จะทำอย่างไรดี...เมื่อรู้สึกเบื่องานเสียแล้ว
#1
โพสต์เมื่อ 16 August 2006 - 03:18 PM
“กำลังคิดในใจว่า…เราจะพาลูก ๆ กลับไปทำอะไรที่บ้านนอก หาอะไรเล็ก ๆ น้อย ๆ ทำ...แต่อีกใจก็อยากให้ลูกอยู่กรุงเทพฯ (พอเริ่มบอกลูก...ลูกก็ไม่อยากไป บอกว่า แล้วหนูจะมาวัดได้งัยล่ะค่ะ เธอห่วงหน้าที่อาสาสมัครรุ่นจิ๋วของเธอมาก...คงห่วงเพื่อนที่โรงเรียนด้วย) ... ตอนนี้คิดว่าไม่ต้องการอะไรมากมายเลยในเรื่องของเงิน ใช้เท่าที่มี เท่าที่พอใช้ ไปวัด ทำบุญได้ ถึงไม่มีรายได้จากการทำงานก็พอมีรายได้จากส่วนหนึ่งมาพออยู่ได้ ...แต่รู้สึกเหนื่อย ล้า ท้อแท้กับงาน อยากพักใจ อยากสงบมากกว่า” ทุกอย่างตอนนี้มาจากเรื่องงานเท่านั้น...ไม่มีความทุกข์อย่างอื่นเลย...ยิ่งได้ไปวัด ได้นั่งสมาธิ...ก็ยิ่งพบความแตกต่าง
- มองย้อนไปเมื่อก่อนเราเคยถูกเรียกว่าคนบ้างาน...ทุ่มเท..อดนอนทั้งคืน..เป็นเดือนที่นอนวันละ 1 ช.ม. บ้าง ไม่นอนบ้างเพื่อทำงานองค์กรให้เสร็จ แต่พอมาวันนึงเหมือนไฟเราเริ่มตก การทำงานมีผิดพลาดบ้าง ทุกอย่างเริ่มเห็นความแตกต่าง (งานของที่นี่ต้องถูก 100% ไม่ว่าจะงานเอกสารหรือใด ๆ ก็ตาม)
- การแข่งขันสูงมาก คนลาออกทุกเดือน มีพนักงานหน้าใหม่ตลอด (หลาย ๆ คนเคยบอกว่า คนที่จะอยู่ได้มี 2 แบบ คือ แบบไม่สนใจอะไร ไม่ยุ่งกับใคร กับแบบช่างฟ้อง...คนที่ขึ้นเป็น Management ที่นี่ทุกคน กล้าพูดได้เลยว่าช่างฟ้อง มีอะไรแปลก ๆ ทุกคน...ที่เมื่อ Management มืออาชีพ ที่เป็นผู้ใหญ่พอ ไม่สามารถอยู่ได้แม้สักคนเดียว)
- ปลูกฝังให้และชื่นชมการฟ้อง จนเหมือนกลายเป็นจับผิด (แต่จะมีแค่ไม่กี่คนที่ทำ) ปลูกฝังคนเป็นเลขาว่า “ต้องบอกและเล่าทุกเรื่องที่รู้/ได้ยินมา” แต่ให้เหตุผลว่ารู้อะไรมาต้องมาบอกทุกเรื่อง เพื่อจะได้นำมาพัฒนาองค์กร…หลาย ๆ คนก็เลยทะเลาะกัน นินทากัน โทษความผิดให้กัน ฯลฯ
- ต้องแยกแยะเรื่องส่วนตัว/กับงาน ต่อให้จิตใจดี-นิสัยดีให้ตายก็ ถ้าอีกคนงานดีกว่า-นิสัยแย่ ก็ต้องเข้าใจว่าองค์กรต้องเลือกคนที่นิสัยแย่แต่งานดี ประกาศบอกพนักงานไว้เลยว่าทุกคนต้องเข้าใจ ไม่ใช่คิดว่า “เพื่อนฉันนิสัยดี ทำไมถึงมาทำกับเพื่อนฉันอย่างนี้” (หมายถึงไม่ผ่านงานหรือเกิดอะไรขึ้น)
ฯลฯ
- หันไปทางคนโน้นก็บ่นเบื่อ คนนี้ก็บ่นเบื่อ แต่ทุกคนก็ต้องทนในขณะที่ยังไม่มีทางเลือกที่ดีกว่านี้
...แต่สำหรับตนเอง...ใจมันไปเกินกว่าครึ่งแล้ว แต่ยังเก็บไว้ในใจคนเดียว คิดคนเดียว ยังไม่ได้เอ่ยปากบอกใครใกล้ตัวเลย...ช่วยให้แนวหรือข้อคิดด้วยเถอะค่ะ เพื่อจะได้อะไรที่ใสสว่างกว่านี้!!! ต้องขอโทษด้วยนะคะ ถ้าอ่านแล้วทำให้ใจใครหมองไปด้วย...ไม่ใช่จะนินทาบริษัทให้ฟังนะคะ แต่เล่าให้ฟังว่ามันเป็นอย่างนี้...แล้วเราเบื่อ...ช่วงนี้ก็เลยแย่นิดนึง...คิดวุ่นไปวุ่นมาอยู่กับการตัดสินใจในใจตัวเองค่ะ...
#2
โพสต์เมื่อ 16 August 2006 - 03:58 PM
คนเราหากรักที่จะมีความก้าวหน้า ไม่ว่าจะทำงานอยู่ทางโลก หรือมาบวชเป็นพระอยู่ทางธรรมก็ตาม งานทุกชนิดถ้าไม่ผิดศีล ถือว่าเป็นงานมีเกียรติทั้งสิ้น หลวงพ่อเองเคารพคุณยายอาจารย์ (อุบาสิกาจันทร์ ขนนกยูง) อย่างจับใจ ตั้งแต่วันแรกที่ได้พบท่าน ท่านบอกว่าท่านเคารพบูชาธรรมความกตัญญูมาตลอด ดังนั้น พอได้ข่าวว่า หลวงพ่อวัดปากน้ำ สามารถสอนคนให้ปฏิบัติธรรมจนไปเห็นนรกสวรรค์ และเยี่ยมพ่อแม่ที่ตายแล้วได้ ท่านจึงตัดสินใจออกจากบ้าน โดยไม่มีเงินทองติดตัวมาเลย ทั้งๆ ที่ฐานะทางบ้านของคุณยายก็อยู่ในเกณฑ์ดี แต่ท่านมุ่งหน้าที่จะไปเรียนวิชา เพื่อพบพ่อที่ตายแล้วให้ได้ ท่านจึงคิดไปหาเงินช่วยเหลือตัวเองข้างหน้า โดยไม่ยอมรบกวนขอเงินจากทางบ้าน
คุณยายเล่าให้ฟังต่อไปว่า ตลอดเวลาคุณยายหมั่นสอนตัวเองว่า
"เราออกจากบ้านมาครั้งนี้ เราจะต้องลำบากอย่างแน่นอน เพราะไม่มีเงินติดตัวมาเลย แต่ว่าเมื่อเราจะไปเอาธรรมะแล้ว ถึงลำบากอย่างไรก็ต้องอดทนหางานทำรับจ้างเขาไป ดั้นด้นไปจนกว่าจะได้พบหลวงพ่อวัดปากน้ำ และให้ท่านรับเราเป็นลูกศิษย์ ระหว่างนี้ถึงแม้ไม่มีงานอะไรทำ รับจ้างเขาเทหม้อเมล์ก็ยังดี เพราะเป็นอาชีพบริสุทธิ์ ไม่ได้คดโกงใคร แต่จะไม่ยอมไปโขมยเขากินเป็นอันขาด"
