สมาธิวิทยาธร
#1
โพสต์เมื่อ 16 July 2006 - 11:37 AM
แต่เป็นพวก โลกียสมาธิ คือพวกที่ไม่ได้ฝึกเพื่อความหลุดพ้น
ตามความเข้าใจเช่น พวกใบ้หวยเห็นตัวเลข ( อันนี้บางเคสมีอาจาร์ยวิทยาธรทำได้ )
น่าจะเป็นระดับฌาณแล้ว บางทีก็สามารถแสดงอิทธิฤทธิ์ได้
แต่เหตุใดผู้ที่ได้ฌาณแล้วจึงเกิดเป็นแค่วิทยาธร ไม่ได้ไปเกิดเป็นพรหม
#2
โพสต์เมื่อ 16 July 2006 - 11:46 AM
การจะไปเกิดยังพรหมโลกนั้น ต้องได้รูปฌาณ หรือ อรูปฌาณ ครับ
ส่วนวิทยาธรน่าจะเป็นสมาธิที่ต่ำกว่าและยังยึดติดในพวกวิชาคุณไสย ไสยศาสตร์อะไรประมาณนี้ด้วยครับ
มหาวิหาร จรัสฟ้า ค่ายิ่งใหญ่
รูปทอง ผ่องผุด ดุจยองใย
สะท้อนถึง ห้วงดวงใจ สุดบูชา
*********************
ยอดเยี่ยม "ธรรมกาย" ผล ..... ผ่องแผ้ว
เลอเลิศล่วงกุศล ..... ใดอื่น
เชิญท่านถือเอาแก้ว ..... ก่องหล้าเรืองสกล
พระมงคลเทพมุนี (สด จนฺทสโร) ผู้ค้นพบวิชชาธรรมกาย
#3
โพสต์เมื่อ 16 July 2006 - 06:59 PM
ส่วนวิทยาธรน่าจะเป็นสมาธิที่ต่ำกว่าและยังยึดติดในพวกวิชาคุณไสย ไสยศาสตร์อะไรประมาณนี้ด้วยครับ
เท่าที่ทราบวิทยาธรพวกนี้สามารถแสดงฤทธิ์ได้ และเป็นผู้อยู่เบื้องหลังวิทยาคมของ
มนุษย์ด้วย ดังนั้นการที่สามารถแสดงฤทธิ์ได้นั้น น่าจะได้ฌาณ ด้วย
นอกจากนี้วิทยาธรเหล่านี้จะฝึกกสิณ ต่าง ๆ เช่น กสิณสีเขียว กสิณสีแดง เมื่อละโลกไปแล้วก็ฝึกสมาธิ
ต่อตามถ้ำ ตามภูเขาต่าง ๆ ดังนั้นสมาธิของวิทยาธรน่าจะพัฒนาได้ถึงขั้นฌาณแล้ว หรือว่าสมาธิของวิทยาธร
จะจำกัดแค่สมาธิขั้นต้นไม่สามารถพัฒนาให้สูงขึ้นกว่านี้ได้
#4
โพสต์เมื่อ 16 July 2006 - 08:36 PM
ปล. "ฌาน" สะกดด้วย "น" ครับ ไม่ใช่ "ณ"
Someday I'm gonna be free.
