การหลับตาทำสมาธิกับลืมตาทำสมาธิ แบบไหนได้บุญมากกว่ากันคะ
#1
โพสต์เมื่อ 20 October 2006 - 04:41 PM
1. ทำไมจึงชอบลืมตาทำสมาธิมากกว่าหลับตาทำสมาธิคะ เพราะหนูรู้สึกว่าหลับตาแล้วไม่สบายตาเท่าตอนลืมตาดูองค์พระเลยค่ะ เหมือ ต้องกรอกดวงตาลงมาดู รู้สึกเมื่อยแถมเวลาเงยหน้าแล้วอย่างกับว่าองค์พระเลื่อนขึ้นมาตามดวงตาเราเลย ต่างกับตอนลืมตา จะมั่นใจมากกว่าว่าองค์พระอยู่กลางท้อง
2. การหลับตาทำสมาธิกับลืมตาทำสมาธิ แบบไหนได้บุญมากกว่ากันคะ
3. ทำไมเวลาหลับตาแล้วถึงจิตรู้สึกฟุ้งซ่านและไม่สงบเท่าตอนลืมตาคะ
4 ถ้าไม่ได้สวดมนต์ทำวัดเช้าแล้วสวดมนต์ทำวัดเย็นอย่างเดียวจะแปลกไหมคะ
5. ถ้าจำเป็นต้องให้เลือกระหว่างสวดมนต์ทำวัดเย็นกับนั่งสมาธิอย่างใดอย่างหนึ่ง พี่พี่จะเลือกทำสิ่งไหนคะ
6. ทำไมทำสมาธิแล้วถึงได้บุญคะ นอกจากเหตุผลที่ว่าเป็นการควบคุมทั้งกาย วาจา ใจให้ไปในทางที่ดี
7. ตอนนอนร่างกายขนานกับพื้นโลกควรมององค์พระในท่าไหนดีคะ
8. ทำไมการทำสมาธิถึงมีความสุขคะ นอกจากเหตุผลที่ว่าเราไม่เครียด ไม่คิดมาก ผ่อนคลายและสบายใจแล้ว
#2
โพสต์เมื่อ 20 October 2006 - 04:46 PM
ขึ้นอยู่กับว่าตอนนั้นแบบไหนสามารถทำใจหยุดใจนิ่งได้มากกว่ากัน ได้บุญเหมือนกันแหละ แต่ส่วนใหญ่คนเราจะสามารถทำใจหยุดใจนิ่งในภาวะที่หลับตาได้มากกว่า เพราะว่าไม่เห็นสิ่งภายนอกมากระตุ้นให้เกิดความไม่เป็นกลางทางอารมณ์
#3
โพสต์เมื่อ 20 October 2006 - 05:03 PM
#4
โพสต์เมื่อ 20 October 2006 - 05:11 PM
คุณจุ๋ม อัจจิมา ที่ร้องเพลง ปันความสุข เธอก็เคยเป็นเช่นนี้เหมือนกัน คือ ตอนลืมตา ทำสมาธิได้ดีกว่า ตอนหลับตา พอไปถามหลวงพี่ หลวงพี่ท่านก็ตอบมาแบบข้างต้นน่ะครับ ผมก็จำหลวงพี่ มาตอบอีกทีหนึ่ง
2. การได้บุญมากหรือน้อย ไม่ได้ขึ้นกับหลับหรือลืมตา แต่ขึ้นกับว่า ใจหยุดได้มากหรือน้อยกว่ากันน่ะครับ บางคนหลับตา ใจเขาหยุดมากกว่า บุญเขาก็มากกว่า บางคนลืมตาใจเขาหยุดมากกว่า เขาก็ได้บุญมากกว่า แต่เท่าที่สังเกต ถ้าคนที่ปฏิบัติได้ดีจริงๆ แล้ว ตอนหลับตาทำจริงๆ จังๆ จะได้บุญมากกว่าครับ เพราะใจไม่ต้องพะวงกับภาพที่ตาเห็น
3. ก็ตอนหลับตาตั้งใจมากเกินไปไงครับ เขาเรียก สติหนักเกินไป ต้องแก้ไขด้วยสบาย หากสบายมากเกินไปจะหลับ ต้องแก้ไขด้วย สติ สติกับสบาย ต้องไปคู่กันน่ะครับ
