
จากช่อง 7 อีก 10 ปี น้ำจะท่วมโลก !!
#1
โพสต์เมื่อ 30 October 2006 - 07:32 PM
สิ่งที่ท่านมาพูดนั้น เป็นไปได้ไหม? และถ้าท่านผู้นั้นไม่แน่ใจ จะกล้ามาออกทีวีให้คนทั้งประเทศรู้เลยหรือ?
เป็นไปได้ไหมว่าอาจจะจริง ประเทศมหาอำนาจจึงระดมทุนสำรวจดาวอังคาร เผื่อว่าในอนาคตอันใกล้ จะสามารถอพยพผู้คนบางส่วนที่เหลือไปอยู่ได้?
#2
โพสต์เมื่อ 30 October 2006 - 08:21 PM
มันเป็นเพียงการคาดเดาเท่านั้นครับ อย่าไปวิตกกับการคาดเดาให้มากเลยครับ ถ้าคุณเจ้าของกระทู้อยากรู้จริงๆล่ะก็ หลับตานั่งสมาธิให้ได้เข้าถึงองค์พระภายในแล้วไปดูด้วยตาตัวเองจะแน่นอนกว่าครับ หุหุ
2) พระศรัทธาธิกพุทธเจ้า สร้างบารมีรวม 40 อสงไขย กับอีก แสนมหากัป (รวมระยะเวลาสร้างบารมีหลังรับพุทธพยากรณ์ คือ 8 อสงไขย กับ แสนมหากัป) (อย่างน้อย)
3) พระวิริยาธิกพุทธเจ้า สร้างบารมีรวม 80 อสงไขย กับอีก แสนมหากัป (รวมระยะเวลาสร้างบารมีหลังรับพุทธพยากรณ์ คือ 16 อสงไขย กับ แสนมหากัป) เช่น พระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์ต่อไป คือ พระศรีอาริยเมตไตรยสัมมาสัมพุทธเจ้า (เป้าหมาย
#3
โพสต์เมื่อ 30 October 2006 - 09:59 PM
ข้อมูลจากสมุทรศาสตร์, ชีววิทยาทางทะเล, อุตุนิยมวิทยา, ประมงศาสตร์และวิทยาธารน้ำแข็ง ชี้ให้เห็นว่า ท้องทะเลของโลกกำลังเปลี่ยนแปลงไปในทางเลวร้าย ความเปลี่ยนแปลงของอุณหภูมิและองค์ประกอบทางเคมีของทะเล บวกกับมลภาวะและการทำประมงอย่างมักง่าย กำลังทำให้แหล่งกำเนิดชีวิตที่ใหญ่ที่สุดในโลกตกอยู่ในอันตรายร้ายแรง
ใน ค.ศ. 2005 นักวิจัยจากสถาบันสมุทรศาสตร์พบหลักฐานชัดเจนว่า มหาสมุทรกำลังร้อนขึ้นอย่างรวดเร็ว อุณหภูมิของน้ำในช่วงครึ่งไมล์จากพื้นผิวทะเลสูงขึ้นมากตลอด 40 ปีที่ผ่านมา อันเป็นผลลัพธ์จากก๊าซเรือนกระจกที่มนุษย์ก่อขึ้น
ปรากฏการณ์โลกร้อนที่เห็นได้ชัดที่สุดคือการละลายของน้ำแข็งในทวีปอาร์กติก อัตราการละลายของน้ำแข็งก่อให้เกิดวังวนของผลกระทบที่สะท้อนกลับไปกลับมา มันเร่งอัตราการเพิ่มขึ้นของพื้นผิวน้ำที่สะท้อนกลับไปเร่งให้อุณหภูมิสูงขึ้นและการละลายมีมากขึ้น เมื่อน้ำทะเลที่ขั้วโลกจืดลงและน้ำทะเลในเขตร้อนเค็มกว่า วงจรของการระเหยและการตกตะกอนก็เร่งเร็วขึ้น ซึ่งยิ่งกระตุ้นปรากฏการณ์เรือนกระจกมากขึ้นไปอีก วงจรที่เร่งเร็วขึ้นเรื่อยๆ นี้อาจแก้ไขกลับคืนได้ยากหรือไม่ได้เลย
มลภาวะที่สั่งสมมากขึ้นยังเปลี่ยนแปลงองค์ประกอบทางเคมีของน้ำทะเลและทำลายชีวิตสัตว์น้ำ นับตั้งแต่การปฏิ-วัติอุตสาหกรรมเป็นต้นมา มหาสมุทรต้องดูดซับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ถึงประมาณ 118 พันล้านเมตริกตัน และก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ยังถูกปล่อยเพิ่มสู่บรรยากาศอีก 20-25 ตันทุกๆวัน ความเป็นกรดที่เพิ่มขึ้นเนื่องจากปริมาณคาร์บอนไดออกไซด์ที่เพิ่มขึ้นกำลังเปลี่ยนแปลงความสมดุลของค่า PH ในมหาสมุทร การศึกษาวิจัยชี้ให้เห็นว่า หากเป็นเช่นนี้ไปเรื่อยๆ เปลือกและโครงกระดูกของสิ่งมีชีวิตในน้ำทุกชนิด นับตั้งแต่ปะการังไปจนถึงหอยและแพลงก์ตอน จะละลายภายใน 48 ชั่วโมงหากต้องสัมผัสกับสภาพความเป็นกรดของทะเลในปี ค.