พวกเรารุ่นหลังคงจะไม่รู้จักหม้อเมล์ สมัยก่อนในกรุงเทพยังไม่มีส้วมซึม มีแต่ส้วมถัง ทำเป็นถัง แล้วมีไม้พาดไว้ สำหรับนั่งถ่ายบนถัง พอเช้าขึ้นเขาจะให้นักโทษไปรับเอาถังอุจจาระตามบ้านต่างๆ ไปทิ้ง แล้วนำถังใหม่ไปใส่ไว้แทน ถังอุจจาระเคลื่อนที่นี้เรียกว่า ถังเมล์ หรือหม้อเมล์
คุณยายท่านตั้งปณิธาณไว้ดังกล่าว ท่านตัดสินใจละทิ้งความสุข ความสะดวกสบายทางบ้าน เพื่อแสวงหาธรรม ท่านตัดใจลงไปว่า หากเงินทองขาดมือ ก็เตรียมใจแล้วที่จะรับจ้างเทถังเมล์ ปณิธานอันนี้ ย่อมแสดงถึงความเด็ดเดี่ยวของคุณยายที่จะแสวงหาธรรม
หลวงพ่อฟังคุณยายเล่าแล้วตื้นตันใจ ทำให้ความถือตัวของหลวงพ่อหมดไปได้ ขนาดท่านเป็นผู้หญิง และสมัยนั้นท่านยังเป็นสาว ท่านยังตัดใจเพื่อธรรมะ ในการที่จะไปให้ถึงหลวงพ่อวัดปากน้ำให้จงได้ หากจะต้องรับจ้างเทถังเมล์ก็ยอม หลวงพ่อจึงนึกถึงตัวเอง หากจะเข้าถึงธรรมะได้อย่างคุณยาย ก็จะต้องลดทิฏฐิมานะของตัวเราเองให้ได้
ดังนั้นพอผ่านไปได้ระยะนึง เวลาไปเรียนธรรมะกับคุณยายที่วัดปากน้ำ เพื่อนๆ ที่ไปวัดรุ่นเดียวกันมีหลายคน พวกที่เขามีความรู้ทางด้านการครัวก็ไปทำครัว พวกที่มีความสามารถจัดดอกไม้ ก็จัดดอกไม้ พวกที่มีความสามารถทางด้านเย็บปักถักร้อย เขาก็ไปทำผ้าม่าน ผ้าบังตากัน ส่วนตัวเราไม่มีความรู้ทางด้านนี้เลย ก็เหลียวซ้ายแลขวาว่าจะหาบุญอะไรได้บ้าง ก็หันไปเห็นรองเท้าของคนที่มาวัดวางเกลื่อนไปหมด คิดว่าคงจะเป็นบุญของเรา ถ้าได้จัดรองเท้าให้เป็นระเบียบ จึงตัดสินใจรับบุญจัดรองเท้า แต่กว่าจะหยิบรองเท้าคู่แรก มาจัดได้นั้น ยากจริงๆ เพราะกว่าจะจับรองเท้านั้นได้ ต้องรอให้คนอื่นเขาหลับตานั่งสมาธิกันก่อน เพราะกลัวว่าหากเขาเห็นเราจัดรองเท้า ก็จะมาดูถูกเราได้ เราเป็นถึงนักเรียนนอก พ่อแม่เราก็มีฐานะดี มีหน้ามีตา เราเองก็เป็นคนที่มีชื่อเสียง ล้วนแต่เป็นความคิดเข้าข้างตัวเองทั้งนั้น ความจริงแล้วไม่ได้มีใครรู้จักเราเท่าใดนัก แต่ก็เข้าข้างตัวเองก่อนว่าตัวเราสำคัญนัก ถ้าใครมาเห็นเราจัดรองเท้าก็จะดูถูกได้ หรือถ้าพ่อแม่มาเห็นเราทำอย่างนี้ ท่านคงจะเสียหน้า แฟนของเรามาเห็นเข้าคงจะหมดรัก ใจคิดไปสารพัด นึกไปกระทั่งว่า เจ้าของรองเท้าคู่นี้เป็นฮ่องกงฟุตหรือเปล่า เมื่อเอื้อมมือไปหยิบรองเท้าคู่แรกนั้น มือมันหดกลับ ต้องจดๆ จ้องๆ อยู่ถึง 3-4 ครั้ง กว่าจะตัดใจหยิบรองเท้าขึ้นมาจัดได้ พอหยิบคู่แรกได้ มันก็ได้ตลอด ที่เหลืออยู่อีกกี่คู่ๆ ก็จัดจนเรียบ จัดไปใจก็ฟูว่า วันนี้เราหมดทิฏฐิมานะแล้ว
แต่ถึงกระนั้นก็ตาม ก็รีบจัดให้เสร็จก่อนที่เขาจะลืมตาขึ้น กลัวใครเขาจะรู้ว่าเราจัด จะเป็นการเสียหน้า จัดเสร็จเรียบร้อย ไม่กล้าให้ใครรู้ จนกระทั่งเขาเลิกนั่งสมาธิ ลงมาจากบ้านเห็นรองเท้าวางเป็นระเบียบ ได้ยินเสียงเขาพูดกันว่า
"แหม ดีจังเลย วันนี้รองเท้าไม่เกลื่อน ไม่รู้ใครจัด ขออนุโมทนาด้วยนะ"
พอหลวงพ่อได้ยินเขาอนุโมทนาก็รู้สึกใจฟูทันที ตระหนักว่า เราทำถูกแล้ว แต่ก็ไม่กล้าแสดงตัวให้ใครรู้ ว่าเป็นฝีมือเราเอง การหักมานะลดความถือตัวได้สำเร็จในคราวนั้น เป็นความภูมิใจของหลวงพ่อตลอดมา
การที่คนเราจะไม่เลือกว่างานต่ำหรือสูง โดยอาศัยความบริสุทธิ์เป็นเกณฑ์นั้น เป็นสิ่งที่ทำได้ยาก ข้อนี้เป็นความแตกต่างระหว่างคนไทยกับคนอินเดีย คนอินเดียแม้เป็นขอทาน แต่จะไม่ยอมโขมย เพราะกลัวบาป ตรงกันข้ามคนไทย ยินดีจะปล้นเขากินแต่ไม่ยอมเป็นขอทาน อาชญากรในเมืองไทย จึงมีมากกว่าในอินเดีย โดยเฉพาะอาชญากรวัยรุ่น ที่ไปทำโจรกรรมกันนั้น ไม่ใช่เป็นเพราะความยากจน แต่เป็นเพราะความฟุ่มเฟือย เลือกงาน ดูถูกว่างานนั้นไม่มีเกียรติ แต่ที่ไปโขมยเขากินกลับไม่ดูถูกตัวเอง ความมีทิฏฐิมานะถือตัวอย่างไม่เข้าท่า ด้วยการดูถูกงานเช่นนี้ ทำให้คนไทยต้องตกงานกันมาก ไม่ใช่ไม่มีงานทำ แต่เลือกงานเกินไป แล้วจะมาโยนความผิดให้รัฐบาล ก็ไม่ถูกต้อง ตำหนิว่าขณะนี้ คนไทยสอนลูกไม่เป็น สอนให้ลูกมีมิจฉาทิฏฐิดูถูกงาน นับว่าไม่ถูกต้อง ควรแก้ไขค่านิยมเสียใหม่ว่า งานใดที่บริสุทธิ์ ไม่ได้โกงเขา ไม่ได้ผิดศีล ต้องถือว่างานนั้นมีเกียรติ ถึงแม้จะเป็นงานขัดส้วม ขัดห้องน้ำก็ตาม