#5
โพสต์เมื่อ 16 July 2006 - 11:20 PM
การฝึกสมาธิของพระหรืออาจาร์ยไสยเวทย์นั้น ไม่มีทางก้าวถึงขั้นฌานเลยหรือ
เพราะว่าอะไร เช่น การฝึกกสิณน่าจะถึงขั้นฌานได้ หรือเพราะว่าสมาธิ
นั้นไม่ได้เป็นไปเพราะการหลุดพ้น ( สัมมาสมาธิ )แต่เพื่อประโยชน์อื่น เช่น การใบ้หวย
ปลุกเสก เลขยันต์ หรือสามารถถึงฌานได้ถ้าพยายามจริง ๆ แล้วสามารถไปเกิดเป็นพรหมได้
#6
โพสต์เมื่อ 17 July 2006 - 01:15 AM

เพราะว่าอะไร เช่น การฝึกกสิณน่าจะถึงขั้นฌานได้ หรือเพราะว่าสมาธิ
นั้นไม่ได้เป็นไปเพราะการหลุดพ้น ( สัมมาสมาธิ )แต่เพื่อประโยชน์อื่น เช่น การใบ้หวย
ปลุกเสก เลขยันต์ หรือสามารถถึงฌานได้ถ้าพยายามจริง ๆ แล้วสามารถไปเกิดเป็นพรหมได้

ทั้งวาจานั้นไม่เป็นที่รัก ไม่เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ ตถาคตไม่ตรัสวาจานั้น
ตถาคตรู้วาจาใด เป็นของจริง ของแท้ แต่ไม่ประกอบด้วยประโยชน์
ทั้งวาจานั้นไม่เป็นที่รัก ไม่เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ แม้วาจานั้นตถาคตก็ไม่ตรัส
อนึ่ง ตถาคตรู้วาจาใด เป็นของจริง เป็นของแท้ ประกอบด้วยประโยชน์
แต่วาจานั้นไม่เป็นที่รัก ไม่เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ ตถาคตย่อมรู้กาลอันควรที่จะใช้วาจานั้น
ตถาคตรู้วาจาใด ไม่จริง ไม่แท้ ไม่ประกอบไปด้วยประโยชน์
แต่วาจานั้นเป็นที่รัก เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ ตถาคตไม่ตรัสวาจานั้น
ตถาคตรู้วาจาใด แม้เป็นของจริง เป็นของแท้ และไม่ประกอบด้วยประโยชน์
แต่วาจานั้นเป็นที่รัก เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ แม้วาจานั้นตถาคตก็ไม่ตรัส
อนึ่ง ตถาคตรู้วาจาใด เป็นของจริง เป็นของแท้ ประกอบด้วยประโยชน์
ทั้งวาจานั้นเป็นที่รัก เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ ตถาคตย่อมรู้กาลอันควรที่จะใช้วาจานั้น
[/color]
แต่จะต้องศึกษาให้มีความรู้ความเข้าใจ และปฏิบัติให้เหมาะสมแก่ภาวะปัจจุบัน
ด้วยศรัทธาและปัญญาที่ถูกต้อง จึงจะเกิดเป็นประโยชน์ขึ้นได้..."
พระบรมราโชวาท พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
๑๗ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๑๒
"รู้ใดก็ไม่ประเสริฐ เท่ารู้แจ้งด้วยปัญญาธรรมอันเกิดมีในตน"
"อัศวินปฏิญาณตนเป็นคนกล้า
ดวงใจเปี่ยมคุณธรรม
ซื่อตรงยึดมั่นในวาจาสัตย์
อุทิศชีวิตพิชิตมาร"
#7
โพสต์เมื่อ 17 July 2006 - 10:35 AM
ต่อให้ฝึกเกือบตายก็ได้แค่สมาธิขั้นต้น
#8
โพสต์เมื่อ 17 July 2006 - 12:38 PM
มิฉะนั้นจะไปแค่จาตุมหาราชิกา ไปดุสิตบุรีไม่ได้นะครับ
#9
โพสต์เมื่อ 17 July 2006 - 01:07 PM
Someday I'm gonna be free.