ศ. 2050 ปะการังคงสูญพันธ์จนหมด และที่น่าเป็นห่วงยิ่งกว่าคือแพลงก์ตอน ไฟโตแพลงก์ตอนเป็นตัวดูดซับก๊าซเรือนกระจก ผลิตออกซิเจนและเป็นผู้ผลิตอาหารปฐมภูมิของห่วงโซ่อาหารในทะเล ปรอทที่เกิดจากของเสียในอุตสาหกรรมเคมีและถ่านหินมีการออกซิไดซ์ในอากาศและตกลงสู่ก้นทะเล เมื่อสัตว์ทะเลกินเข้าไป สารปรอทจะแทรกเข้าไปสะสมอยู่ในห่วงโซ่อาหารเป็นทอดๆ กระทั่งสัตว์ทะเลที่เป็นผู้ล่าเหยื่อ เช่น ปลาทูนาหรือปลาวาฬ มีปริมาณสารปรอทสูงกว่าน้ำทะเลถึง 1 ล้านเท่า อ่าวเม็กซิโกมีปริมาณสารปรอทสูงสุด โดยมีสารปรอทราว 10 ตัน ไหลลงสู่ทะเลทางแม่น้ำมิสซิสซิปปีทุกปี และอีก 10 ตันจากการขุดเจาะนอกชายฝั่ง
นอกจากสารปรอทแล้ว แม่น้ำมิสซิสซิปปียังพาไนโตรเจน (ส่วนใหญ่จากปุ๋ย) ลงสู่มหาสมุทรด้วย ไนโตรเจนกระตุ้นให้พืชและแบคทีเรียที่บริโภคออกซิเจนเติบโตในน้ำ ก่อให้เกิดสภาพที่เรียกกันว่า hypoxia หรือ เขตมรณะ เขตมรณะคือพื้นที่ในมหาสมุทรที่ปริมาณออกซิเจนต่ำเกินกว่าสิ่งมีชีวิตในทะเลจะดำรงชีพอยู่ได้ ในปี ค.ศ. 2001 พื้นที่ทะเลจำนวนมากในอ่าวเม็กซิโกกลายเป็นเขตมรณะไปแล้วเกือบ 8,000 ตารางไมล์ ไม่ใช่เรื่องบังเอิญที่เขตมรณะเกือบทั้งหมดจากที่มีอยู่ 150 เขต (และกำลังเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ) ในโลก มักอยู่ตรงปากแม่น้ำ ชายฝั่งสหรัฐฯ นั้นมีอยู่เกือบ 50 เขตด้วยกัน แม้ว่าไนโตรเจนส่วนใหญ่อาจเกิดขึ้นมาตามธรรมชาติในแม่น้ำ แต่ฟอสฟอรัสจากน้ำเสียและไนโตรเจนจากท่อไอเสียรถยนต์ยิ่งซ้ำเติมภาวะนี้ให้สาหัสมากขึ้น
พร้อมกันนี้ การประมงสัตว์น้ำทะเลที่พุ่งขึ้นสู่จุดสูงสุดในปี ค.ศ. 2000 เริ่มตกต่ำลงอย่างรวดเร็ว ทั้งๆ ที่เทคโนโลยีการเดินเรือและการทำประมงแบบเข้มข้นมีความก้าวหน้ามาก ‘ประสิทฺธิภาพ’ ในการทำประมงทะเลทำให้ชีวิตสัตว์ทะเลลดน้อยถอยลงอย่างไม่เคยมีมาก่อน เรือประมงใหญ่ๆ มักจับสัตว์น้ำที่ไม่ต้องการถึง 25% แล้วทิ้งสัตว์น้ำเหล่านี้ที่ตายแล้วหรือใกล้ตายกลับลงทะเล นอกจากนั้น เรืออวนลากยังกวาดพื้นทะเลเรียบเหี้ยนราวกับรถไถ ทำลายระบบนิเวศท้องทะเลมากกว่าการตัดไม้ทำลายป่าแต่ละปีถึง 150 เท่า การเพาะเลี้ยงสัตว์ทะเลก็ไม่ดีไปกว่า ปลาแซลมอนเลี้ยงน้ำหนักทุก 1 ปอนด์ ต้องกินปลาที่จับมาจากทะเลถึง 3 ปอนด์ ลูกสัตว์ทะเลก็อยู่ในภาวะอันตราย ทั้งนี้เพราะระบบบริบาลตามธรรมชาติถูกทำลายลง
ในขณะที่วิทยาศาสตร์ในปัจจุบันสอนเรามากมายในห้องเรียนเกี่ยวกับระบบนิเวศวิทยาและการเกื้อกูลชีวิตในธรรมชาติ แต่การปฏิบัติของมนุษย์ในโลกภายนอกกลับทำลายระบบที่โอบอุ้มมนุษย์เองอย่างไม่บันยะบันยัง
#4
โพสต์เมื่อ 30 October 2006 - 10:09 PM
ทำใจใสๆ ครับ ...