เมื่อปีก่อน มีนักเรียนโรงเรียนสาธิตแห่งหนึ่ง ซึ่งส่วนใหญ่เป็นลูกผู้มีอันจะกิน อาจารย์ส่งเขามาอบรมที่วัด พวกนี้มาวันแรกอบรมยาก จนหลวงพ่อต้องขอใช้คำว่า "ดัดสันดาน" คือเมื่อมาถึงวัดกินข้าวเสร็จเรียบร้อยแล้ว ไม่มีใครสักคนที่จะยอมล้างจาน หลวงพ่อจึงถามเขาว่า
"หนูทำไมไม่ล้างจานกันล่ะ"
"หนูล้างไม่เป็น"
"อ้าว! อยู่บ้านไม่เคยล้างเลยหรือ"
"ไม่เคยค่ะ"
"แล้วใครล้างล่ะ"
"คนใช้ล้างให้"
"แล้วถ้าคนใช้ไม่อยู่"
"ใครล้าง"
"แม่ล้าง"
หลวงพ่อเลยนึกในใจว่า มันเห็นแม่เป็นคนใช้ จึงถามต่อไปว่า
"แล้วถ้าคนใช้ไม่อยู่ แม่ก็ไม่อยู่ จะทำอย่างไรล่ะ"
"ไม่เคยเลย ถ้าแม่ไม่อยู่ ก็ต้องมีคนใช้ ถ้าคนใช้ไม่อยู่ ก็ต้องมีแม่"
"งั้นดีแล้ว วันนี้คนใช้ก็ไม่อยู่ แม่ก็ไม่อยู่ วันนี้ต้องล้างเอง"
ขนาดหลวงพ่อพูดอย่างนี้ แกก็ยังไม่ยอมล้าง หลวงพ่อจึงบอกไปว่า
"ถ้าอย่างนั้นไม่เป็นไร ไม่ล้างก็ได้ แต่หลวงพ่อขอแรงอีกนิดเดียว ช่วยเอาจานที่กินแล้ว ไปเรียงไว้ริมข้างถนน เรียงไว้เป็นตับเลยนะหนู ขอแรงหน่อย อีกสักพักเดียว หมามันก็มาเลียเองแหละ พอหมามันเลียเกลี้ยง แล้วพวกหนูก็เอาไปใช้ต่อก็แล้วกันนะ"
คราวนี้จึงยอมล้างจานได้ ขนาดจานข้าวที่ตัวกินเอง ยังดูถูกไม่ยอมล้าง เห็นว่างานล้างจานเป็นงานต่ำ แล้วต่อไปจะทำอะไรได้ เด็กพวกนี้เกิดมาเพื่อดูถูกคน ดูถูกงาน เป็นเทวดามาจากไหนกัน เด็กเหล่านี้จะเอาดีไม่ได้ ถ้าไม่แก้นิสัย หลวงพ่อจึงต้องดัดสันดานโดยวิธีนี้ ถ้าไม่ยอมล้างจานมื้อต่อไป ก็ต้องกินข้าวจากจานที่หมาเลีย เดี๋ยวเดียวก็เห็นเขาล้างกันเสร็จเรียบร้อย
จำไว้ว่าอย่าสอนให้ลูกหลานหรือตัวเองเป็นคนดูถูกงาน เลือกงาน งานใดที่เป็นงานบริสุทธิ์ ถือว่าเป็นงานมีเกียรติทั้งสิ้น ใครจะว่าค่อนขอดอย่างไร ไม่ต้องสนใจ ขอให้ตั้งใจทำไป แล้วเราจะประสบความสำเร็จก้าวหน้าในที่สุด
--------------------------------------------------------------------------------
จาก หนังสือตำรับยอดเลขา โดยพระเผด็จ ทัตตชีโว (ปัจจุบันคือพระภาวนาวิริยคุณ)
ไม่รู้ว่าจะพอช่วยได้ไหม แต่พอดีเพิ่งได้อ่านข้อความนี้มา ถึงจะไม่ค่อยตรงกับคำถาม แต่ก็อยากให้ได้อ่านกันค่ะ
อย่าพึ่งท้อน๊ะค่ะ ลองไปพักผ่อนซะหน่อยสิค่ะ
แล้วลุกขึ้นมาสู้ใหม่ แต่ถ้าไม่ชอบที่ทำงานเดิมจริงๆก็น่าจะลองเปลี่ยนงานดู
เอาใจช่วยค่ะ Relax&Alert
#3
โพสต์เมื่อ 16 August 2006 - 04:04 PM
#4
โพสต์เมื่อ 16 August 2006 - 04:25 PM
สิ่งที่เกิดขึ้น ลืมบอกว่าไม่ใช่ทั้งหมดเกิดกับเรา...แต่เราเห็นเกิดขึ้นกับคนอื่น กับเพื่อนร่วมงานที่เราสนิทแล้วแล้วจากไป...เราเริ่มเบื่อ ๆ ท้อ ๆ ค่ะ...เรื่องขัดใจ เราไม่มีปัญหาเลย...ใครมาขัดใจเราเราไม่รู้สึกอะไร และเราก็กล้าพูดว่าไม่ชอบไปขัดใจใครเค้า...จนกลายเป็นคนไม่กล้าแสดงออก ไม่กล้าแสดงความคิดเห็นไปเสียแล้ว

#5
โพสต์เมื่อ 16 August 2006 - 04:31 PM
คุณสายน้ำทิพย์ยังโชคดีนะคะ ที่ยังเลือกได้ว่า จะอยู่หรือไม่อยู่ แต่ koonpatt เลือกไม่ได้ "ต้องอยู่" ถ้าคุณสายน้ำทิพย์เลือกได้ ก็เลือกเถอะค่ะ ชีวิตคนไม่ได้ยืนยาวมากพอที่จะรอได้ทุกเรื่อง โดยเฉพาะ เรื่องความสุขในชีวิต ความสุขในการทำงาน และการเป็นคนดี ถ้าการตัดสินใจในวันนี้ จะไม่ทำให้เราเสียใจในวันหน้า หรือเสียดายเวลาที่เสียไปกับความทุกข์นี้ ก็เลือกในสิ่งที่ดีกว่าให้กับชีวิตของตัวเองเถอะค่ะ แต่ที่สำคัญ ต้องเลือกและตัดสินใจ โดยใช้ " สติ " และ " เหตุผล " นะคะ เราจะได้ไม่เสียใจทีหลังนะคะ
ค่อยๆคิด แล้วตัดสินใจนะคะ เอาใจช่วยค่ะ
แด่
เธอ...ผู้นำแสงสว่างสู่...กลางใจ
#6
โพสต์เมื่อ 16 August 2006 - 04:38 PM

#7
โพสต์เมื่อ 16 August 2006 - 04:39 PM
อ้ายที่อยากมันก็หลอก อ้ายที่หยอกมันก็ลวง ทำให้จิตเป็นห่วงเป็นใย.."