4. การสวดมนต์เป็นกุศโลบายให้ใจเราสะอาด สงบในเบื้องต้น จึงควรทำทั้งเช้าและเย็น เหมือนการแปรงฟัน ที่บางท่านแปรงทั้งเช้าและเย็น เพราะอยากให้ฟันสะอาด แต่บางท่านรับประทานแต่อาหารที่ไม่รสจัด ดูแลความสะอาดฟันดีแล้ว เขาอยากแปรงฟันตอนเย็นอย่างเดียว ผมว่าก็ไม่แปลกนะครับ
5. โบราณท่านว่า สวดมนต์คือยาทา ภาวนา(นั่งสมาธิ) คือ ยากิน บางคน อาจแค่ทายาก็หาย บางคนไม่ทา แต่กินยาอย่างเดียว หรือบางคนทั้งกินทั้งยาเลย น้องก็เลือกดูก็แล้วกันครับ
6. บุญ คือ คุณภาพของใจที่ดีขึ้น จากสิ่งที่ทำให้เสื่อมคุณภาพ คือ โลภ โกรธ หลง เช่น เวลาเราให้ทาน ความโลภหลุดไปจากใจ บุญก็เกิดขึ้น เรานั่งสมาธิ ใจนิ่ง ไม่มีโลภ โกรธ หลงเลย ใจมีคุณภาพดีขึ้น บุญก็เกิดขึ้นน่ะครับ
7. ท่าไหนก็ได้ที่มองแล้วสบายใจน่ะครับ
8. เพราะใจที่มีคุณภาพดียิ่งๆ ขึ้นเรื่อยๆ ย่อมมีความสุขขึ้นเรื่อยๆ น่ะสิครับ ตรงข้าม ใจที่เสื่อมคุณภาพด้วยอำนาจ โลภ โกรธ หลง เรื่อยๆ ก็มีความทุกข์ มากขึ้นเรื่อยๆ น่ะสิครับ
สำหรับคุณเทพ ดำเนิน นะครับ นั่นเป็นเพราะเราคุ้นชินกับนึกแบบใช้ตามององค์พระ ถึงมีคำถามนี้ขึ้น แต่สำหรับผู้ที่เข้าถึงจริงแล้ว เขาจะเห็นทั้ง 8 ด้าน ซ้าย ขวา หน้า หลัง บน ล่าง นอก ใน ไปพร้อมๆ กันเลยทีเดียว จึงไร้ความจำเป็นที่จะไปนึกแบบนั้นน่ะครับ
#5
โพสต์เมื่อ 20 October 2006 - 05:19 PM
#6
โพสต์เมื่อ 20 October 2006 - 06:40 PM
#7
โพสต์เมื่อ 20 October 2006 - 07:14 PM
บางคนมองไปในองค์พระจะเห็นองค์นั่งอยู่นะครับก็ไม่ต้องคิดอะไรมากให้เรามองในองค์พระไปเหมือนปกติล่ะครับนั่งสมาธิยังไงก็แบบนั้นเลยครับไม่ยากนะถ้าเราเห็นท่านตลอด ถ้าสงสัยคุยสวนตัวได้ครับเรื่องแบบนี้ถ้าตอบไปจะตอบให้ครับ
เป็นสรณะภายใน เทียงแท้
กว่านี้ บ่ มีใด เทียบได้
น้อบนบท่านไว้แล ค่ำเช้าสุขเสมอ
เอาบุญมาฝากจ้า นั่งสมาธิเยี่ยมไปเลย แถมไปติดจานมาอีกด้วย เด็กชาวเขานี้น่ารักนะแม้คุยไม่รู้เรื่องก็ตามล่ะ สนุกดี
#8
โพสต์เมื่อ 21 October 2006 - 03:42 AM
ขอบอกแค่ข้อดีข้อเสียให้แทนแล้วกัน คือ
การลืมตาเห็นองค์พระนั้นมีข้อดีอยู่ที่ว่าเรานึกได้ง่ายและสบายกว่าตอนหลับตา แต่มีข้อเสียที่ร้ายกาจคือหากเราไปสนใจสิ่งอื่น ใจเราจะหลุดจากองค์พระได้ง่ายมาก
การหลับตาเห็นองค์พระ มีข้อดีที่ว่าใจเราจรดอยู่กับองค์พระได้ตลอด แต่มีข้อเสียคือ ทันทีที่เริ่มหลับตาใจจะจรดจ่อกับการเห็นมากเกินไปทำให้รู้สึกตรึงเครียดอย่างที่คุณหัดฝันได้ชี้แจงไป