#10
โพสต์เมื่อ 17 July 2006 - 01:23 PM
เลยเหมารวมกันว่า เป็นพุทธศาสนา นะครับ
เราเหล่าลูกพระธัม ฯ จำเป็นต้องรักษาพระศาสนา โดย หมั่นทำทาน รักษาศีล
ปฏิบัติธรรมให้เข้าถึงธรรมกาย เพื่อเป็นทนายแก้ต่างให้พุทธศาสนา
#11
โพสต์เมื่อ 17 July 2006 - 02:02 PM
แต่นักพรตที่เกิดรุ่นหลังๆ มา ก็ได้รับลาภสักการะเพิ่มขึ้น (จากการที่อาจารย์มีฤทธิ์มาก) พวกนี้จะเริ่มหลงในลาภ และชื่อเสียงยกย่องสรรเสริญ (ใจเริ่มส่งออกนอกตัว คือ ติดในลาภ ยศ) ทำให้สมาธิจิตไม่อาจขึ้นถึงระดับสูง จนได้ฌานได้ เมื่อละโลกแล้ว จะไปเกิดเป็นวิทยาธรน่ะครับ
พอพวกนี้มาเกิดเป็นวิทยาธร ก็ต้องการให้มีลูกศิษย์มนุษย์มานับถือมากๆ และมีการแข่งกันในหมู่วิทยาธรด้วย จึงต้องมาช่วยศิษย์มนุษย์แสดงฤทธิ์เพื่อรักษาวิชา เช่น สมมุติการเหาะได้
ถ้าเป็นเหาะแบบสมาธิจิตจากฌาน จะเป็นการเหาะได้ด้วยตัวเอง
ถ้าเป็นเหาะแบบวิทยาธร จะท่องมนต์จนเป็นสมาธิเบื้องต้น แล้วอาจารย์วิทยาธรก็จะรับกระแสจิตได้ จากนั้นก็จะมาช่วย โดยยกตัวศิษย์มนุษย์ขึ้นเหาะไป ซึ่งถ้าเหาะอยู่แล้วอาจารย์วิทยาธรปล่อยตัว ก็จะร่วงทันที
#12
โพสต์เมื่อ 18 July 2006 - 01:28 AM

น้าจี้
#13
โพสต์เมื่อ 18 July 2006 - 01:52 AM
ฌาน การเพ่งอารมณ์จนใจแน่วแน่ เป็นอัปปนาสมาธิ, ภาวะจิตสงบประณีต ซึ่งมีสมาธิเป็นองค์ธรรมหลัก
ญาณ ความรู้, ปรีชาหยั่งรู้, ปรีชากำหนดรู้
ฌาน ได้แก่ รูปฌานและอรูปฌาน รวมเรียกว่า สมาบัติ ๘ ผู้ที่ได้ฌาน และขณะละโลก ยังทรงฌานอยู่ จะไปบังเกิดในพรหมโลก
ญาณ คือ ความรู้ต่างๆครับ เช่น ปุพเพนิวาสานุสติญาณ ความรู้ที่ระลึกชาติได้, จุตูปปาตญาณ ความรู้จุติและอุบัติของสัตว์ทั้งหลาย, อาสวักขยญาณ ความรู้ที่ทำอาสวะให้สิ้น เป็นต้น
Someday I'm gonna be free.
#14
โพสต์เมื่อ 18 July 2006 - 07:51 AM
ญาณ คือ ความรู้ต่าง ๆ อันเกิดจาก ฌาน
และชื่อเสียงยกย่องสรรเสริญ (ใจเริ่มส่งออกนอกตัว คือ ติดในลาภ ยศ) ทำให้สมาธิจิตไม่อาจขึ้นถึงระดับสูง
จนได้ฌานได้ เมื่อละโลกแล้ว จะไปเกิดเป็นวิทยาธรน่ะครับ
สมาธิที่ส่งใจออกนอกตัวนี่ คือ ใจติดในลาภ ยศ สรรญเสริญ นี่เอง ผมเข้าใจว่าสมาธิที่เอา
ใจออกนอกตัวคือการเพ่งกสิณ เอาใจส่งไปตามกสิณ เช่น กสิณดิน ก็เพ่งแต่ดิน ใจก็อยู่ที่ดิน
กสิณไฟ ใจก็อยู่ที่ไฟ
#15
โพสต์เมื่อ 18 July 2006 - 09:13 AM
#16
โพสต์เมื่อ 18 July 2006 - 11:35 AM
ใจออกนอกตัวคือการเพ่งกสิณ เอาใจส่งไปตามกสิณ เช่น กสิณดิน ก็เพ่งแต่ดิน ใจก็อยู่ที่ดิน
กสิณไฟ ใจก็อยู่ที่ไฟ