พระมงคลเทพมุนี (สด จันทสโร)
#8
โพสต์เมื่อ 16 August 2006 - 04:43 PM
#9
โพสต์เมื่อ 16 August 2006 - 04:58 PM
11 เคล็ดลับการทำงานอย่างมีความสุข
1. เริ่มงานอย่างสดชื่น กระปรี้กระเปร่า ปลอดโปร่ง
2. ปรับปรุงบุคคลิกภาพ ให้เหมาะกับตำแหน่งและลักษณะงาน
3. สนทนาแลกเปลี่ยนกับบุคคลที่เกี่ยวข้องกับงานอยู่เสมอ
4. ศึกษาวิธีการทำงานให้มีประสิทธิภาพยิ่งกว่าเดิม
5. ใส่ความกระตือรือร้น และพลังวังชาลงไปในงาน
6. หมั่นบันทึกคำเตือนเพื่อกันลืม สำหรับตนเอง
7. หมั่นหาความรู้เพื่มเติมตลอดเวลา
8. หากต้องการคลายเครียด ลองหาหนังสือธรรมะมาอ่าน
9. อย่าจริงจังกับงานและชีวิตจนเคร่งเครียด
10. แบ่งงานออกเป็นส่วน ๆ แล้วลำดับความสำคัญของงาน
11. กำหนดเวลาพักผ่อน เวลาทำงาน และเวลานั่งสมาธิให้ชัดเจน
ทั้ง 11 เคล็ดลับการทำงานอย่างมีความสุขนี้ ทุกท่านสามารถนำไปใช้ในชีวิตประจำวันของเราได้ เพื่อให้เกิดความสุขเบิกบานใจโดยถ้วนหน้านะคะ และยิ่งไปกว่านั้น ในขณะทำงาน ถ้าเราได้นำใจของเรา มาวางไว้ที่ศูนย์กลางกายอย่างนิ่มนวลและเบาสบาย ได้ตลอดเวลา แล้วท่านก็จะพบว่า
ความเบื่อ เศร้า เหงา เซ็ง ความกังวลใจ ความทุกข์ใจ ไม่สบายใจใด ๆ ก็ไม่สามารถย่างกรายเข้ามารบกวนจิตใจคุณได้เลยค่ะ นอกจากความสุขความสบายที่หลั่งไหลเข้ามาสู่จิตใจคุณ ทดลองทำและสังเกตการเปลี่ยนแปลงดูนะคะ สวัสดีค่ะ
#10
โพสต์เมื่อ 16 August 2006 - 05:01 PM

#11
โพสต์เมื่อ 16 August 2006 - 05:22 PM
เห็นด้วยอย่างยิ่งครับ ที่บริษัทฯก็คล้ายๆอย่างนี้เหมือนกัน นึกว่าเรานี่หนักแล้วนะ พออ่าน case คุณ "หนูชื่อสายน้ำทิพย์" และ "koonpatt" ของเรากลายเป็นเรื่องธรรมดาเลย และคนอื่นๆที่ยังจำเป็นต้องทำงานอยู่ คงต้องเจอกับภาวะนี้อีกจำนวนมาก ถึงบอกว่าเห็นด้วยกับคุณฟ้าร้างน่ะครับ
แต่พออ่านกระทู้นี้แล้ว ก็นึกถึงอยู่ 2 อย่าง
1.พุทธพจน์ที่ทรงตรัสกับพระอานนท์ เมื่อมีชาวบ้านมาว่าร้ายพระองค์ พระอานนท์จึงกราบทูลให้ทรงย้ายที่พำนักออกจากหมู่บ้าน แต่พระองค์ไม่หนี และตรัสว่า
เขาว่า ดีกว่า เขาทำร้ายทุบตี
เขาทำร้าย ดีกว่า เขาฆ่า
(จำได้แค่นี้ ท่านใดจำได้ครบช่วยเสริมด้วยครับ)
และในเมื่อเราอาจจะเลือกไม่ได้แล้ว ต้องเดินตามรอยพระบรมศาสดาแล้วล่ะครับ รายละเอียดต้องไปค้นเพิ่มเติม
2.พระธรรมเทศนาของหลวงปู่ฯ ที่ว่า "เมื่อใดใจหยุด เงินทองไหลมาฯ" ไม่ว่าจะทำอะไร ถ้าใจหยุดนิ่งเสียแล้วละก็ ประสบความสำเร็จหมด ไม่ว่าจะประกอบอาชีพใดๆก็ตาม ลองหาฟังดูครับ น่าจะให้ข้อคิดดีๆ และมีความสุขในการทำงานมากขึ้น
อนุโมทนาบุญครับ
สัพพัง อะปะราธัง ขะมะถะ เม ภันเต อุกาสะ ทวารัตตะเยนะ กะตัง
สัพพัง อะปะราธัง ขะมะถะ เม ภันเต้ อุกาสะ ขะมามิ ภันเตฯ
หากข้าพระพุทธเจ้า ได้เคยประมาทพลาดพลั้งล่วงเกินต่อพระรัตนตรัย อันมีพระพุทธเจ้าทุกๆ พระองค์ พระปัจเจกพุทธเจ้าทุกๆพระองค์ พระธรรม และพระอริยสงฆ์ทั้งหลาย ในชาติก่อนก็ดี ชาตินี้ก็ดี ด้วยกายก็ดี วาจาก็ดี ด้วยใจก็ดี ด้วยเจตนาก็ดี ไม่เจตนาก็ดี ด้วยความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ก็ดี
ขอองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุกๆ พระองค์ พระปัจเจกพุทธเจ้าทุกๆ พระองค์ พระธรรม พระอริยสงฆ์ทั้งหลาย และผู้มีพระคุณทุกท่าน ได้โปรดยกโทษให้แก่ข้าพระพุทธเจ้า ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป ตราบเท่าเข้าสู่พระนิพพานด้วยเทอญ
#12
โพสต์เมื่อ 16 August 2006 - 05:33 PM
จำวันแรก ๆ ของการทำงานได้มั้ยครับ ว่าเรารู้สึกอย่างไร
ความรู้สึกนั้นมันหายไปไหนแล้ว
ถ้ามันเต็มกลืนแล้ว ก็มองหาที่ทำงานใหม่ก็ดีนะครับ
คนดี มีความสามารถ ไปอยู่ไหนใครก็รัก

ด้ายเส้นเดียว .........ไม่เป็นผืนผ้า
อิฐก้อนเดียว .... ไม่เป็นบ้านเรือน
ทำบุญคนเดียว ...ไม่เป็นกัลยาณมิตร
#13
โพสต์เมื่อ 16 August 2006 - 05:49 PM
สู้ต่อไป
ทำใจสบายๆ
แบบนี้มีทุกที่ครับ
ต้องทำใจ
คือถ้าคิดว่าไปแล้วไม่ลำบาก
ไปแล้วมีความสุข
ไปแล้วได้มาวัดบ่อยๆ
ไปแล้วอยู่ได้
ไปเถอะครับ
เพราะผมว่าคุณคงผ่านอะไรมามาก.........โทษนะครับอายุคงซัก 40-45
ตอนนี้คงต้องการอะไรใหม่ๆที่ท้าทายกว่าเดิม
หรืออยากเป็นเจ้าของกิจการ
ลองหาอะไรใหม่ๆทำก็ดีนะครับถ้าไม่ลำบาก
หรืออยู่เฉยๆซักพัก
อาจเกิดไอเดียใหม่ๆก็ได้
ลองดูครับยังไงเราต้องสู้กับโลกใบนี้ต่อไป
หากมีคนข้างหลังต้องดูแล........ก็ต้องดูแลเขา
หากไม่มี........ปลีกวิเวกเลยครับ
หาความสงบสุขดีกว่า
แต่.......เราเกิดมาสร้างบารมี
แบบไปกันเป็นทีม.......เป็นหมู่คณะ
ก็ต้องทำนะครับ..........