คุณเจ้าของกระทู้เป็นประเภทเดียวกับผม ดังนั้นผมขอแนะนำว่าอย่าไปสนใจว่าจะได้บุญมากหรือน้อย เพราะยิ่งคิดแบบนี้จะยิ่งทำให้เวลานั่งหลับตาจะยิ่งเครียดมากขึ้นครับ
2) พระศรัทธาธิกพุทธเจ้า สร้างบารมีรวม 40 อสงไขย กับอีก แสนมหากัป (รวมระยะเวลาสร้างบารมีหลังรับพุทธพยากรณ์ คือ 8 อสงไขย กับ แสนมหากัป) (อย่างน้อย)
3) พระวิริยาธิกพุทธเจ้า สร้างบารมีรวม 80 อสงไขย กับอีก แสนมหากัป (รวมระยะเวลาสร้างบารมีหลังรับพุทธพยากรณ์ คือ 16 อสงไขย กับ แสนมหากัป) เช่น พระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์ต่อไป คือ พระศรีอาริยเมตไตรยสัมมาสัมพุทธเจ้า (เป้าหมาย
#9
โพสต์เมื่อ 21 October 2006 - 07:10 AM
โก หิ นาโถ ปโร สิยา
อตฺตนา หิ สุทนฺเตน
นาถํ ลภติ ทุลฺลภํ . . . ฯ ๑๖๐ ฯ
เราต้องพึ่งตัวเราเอง
คนอื่นใครเล่าจะเป็นที่พึ่งได้
บุคคลผู้ฝึกตนดีแล้ว
ย่อมได้ที่พึ่งที่ได้แสนยาก
Oneself indeed is master of oneself,
Who else could other master be?
With oneself perfectly trained,
One obtains a refuge hard to gain
#10
โพสต์เมื่อ 21 October 2006 - 12:15 PM
ตั้งนั่ง นอน ยืน เดิน หลับตา ลืมตา พอนึกได้ก้อ จะนึกถึงศูนย์กลางกายตลอด ทั้งวันนนนนนน
มีความสุขดีค่ะ (ถึงยังไม่เห็นองค์พระ)
อนุโมทนา กับทุกท่านค่ะ
รักบุญ เชื่อในบุญ
mata072 windowslive.com
#11
โพสต์เมื่อ 21 October 2006 - 12:58 PM
อนุโมทนา กับทุกคนครับ
ลูกพระธรรม
#12
โพสต์เมื่อ 22 October 2006 - 03:40 PM
#13
โพสต์เมื่อ 22 October 2006 - 11:04 PM
ขอให้ใจหยุดนิ่งถูกส่วนตามหลักวิชชา
บุญก็สว่างขึ้นที่ศูนย์กลางกายแล้วครับ

ความรู้เพิ่มเติม
ประโยชน์ของสมาธิภาวนา 4 ประการ
พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ภิกษุทั้งหลาย สมาธิภาวนา 4 ประการนี้ คือ
1. สมาธิภาวนาที่บุคคลเจริญทำให้มากแล้วย่อมเป็นไปเพื่ออยู่เป็นสุขในปัจจุบัน
2. สมาธิภาวนาที่บุคคลเจริญทำให้มากแล้วย่อมเป็นไปเพื่อได้ญาณทัสสนะ
3. สมาธิภาวนาที่บุคคลเจริญทำให้มากแล้วย่อมเป็นไปเพื่อสติสัมปชัญญะ
4. สมาธิภาวนาที่บุคคลเจริญทำให้มากแล้วย่อมเป็นไปเพื่อความสิ้นอาสวะ
ref: อัง.จตุกก. โรหิตัสสวรรค มก. 35/155, มจ. 21/68, ปส. 37/164
อนุโมทนาบุญครับ
