาหลับตา อย่าได้สนใจสิ่งแวดล้อมรอบข้างขณะนี้มีแต่พระพุทธเจ้าคือพุทโธเพียงอย่างเดียวที่จะเป็นที่พึ่งอันสูงสุดของเราในขณะนี้เท่านั้นครับ
ถ้าจิตละโลกไปโดยจิตตรึกถึง "พุทโธ" อย่างน้อยก็จะมีสุคติเป็นที่ไปครับ
ไม่สั่นคลอน ใสเหมือนน้ำที่ปราศจากตะกอน
#9
โพสต์เมื่อ 23 May 2006 - 08:50 PM
ตอบให้คลายข้อสงสัยได้มากเลยครับ
ลูก ๆ หลาน ๆ ไม่กล้าทำอะไรมากนะครับตอนนี้เสี่ยงกับอนันตริยะกรรมเพราะความรู้เท่า
ไม่ถึงการณ์ได้แต่ปล่อยไปเรื่อย ๆ ส่วนวิธีรักษาดื่มน้ำมูตรเน่าดองมะขามป้อม ลองอ่านดูแล้ว
เป็นวิธีสุดท้าย อาจจะต้องเข็นมาใช้แต่ต้องมีอาสาสมัครลองก่อนว่าร่างกายเป็นอะไรหรือไม่
ถ้าใครแนะนำก็ต้องลองผมกำลังจะลองดู
การรักษาตามอาการ ถ้าปวดก็ให้ยามอร์ฟีน ถ้าหายใจไม่ได้น้ำท่วมปอดก็เจาะน้ำในปอด
ออก คนไข้ยังไม่อยากตายก็ต้องพยายามหน่อย
วิธีระลึกถึงพระเพื่อให้ไปดีก็ทำไปเรื่อย ๆ ตามวิธีที่แนะนำมาครับ
#10
โพสต์เมื่อ 23 May 2006 - 10:07 PM
ถ้าลูกหลานทำบุญ หรือจะไปทำ ก็ให้ผู้ป่วยอนุโมทนาบุญด้วยทุกครั้งนะค่ะ
ปีก่อน คุณย่าเป็นมะเร็ง กำลังแย่ คุณแม่ก็เอาเงินที่จะทำบุญที่วัด รู้สึกจะองค์พระ ให้ท่านจบ แล้วบอกท่านว่าจะได้ไปสวรรค์ ท่านไม่ยอมสาธุ วักที ท่านเป็นจีนด้วยค่ะ แต่พอบอกให้สาธุแล้วจะได้หายไวๆ ท่านก็สาธุเลย แล้วคืนนั้นท่านก็เสียค่ะ
อย่าลืมเรื่องการบอกผู้ป่วยด้วยนะค่ะ เดี๋ยวเข้าใจผิดว่าเราแช่งให้ตายไวๆ แย่ไปอีก นะค่ะ
#11
โพสต์เมื่อ 24 May 2006 - 07:34 PM
ท่านนึกออก แล้ว วันนี้ของปีนี้ซึ่งเป็นวันเกิดของท่าน ผมก็จะไปทำให้อีกที
และตอนนี้ "ท่านเสียแล้วครับ" คิดว่าคงต้องทำสังฆทานครั้งใหญ่เสียแล้ว
#12
โพสต์เมื่อ 24 May 2006 - 11:31 PM
#13
โพสต์เมื่อ 25 May 2006 - 12:14 PM
มีความเห็นว่าน่าจะพาไปพบแพทย์ที่หน่วยระงับปวดค่ะ ถ้าอยู่กทม.ตามโรงเรียนแพทย์เช่นศิริราชมีหน่วยนี้ค่ะ เพื่อช่วยบรรเทาทุกข์ทางกายค่ะ ส่วนทางใจ ญาติๆควรช่วยกันsuuport และเร่งสร้างบุญกุศลเท่าที่จะทำได้ อย่างน้อยก็ทำให้ใจไม่หมองไปกับความทุกข์ทางกายค่ะ
#14
โพสต์เมื่อ 25 May 2006 - 05:21 PM

ไฟล์แนบ
ทั้งวาจานั้นไม่เป็นที่รัก ไม่เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ ตถาคตไม่ตรัสวาจานั้น
ตถาคตรู้วาจาใด เป็นของจริง ของแท้ แต่ไม่ประกอบด้วยประโยชน์
ทั้งวาจานั้นไม่เป็นที่รัก ไม่เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ แม้วาจานั้นตถาคตก็ไม่ตรัส
อนึ่ง ตถาคตรู้วาจาใด เป็นของจริง เป็นของแท้ ประกอบด้วยประโยชน์
แต่วาจานั้นไม่เป็นที่รัก ไม่เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ ตถาคตย่อมรู้กาลอันควรที่จะใช้วาจานั้น
ตถาคตรู้วาจาใด ไม่จริง ไม่แท้ ไม่ประกอบไปด้วยประโยชน์
แต่วาจานั้นเป็นที่รัก เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ ตถาคตไม่ตรัสวาจานั้น
ตถาคตรู้วาจาใด แม้เป็นของจริง เป็นของแท้ และไม่ประกอบด้วยประโยชน์
แต่วาจานั้นเป็นที่รัก เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ แม้วาจานั้นตถาคตก็ไม่ตรัส
อนึ่ง ตถาคตรู้วาจาใด เป็นของจริง เป็นของแท้ ประกอบด้วยประโยชน์
ทั้งวาจานั้นเป็นที่รัก เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ ตถาคตย่อมรู้กาลอันควรที่จะใช้วาจานั้น
[/color]
แต่จะต้องศึกษาให้มีความรู้ความเข้าใจ และปฏิบัติให้เหมาะสมแก่ภาวะปัจจุบัน
ด้วยศรัทธาและปัญญาที่ถูกต้อง จึงจะเกิดเป็นประโยชน์ขึ้นได้..."
พระบรมราโชวาท พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
๑๗ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๑๒
"รู้ใดก็ไม่ประเสริฐ เท่ารู้แจ้งด้วยปัญญาธรรมอันเกิดมีในตน"
"อัศวินปฏิญาณตนเป็นคนกล้า
ดวงใจเปี่ยมคุณธรรม
ซื่อตรงยึดมั่นในวาจาสัตย์
อุทิศชีวิตพิชิตมาร"
#15
โพสต์เมื่อ 27 May 2006 - 06:24 AM