ทั้งประโยชน์ส่วนตัว
และประโยชน์ของหมู่คณะ
ปลีกวิเวกมันคงได้แค่ส่วนตัวนะครับ
เลือกเอาครับ..............
หากออกมาแล้วมีเวลาให้กับการสร้างบารมีมากกว่าเดิม
มีปัจจัยทำบุญมากกว่าเก่า
ผมว่าน่าลองนะครับ
ผมเคยได้ยินหลวงพ่อบอกประมาณว่า
อยู่ทางโลกเงินแต่ละบาทแต่ละสตางค์หามาได้ยากต้องต่อสู้ดิ้นรนกว่าจะได้มาแล้วเอามาทำบุญ
ผมว่ายิ่งเจอแบบนี้เวลาทำบุญโหยิ่งต้องอธิฐานเลยครับเพราะกว่าจะได้เงินมาต้องทนเบื่อกับที่ทำงานทนสารพัดจะทนกว่าจะได้มาทำบุญผมว่าเราน่าจะเกิดปีติใจมากกว่าเงินที่ได้มาง่ายๆนะครับ
ก็สู้กันไปครับเอาว่าสบายใจสุด
ทุกอย่างอยู่ที่ตัวคุณเองนะครับ
คนอื่นแค่ให้กำลังใจและแนะนำตามประสบการณ์ของแต่ละคน
สุดท้ายเรานี่แหละรู้ดีที่สุดว่าเราต้องการอะไร
สิ่งไหนเหมาะกับเราที่สุดครับ
ต้องสู้จึงจะชนะ..........
#14
โพสต์เมื่อ 16 August 2006 - 07:40 PM
ทำทั้งวันไม่รู้ทำได้ไงตั้งแต่หกโมงเช้าถึงตีหนึ่ง
หยุดวันอาทิตย์วันเดียว ใช่เวลาวันนั้นนอนและจัดการที่พักให้สะอาด
บอกเลยว่าล้ามากจริงๆสามปี ลาออกโลกที่มีสดใสขึ้นเยอะ
งานมันก็จำเป็นที่ต้องใช่เงิน แต่หลังๆมาคิดว่า
เอาร่างกายมาพลาน ทรมาณเปล่าๆ ก็เลยทำงานที่มพอมีพอใช้
ไม่จำเป็นแล้วต้องเงินเยอะๆสบายขึ้นเยอะ
#15
โพสต์เมื่อ 16 August 2006 - 08:59 PM
ปัญหาเรื่องคน ไม่รู้จบหรอกนะครับ
ผมเคยคุยกับหลาย ๆ คนว่า ถ้าจะออกจากที่ทำงาน เพราะปัญหาเรื่องคน
ก็คงไม่ต้องหาที่ทำงานใหม่ไม่ได้ หรอกนะครับ
เพราะทุกที่ก็มีปัญหาเรื่องคน ครับ
เอาง่าย ๆ นะครับ พิจารณาตนเอง บางครั้ง เราเองอยากทำนั่น บางครั้ง อยากทำนี่
ตัวเราเองยังตกลงยากเลย ใช่ไหมครับ
คราวนี้มาถึงประเด็น ทึ่เรามีพ่อดี คุณครูไม่ใหญ่นั่นเองนะครับ
ข้อเตือนใจทั้งห้าข้อ อดีตที่ผิดพลาด ลืมให้หมด ......
หมั่นสั่งสมบุญให้ยิ่ง ๆ ปฏิบัติธรรมให้เข้าถึงธรรมกาย
เรามีบุญถึง แล้ว บุญจะจัดสรรให้เราเองนะครับ
ห้ามท้อนะครับ เรื่อง ท้อ คุณครูไม่ใหญ่เคยถามลูก ๆ ตอนไปปฏิบัติธรรมที่ดอยสุเทพนะครับ
ว่า นี่คืออะไร ลูก ๆ ตอบว่า " ลูกท้อ "
ท่านตอบกลับว่า " พ่อไม่ท้อ "
เห็นไหมครับ ยุควิกฤติ ท่านประสบอะไรบ้าง ท่านทุกข์แค่ไหน
แล้ว ท่านยังให้อภัยกับทุกฝ่าย เลย
แล้วเราหละ เรื่องที่เกิดขึ้น อาจจะนิดเดียวเองนะครับ
ขออนุญาตแนะนำให้ ทำตามพ่อ นะครับ
ถ้าเครียดมาก ๆ ก้อหาเวลามาปฏิบัติระยะยาว สามวัน เจ็ด วัน ซิครับ
ถือว่า ชาร์จแบตเตอรีไหมนะครับ
#16
โพสต์เมื่อ 16 August 2006 - 11:38 PM
เป็นความรู้สึกแค่เบื่อ ๆ อยาก ๆ หรืออารมณ์ชั่ววูบ ( ไม่มีน้ำหนักเพียงพอ ) จะทำให้เกิดอุปสรรค
เช่น ห่วงคนนั้น ห่วงคนนี้ คิดถึงคนนั้นคนนี้ เพราะความผูกพัน เสียดายสิ่งที่เคยมีเคยได้ ทำให้ตัด
ใจไม่ขาด อย่างนี้คงไม่เรียกว่าความเบื่อหน่ายทางโลกที่แท้จริง (วิราคะ) เหมือนพระโพธิสัตว์ก่อน
ออกบวชท่านต้อง สะสมความปรารถนาอยู่นานจึงกล้าตัดใจออกบวช เพราะมีตัดใจแล้วจะไม่หวล
กลับมาอีก ( ตรงนี้มีความสำคัญมาก ) ก่อนที่พระโพธิสัตว์จะได้รับการพยากรณ์นั้นท่านต้องตั้งความ
ปรารถนาในใจมานานกว่าตอนลงมือบำเพ็ญบารมีจริง่ ๆ เสียอีก
ความเบื่องานนั้น ถ้าเกิดจากปัญหาบุคคลแล้วทำให้รู้สึกเบื่อ บางทีอาจจะต้องปรับจิตใจโดยใช้
ธรรมะเข้ามาช่วย เช่น ความไม่ยึดมั่นถือมั่นในตัวตนเกินใน พิจารณาจากไตรลักษณ์
ไตรลักษณ์ เป็นกฎสำคัญแห่งธรรมชาติ ซึ่งมีลักษณะ ๓ อย่าง คือ
๑. อนิจจัง ความไม่เที่ยง
๒. ทุกขัง ความทนอยู่ไม่ได้
๓. อนัตตา ความไม่ใช่ตัวตน
เมื่อเกิดอะไรขึ้นจะเกิดอยู่ในกฏทั้งสามประการนี้ทั้งสิ้น
ยกตัวอย่างจากกระทู้ จากคนที่ดีกลายเป็นคนเลว จากคนที่รักกัน
กลายเป็นชังกันจนไม่มองหน้า จากผลประโยชน์ที่เคยได้กลายเป็นไม่ได้
จากเคยได้ตำแหน่งนี้ย้ายไปตำแหน่งนั้น
ท่องในใจว่า ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ และควบคุมไม่ได้ (อนัตตา) ถ้าเป้นอัตตาต้องควบคุมได้ เมื่อชี้ที่ตัวเรา
หน้าตา แขน ขา หู ปาก จมูก หรือฟัน นั้น ตรงไหนเป้นตัวเรา ก็ตอบว่าไม่ใช่ทั้งนั้น ทุกสิ่งอาศัยปัจจัยประกอบ
กันจึงเรียกว่าเราคือ มี รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ประกอบกันจึงเรียกว่าเป้นตัวเรา ดังนั้นไม่ควรไปยึดมัน