การส่งใจออกไปนอกตัว ไม่ว่าจะไปติดกับ คน สัตว์ สิ่งของ หรือ ติดในลาภ ยศ สรรญเสริญ ก็ตาม ใจไม่อยู่กับตัวครับ ล้วนเป็นสมาธินอกตัวทั้งสิ้น ฌานจะไม่เกิดขึ้นครับ ผู้ที่เพ่งกสิณแล้วสามารถทำใหฌานเกิดขึ้นได้ แสดงว่า ทำถูกต้องตามหลักวิชชาครับ กล่าวคือ ไม่ได้เอาใจไปติดกับสิ่งต่างๆ นอกตัวเหล่านั้น ไม่ว่าจะเป็น ดิน ไฟ น้ำ ฯลฯ แต่เพ่งจนสิ่งต่างๆเหล่านั้นติดตาติดใจ แล้วน้อมเอาสิ่งต่างๆเหล่านั้น เข้ามาเป็นนิมิตอยู่ภายในกาย เป็นที่ยึดเกาะของใจจนเกิดเป็นสมาธิตั้งมั่นเป็นอัปปนาสมาธิ ฌานจึงเกิดขึ้น นี่เป็นเหตุว่า ทำไมผู้ที่ได้ฌาน จึงสามารถกดกิเลสต่างๆ ไม่ให้ฟุ้งได้ เพราะนำใจมาไว้กับตัว ไม่ส่งใจไปตามสิ่งต่างๆ กิเลสต่างๆ นั่นเอง จนมีหลายๆคน เข้าใจผิดคิดว่าหมดกิเลสถึงนิพพานแล้ว ดังเช่น อาฬารดาบสและอุททกดาบส เป็นต้น แต่เมื่อใดก็ตามที่ผู้ได้ฌาน ส่งใจออกนอกตัวเมื่อไหร่ เมื่อนั้นฌานจะเสื่อมทันที กิเลสต่างๆก็จะกลับมา นี่เอง เป็นสิ่งที่พระบรมศาสดา องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ท่านพิจารณาเห็นว่า ฌานต่างๆ ยังไม่เที่ยง ยังไม่เป็นที่สุดแห่งกองทุกข์ จึงได้บำเพ็ญเพียรต่อ จนกระทั่ง ตรัสรู้อนุตรสัมมาสัมโพธิญาณ เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
Someday I'm gonna be free.
#17
โพสต์เมื่อ 18 July 2006 - 02:44 PM
น้าจี้
#18
โพสต์เมื่อ 18 July 2006 - 09:31 PM
เอาไว้ที่ไหน แต่ปัจจุบันตำรามักจะ ไม่บอกว่าให้เอารูปกสิณนั้นไปวางไว้ที่ไหน เพียงแต่ให้จำ
ให้ติดตา ลืมตาก็เห็นหลับตาก็เห็นได้เท่ากัน ให้สามารถหดขยายได้ ให้ภาพที่เห็นนั้นค่อย ๆ ใส ขึ้น
เรื่อย ๆ ดังนั้นตำแหน่งที่เห็นภาพนั้นคือ ตำแหน่งใดก็ได้ในกายนี้ อาจจะเลื่อนไปเรื่อยหรือเปลี่ยน
ไปเรื่อย หรือว่าบางคนบางคนอาจจะไปนึกถึงอย่างเดียว ก็นับว่าทำให้การปฏิบัตินั้นยากขึ้น เพราะ
ตะก่อนก็เคยลองพยายามเรื่องกสิณมาก ๆ ก็ไม่มีความก้าวหน้าเลย ตำราในปัจจุบันน่าจะมีส่วน
ที่ไม่สมบูรณ์ คนถึงฝึกกันไม่ได้สักที คิดว่านะ
#19
โพสต์เมื่อ 19 July 2006 - 11:29 AM
#20
โพสต์เมื่อ 19 July 2006 - 06:19 PM
ญาณ ความรู้, ปรีชาหยั่งรู้, ปรีชากำหนดรู้
คำว่า ญาณ ทำให้นึกถึงคำอธิษฐานประจำวัน ในช่วงท้ายที่ว่า
" ถ้าหากพระพุทธเจ้า ยังไม่บังเกิดขึ้น แต่กุศลกรรมของข้าพเจ้า เต็มเปี่ยมแล้ว เมื่อเป็นเช่นนี้
ขอให้ข้าพเจ้า พึงได้ญาณ เป็นเครื่องรู้ เฉพาะตน อันสูงสุด เทอญฯ "
#21
โพสต์เมื่อ 15 March 2007 - 12:56 PM