เมื่อปล่อยวางเสีย ใจก็ไม่เป็นทุกข์ เรื่องที่นำมาพูดนี้ยกมาจาก มิลินทปัญหาตอนเริ่มเลย เมื่อพระเจ้ามิลินทร์
เอ่ยถามนามของพระนาคเสน และ เรื่องตอนนี้ สัจจกะนิครนห์ โต้วาทีกับพระผู้มีพระภาคเจ้า จะได้ความเข้าใจ
เรื่องนี้มากขึ้น ( เดี๋ยวผมจะค้นมาให้ ) ตัวตนที่แท้จริงก็คือธรรมกายภายใน เช่น เมื่อพระเจ้ามิลินท์ถามว่าพระ
พุทธเจ้านิพพานแล้วไปไหน
การปฏิบัติธรรมะต้องอาศัยความแน่วแน่ อย่างมากจึงจะสำเร็จอ่านจากประวัติหลวงพ่อวัดปากน้ำครับก่อนท่าน
จะบวช ต้องเก็บเงินให้ได้ก้อนหนึ่งก่อนแล้วมอบให้ครอบครัวไปลงทุน ท่านจึงคลายความเป็นห่วงแล้วออกบวช
สละทุกอย่างที่มีจนหมดแล้วออกบวช จึงเข้าถึงธรรมะได้
ดังนั้นในการทำงานเมื่อสามารถปรับใจให้เป็นสุขในการทำงานได้ โดยสามารถปล่อยวางได้ ใจก็เป็นสุข
และเมื่อคิดจะ คิดประพฤติพรหมจรรย์ก็จะสามารถมีความสุขได้และเข้าถึงธรรมตามครูบาอาจาร์ยเราได้
หวังว่า คุณหนูชื่อสายน้ำทิพย์ จะสามารถปรับใจให้มีความสุขกับงานได้ด้วยการปล่อยวางนะครับ
#17
โพสต์เมื่อ 17 August 2006 - 07:49 AM

ขอบคุณสำหรับคำตอบอันมีค่าของทุก ๆ ท่านมากเลยค่ะ
#18
โพสต์เมื่อ 17 August 2006 - 09:18 AM
คือว่าผมรู้สึกเบื่อกับงานมาก(เหนื่อยใจนะครับ)ทำไมบางคนงานทำไม่เยอะ แค่พูดให้เยอะหน่อย ประจบให้มากหน่อย เท่านั้น ตำแหน่งก็พุ่งพรวด
ด้วยเหตุนี้ผมทนไม่ไหว หางานที่ใหม่ หาอยู่ซักพัก มีบริษัทติดต่อมา ก็ตัดสินใจเลยโดยที่ไม่ดูขนาดขององค์กร และบรรยากาศในที่ทำงาน พอผมมาเริ่มทำที่ใหม่
โอ้โห้??? มันสุดยอดมากเลยครับ ไม่ใช่ในทางที่ดีนะครับมัน แย่เอามากๆ เลยแหละครับ คือผู้ชายทุกคนในออฟฟิศดูดบุหรี่กันในออฟฟิศเฉยเลย ตั้งแต่ผู้บริหารจนถึงพนักงานเข้าใหม่ ผมถามกับผู้หญิงที่อยู่มาก่อนว่าทำที่นี่นานรึยัง เค้าบอกว่าประมาณ 3 เดือน อีกคนก็บอกเป็นปีแล้ว โห..อยู่กันได้ไง เค้าบอกว่าทำไงได้ต้องทน ไม่มีทางเลือกจะบอกให้เค้าเลิกก้อไม่ได้ เพราะเค้าดูดเป็นชีวิตจิตใจ แม้แต่เวลาประชุมยังดูดกันเลย
ผมทนอยู่ได้เต็มที่แล้ว 1 เดือนไม่งั้นนะร่างกายผมไม่ไหวแน่ยิ่งเป็นโรคภูมิแพ้ด้วย ผมตัดสินใจลาออกอีกครั้ง
และตอนนี้ยังว่างงานอยู่เลยครับ ยังหางานไม่ได้เลย
ผมลองมาทบทวนตัวองดูแล้วว่าเราผิดพลาดรึบกพร่องตรงไหนรึเปล่า คำตอบที่ได้คือ ความอดทนครับ ถ้าผมอดทนอีกนิดนึงกับที่แรก คงไม่เป็นแบบนี้ แต่ไม่เป็นไร เราลูกหลวงพ่อต้องเจอในสิ่งที่ดีกว่าแน่นอนครับ อาจไม่ได้ในตอนนี้ซักวันก็ต้องได้ และต้องดีกว่าที่เดิมแน่นอน ครับ
กำลังใจที่ผมได้ก็จากหมู่คณะนี่แหละครับ ผมชอบเข้ามาที่ DMC เพราะทุกคนให้คำตอบและแนวทางที่ดีมากๆๆๆ และได้ข้อคิดที่ดีดีอีกเพรียบ
อนุโมทนาบุญกับทุกท่านนะครับ......สาธุ
พี่หนูชื่อสายน้ำทิพย์อย่าท้อนะครับ อดและทนต่อไป เมื่อเราทำจนถึงที่สุดแล้วเราไม่ไหวจริงๆ ย่อมมีที่อื่นที่ดีกว่าอย่างแน่นอนครับ
สู้ๆๆ ครับ ลูกหลวงพ่อซะอย่างไม่มีท้อ อยู่แล้วเนอะ
#19
โพสต์เมื่อ 17 August 2006 - 10:07 AM
สูบบุหรี่ทั้งองค์กรนี่เป็นบริษัทญี่ปุ่นหรือปล่าวค่ะ เคยเจอเหมือนกันสมัยเป็นนักศึกษาฝึกงาน
#20
โพสต์เมื่อ 17 August 2006 - 10:45 AM
เพราะบางทีก็เจอสภาวะแบบนี้เหมือนกัน
สมัยก่อนที่จะมาทำงานปัจจุบัน เคยอยู่ในองค์กรใหญ่มากๆ
เงินดี สวัสดิการดี แต่ทุกคนเป็นมนุษย์งาน ทุกอย่างเป็นระบบไม่มีมั่วนิ่ม ใช้งานส่งเดช
สิ่ทุ่มยังทำงานกันเหมือนไม่อยากกลับบ้าน (แต่เรารีบกลับเพราะจะเข้ารร.อนุบาล)
การแข่งขันก็สูง ไม่มีใครพูดเรื่องบุญ บางเย็นก็ชวนกันไปฟิตเนส ไปกินข้าว สังคมสุดๆ ทำอยู่สามปีทนไม่ไหวก็ลาออก
มาอยู่ในองค์กรที่เล็กกว่า (แต่น่าแปลกที่เงินก็ดีกว่าด้วย)
ที่นี่งานหนักกว่ามาก ทำงานไม่ค่อยจะเป็นระบบเหมือนองค์กรใหญ่
ทำซะทุกอย่าง ตั้งแต่เรื่องจิ๊บๆจนถึงเรื่องใหญ่ แต่ที่นี่มีข้อดีคือไม่สนับสนุนให้กลับบ้านดึก
แต่บางทีงานก็มากและมีภาวะบีบคั้นทางอารมณ์ให้หงุดหงิดบ่อยเหมือนกัน
..อารมณ์เบื่อจึงเกิดบ่อย....(มากๆๆ)
เมื่อมีเวลามานั่งคิดทบทวน .. ก็บอกกับตัวเองว่า ไม่มีที่ไหน perfect หรอก
เราปรับอะไรที่อยู่ภายนอกไม่ได้ แต่เราปรับใจของเราได้
ต้องอยู่ในบุญ.. อยู่ในกลาง..หมั่นทำการบ้านของคุณครูไม่ใหญ่ขณะทำงาน..
ใจจะคลายจากความหงุดหงิด และความเบื่อ..(ถ้ามันจะมาเยี่ยมบ้างก็ไม่บ่อยเท่าเดิม)
แล้วถ้าอยากกลับไปอยู่บ้านจริงๆ ก็ต้องตั้งเป้านะคะว่า จะไปแน่ๆ
..ควรวางแผนหน่อยนึง..
เพราะเราไม่ใช่ตัวคนเดียว มีลูกน้อยให้ต้องเป็นห่วงอีก
ต้องชั่งน้ำหนักว่า ถ้ากลับบ้านมีข้อดี-ข้อเสียอย่างไร
เช่น..ถ้ามาวัดลำบาก นั่นก็น่าจะเป็นอุปสรรคที่ต้องทำให้คิดแล้วล่ะค่ะ
ที่สำคัญคือถ้าจะมองในมุมที่เอื้อประโยชน์ต่อลูกสาว
การมาวัดทุกอาทิตย์ คือการช่วยขัดเกลาและสร้างสิ่งแวดล้อมดีๆให้ลูก
เราไม่ได้อยู่กับลูกตลอดเวลา การที่เด็กมีพื้นฐานดีๆ จากสิ่งที่ได้รับจากการมาเป็นอาสาสมัคร
จะเป็นเหมือนเกราะคุ้มภัย ในช่วงที่เขาเข้าสู่หัวเลี้ยวของช่วงวัยรุ่น
ก็ให้มุมอีกมุมนึงไว้เป็นข้อมูลเพื่อพิจารณาค่ะ
ไม่ว่าจะตัดสินใจอย่างไร ..ก็ขอให้ได้ทางเลือกที่ดี และ ขอให้โชคดีนะคะ
เรื่องดีๆเกิดขึ้นได้ทุกวัน
#21
โพสต์เมื่อ 17 August 2006 - 10:50 AM

#22
โพสต์เมื่อ 17 August 2006 - 11:06 AM
เวลาที่ผมรู้สึกแบบนี้มากๆๆ จะเป็น indicator ที่บอกว่าถึงเวลาต้องไปปฏิบัติธรรมที่พนาวัฒน์แล้ว รอช้าไม่ได้ กลับมาก็เหมือนได้ชาร์จแบ็ต รู้สึกดีอย่างประหลาด ทั้งๆที่สภาพแวดล้อมในที่ทำงานยังคงเหมือนเดิม
บางทีถ้าเราไม่ติดใจกับมัน ปล่อยมันไป คิดว่า "มันเป็นอย่างนั้นเอง" จิตใจเราก็จะสบายดีนะครับ คิดเสียว่าเราจำเป็นต้องทำเพราะต้องหาปัจจัยมาหล่อเลี้ยงกายมนุษย์ให้สามารถสร้างบุญสร้างบารมีได้มากๆ ตามคำสอนที่คุณครูไม่ใหญ่ท่านมักจะพูดประจำ
"งานทางโลก เราก็ทำให้หน้าที่ให้ดีที่สุด
ปัญหา มี ก็แก้กันไป
อย่าไปทุกข์ใจกับสิ่งที่เข้ามากระทบ
หมั่นสั่งสมบุญทุกบุญให้ยิ่งๆขึ้นไป.."
สัพพัง อะปะราธัง ขะมะถะ เม ภันเต อุกาสะ ทวารัตตะเยนะ กะตัง
สัพพัง อะปะราธัง ขะมะถะ เม ภันเต้ อุกาสะ ขะมามิ ภันเตฯ
หากข้าพระพุทธเจ้า ได้เคยประมาทพลาดพลั้งล่วงเกินต่อพระรัตนตรัย อันมีพระพุทธเจ้าทุกๆ พระองค์ พระปัจเจกพุทธเจ้าทุกๆพระองค์ พระธรรม และพระอริยสงฆ์ทั้งหลาย ในชาติก่อนก็ดี ชาตินี้ก็ดี ด้วยกายก็ดี วาจาก็ดี ด้วยใจก็ดี ด้วยเจตนาก็ดี ไม่เจตนาก็ดี ด้วยความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ก็ดี
ขอองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุกๆ พระองค์ พระปัจเจกพุทธเจ้าทุกๆ พระองค์ พระธรรม พระอริยสงฆ์ทั้งหลาย และผู้มีพระคุณทุกท่าน ได้โปรดยกโทษให้แก่ข้าพระพุทธเจ้า ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป ตราบเท่าเข้าสู่พระนิพพานด้วยเทอญ
#23
โพสต์เมื่อ 17 August 2006 - 12:39 PM
#24
โพสต์เมื่อ 17 August 2006 - 01:08 PM
ผมเคยคิดจะออกจากงานเป็น สิบๆครั้งแต่ก็ทำงานมาได้ถึง 10 ปีแล้วครับจนทุกวันนี้แกร่งไปทุกเรื่อง มีการแบ่งพรรค แบ่งพวก
ประจบ ประแจง เลื่อยขาเก้าอี้ สารพัดรูปแบบ ต้องทำใจอย่างเดียว คิดว่านี่คือโลกธรรม 8 ที่เราต้องเจอ
เวลาเจอปัญหาให้นิ่งๆ เฉยๆ อย่าไปคิดนำปัญหาก่อนจะไปกันใหญ่ ให้นึกถึงบุญที่เราทำมาตั้งมากมายเอามาใช้ซิ อธิษฐานจิตให้เจอคนดีๆ
ใครคิดร้ายกับเราให้เขาโชคดีมีชัย เจริญก้าวหน้าไปจากเราเถิด ทำบุญแผ่เมตตานึกถึงห้าเขาให้ใสๆ ส่งบุญไปให้เขาไปเยอะๆ บุญรอช่วยเหลืออยู่
แต่ไม่ได้ช่องเสียที่ เพราะเรามัวกลุ้มใจอยู่ จนคนที่ร้ายหรือคิดไม่ดีกับเราออกไปจนหมอแล้ว ณ ตอนนี้มีความสุขมาก คิดแล้วก็แปลกอยู่มาได้อย่างไร
เพราะบุญจริงๆ ตอนนี้บ้านก็ใกล้ที่ทำงานมาก ไปวัดก็สะดวก แม้เงินเดือนไม่มากแต่มันสุขใจครับ
#25
โพสต์เมื่อ 17 August 2006 - 01:36 PM
-------------------
ไล่ตงจิ้น ลูกขอทาน ผู้ไม่ยอมแพ้ต่อชะตาชีวิต เล่มนี้ เป็นอัตชีวประวัติของอดีตขอทานที่ทุกคนเคยเย้ยหยัน มีพ่อตาบอด แม่กับน้องชายคนโตปัญญาอ่อน ทั้งหมด 14 ชีวิตที่เขาต้องเลี้ยงดู เขาต่อสู้กับชีวิตจนได้เป็น บุคคลดีเด่นของไต้หวัน เพราะใจที่ไม่ยอมแพ้เพียงคำเดียว ผู้ที่หมดกำลังใจ ท้อแท้กับชีวิต มีปัญหาในการเรียนหรือการงาน นั้นเป็นเศษเสี้ยวหนึ่งของความลำบากที่เจ้าของผลงานเขียนเล่มนี้ต้องเผชิญ เขามีชีวิตอย่างไร เขาสู้เช่นไร และประสบความสำเร็จได้ในลักษณะใด เนื้อหาในเล่มจะช่วยไขปัญหานั้นได้เป็นอย่างดี แล้วคุณจะได้คำตอบมากมายในการดำเนินชีวิตจากหนังสือเล่มนี้
ไฟล์แนบ
สัพพัง อะปะราธัง ขะมะถะ เม ภันเต อุกาสะ ทวารัตตะเยนะ กะตัง
สัพพัง อะปะราธัง ขะมะถะ เม ภันเต้ อุกาสะ ขะมามิ ภันเตฯ
หากข้าพระพุทธเจ้า ได้เคยประมาทพลาดพลั้งล่วงเกินต่อพระรัตนตรัย อันมีพระพุทธเจ้าทุกๆ พระองค์ พระปัจเจกพุทธเจ้าทุกๆพระองค์ พระธรรม และพระอริยสงฆ์ทั้งหลาย ในชาติก่อนก็ดี ชาตินี้ก็ดี ด้วยกายก็ดี วาจาก็ดี ด้วยใจก็ดี ด้วยเจตนาก็ดี ไม่เจตนาก็ดี ด้วยความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ก็ดี
ขอองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุกๆ พระองค์ พระปัจเจกพุทธเจ้าทุกๆ พระองค์ พระธรรม พระอริยสงฆ์ทั้งหลาย และผู้มีพระคุณทุกท่าน ได้โปรดยกโทษให้แก่ข้าพระพุทธเจ้า ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป ตราบเท่าเข้าสู่พระนิพพานด้วยเทอญ
#26
โพสต์เมื่อ 17 August 2006 - 02:30 PM
เพียงแต่ลำพัง กำลังปัญญาอย่างเดียว เหมือนมีเสนาบดีแค่คนเดียว ไม่อาจนำทัพให้ชนะศัตรู(คือความท้อในชีวิต) ได้หรอกครับ เพราะไม่มีกำลังทหาร ก็สู้ไม่ไหว หรือมีทหาร แต่ไม่มีพระราชาผู้นำทัพ เสนาบดีก็สั่งการไม่ได้ หรือ ถึง มีทหาร เสนาบดี พระราชา แต่มีกำลังทหารไม่พอ ก็ยังไม่ได้ ต้องมีกองหนุนด้วย
ดังนั้นสิ่งที่คุณสายน้ำทิพย์ควรทำต่อไป คือ
1. หาพระราชาผู้นำทัพ เพื่อให้ทหารมีพระราชาเป็นศูนย์รวมใจ ทุ่มเททำทุกอย่างเพื่อพระราชาต่อไป ซึ่งเปรียบเสมือน สร้างศรัทธาขึ้นมาในตัวคุณ ศรัทธาว่าอะไร ศรัทธาว่า มนุษย์ถ้าตั้งใจจริง ทำได้ทุกอย่าง แก้ปัญหาได้ทุกจด เช่น
คุณฐิตินารถ ณ พัทลุง เป็นหนี้ร้อยล้าน คิดฆ่าตัวตาย แต่เหลือบมาเห็นลูก คิดในใจว่า ถ้าตายลูกจะทำไง เราต้องอยู่เพื่อลูก ต้องใช้หนี้ให้ได้ ศรัทธาเธอก็เกิดขึ้น และเลิกคิดฆ่าตัวตาย
2. หายามที่เก่งๆ ประจำทัพ มาคอยเฝ้าดู ความผิดปรกติ นั่นคือ ฝึกสติขึ้นมา คอยสังเกตความผิดปรกติในใจ แล้วรายงานพระราชา ให้อยู่อย่างมีสติ ดังที่ความคิดที่ 5 โพสมา
3. ฝึกกองกำลังทหารของคุณขึ้นมา ทั้งกองปรกติ และกองหนุน เปรียบเสมือน ฝึกสมาธิ และความเพียร ของเราให้มากขึ้นและมากขึ้น เมื่อใจสงบจะเข็มแข็งมีพลัง ไม่เซ็ง ซึม เบื้อ ท้อ กลุ้ม ง่ายๆ อีกต่อไป ดังที่ความคิดที่ 22 แนะนำให้ไปพนาวัฒน์ นั่นแหละครับ
เพราะคุณฐิตินารถ ที่เป็นหนี้ร้อยล้าน พอเห็นลูก เกิดศรัทธาในตัวเองขึ้นมาแล้วเลิกคิดฆ่าตัวตาย แต่ก็ยังไม่รู้ว่าจะใช้หนี้อย่างไรต่อไป จนมีคนแนะนำเธอให้ขึ้นไปปฏิบัติธรรม 7 วัน นะที่นั้น เธอได้ฝึกต่อทั้งพลัง สติ สมาธิ ปัญญา และความเพียร ในที่สุด เธอก็กลับมาใช้หนี้ 100 ล้านได้จนหมดสิ้นน่ะครับ
#27
โพสต์เมื่อ 17 August 2006 - 03:00 PM
ขอบคุณมากนะคะ

#28
โพสต์เมื่อ 18 August 2006 - 06:12 PM
เชื่อมั๊ยคะ..งานเยอะมากจนไม่ได้ลาพักร้อนมาสามปีแล้ว
อยากตัดใจ แต่ทิ้งงานไปไม่ได้จริงๆ มันเยอะมากๆถ้าไป
ไม่ได้รักงานสุดใจขาดดิ้นอะไรหรอกนะคะ
แต่ห่วงคนที่ทำงานต่อจากเราจะลำบาก
ตอนนี้ก็เลยใช้เวลาที่อยู่ที่นี่แหละค่ะ ทำการบ้าน และหมั่นเพิ่มชั่วโมงหยุดนิ่งให้ตัวเอง
บางทีเครียด ไม่ไหวจริงๆจะหลบสักหนึ่งชั่วโมง เข้าไปนั่งสมาธิในห้องพระในที่ทำงาน
กลับออกมาก็ได้ชาร์จแบต..ลุยกันได้ต่อไปค่ะ
แต่สิ่งที่ช่วยให้จิตใจดี เป็นการผ่อนคลายที่ดีที่สุดสำหรับตัวเองก็คือ
การมานั่งหน้าจอ เข้ารร.อนุบาลฝันในฝันวิทยาทุกคืนนี่แหละค่ะ
ถ้าไม่มีรายการนี้..สงสัย..สติแตกไปนานแล้ว..
เรื่องดีๆเกิดขึ้นได้ทุกวัน
#29
โพสต์เมื่อ 21 August 2006 - 12:28 AM
แต่ตอนนี้ชอบ มาธ่า สจ๊วต มากกว่าดูถึงตอนที่ 11 แล้ว >.<
แบบว่าเห็นภาพในการทำงานเลยยย
#30
โพสต์เมื่อ 22 August 2006 - 11:21 AM
กว่าจะจบ นานอยู่ค่ะ
ไม่มีลุ้นเร่งจองมองที่หมาย
ก็จะพบผู้รู้อยู่กลางกาย
ธาตุอ่อนแก่มากมายถึงปลายทาง