สร้างบารมี ตามหลวงพ่อท่าน ทุกๆ บุญ
ก็พอครับ เรื่องภายนอก เป็นเรื่องร้อนๆ ครับ
คำทำนาย หรือหลักการอะไร ก็เปลี่ยนแปลง พุทธพจน์ ของพระพุทธองค์ไม่ได้ครับ ...
สาธุ ... ครับ
เ มื่ อ เ ร า ส ว่ า ง * * * โ ล ก * * * ก็ ส ว่ า ง ด้ ว ย ^^~*
ส า ธุ . . . ค รั บ ^^~*
#5
โพสต์เมื่อ 30 October 2006 - 10:35 PM
แต่ลูกพระราชฯ ถึงยังไงก็มีบุญช่วยอยู่เบื้องหลังอยู่แล้วค่ะ ไม่ต้องห่วงเลย ขอให้มั่นใจนะคะ..

#6
โพสต์เมื่อ 30 October 2006 - 11:29 PM
#7
โพสต์เมื่อ 31 October 2006 - 03:48 AM
เมื่อหลายปีก่อนหน้านี้ ก็มีข่าวเกี่ยวกับมหันตภัยระดับโลก จนสร้างเป็นหนังภาพยนต์ทำรายได้สูงกันหลายเรื่อง
เรื่องภัยพิบัติมีเกิดขึ้นเรื่อยๆ เป็นย่อมๆอยู่จริงค่ะ แต่ไม่ถึงขั้นโลกแตก เพราะว่าตอนนี้ยังมีผู้มีบุญมาสร้างบารมีกันอยู่ค่ะ
ทำใจใสๆ ปฏิบัติธรรม แล้วแผ่เมตตาอยู่เป็นประจำจะทำให้เราไม่วิตกกังวลจนเกินไป
กระแสบุญกับบาปของสัตว์โลก ปะทะกันอยู่ตลอด เรามีหน้าที่รักษาใจไว้ในองค์พระ และเข้ากลางค่ะ
เป็นกัลยาณมิตรให้ผู้คนทำทาน รักษาศีล บำเพ็ญภาวนา แล้วจะมีอะไรดีขึ้นไปเองค่ะ
แต่ถ้าเราไม่ทำบุญ แล้วไปหลงข่าว ก็จะทำให้ใจหดหู่ อ่อนแรง เป็นช่องให้วิบากกรรมเก่ามาซ้ำเติมได้ง่ายนะคะ
เราควรฝึกทำใจให้ใสๆ ทำทานปล่อยสัตว์ ช่วยเหลือคน ให้อภัย ทำหน้าที่ต่างๆในงานบุญ รักษาศีล 5 และ8 (อธิศีลยิ่งดีค่ะ)
และทำสมาธิทุกวัน นึกถึงหลวงปู่ องค์พระอยู่เนืองๆ ท่องสัมมาอะระหังเอาไว้ ความวิตกกังวลจะค่อยๆหายไปเองค่ะ
ผู้ที่มีจิตใจเข้มแข็งที่สุด ย่อมเป็นผู้ที่สุภาพนุ่มนวลที่สุด
#8
โพสต์เมื่อ 31 October 2006 - 09:39 AM
ปัญหา ทางพระพุทธศาสนาเชื่อหรือไม่ว่า ความประพฤติดีหรือชั่วของมนุษย์ มีผลกระทบกระเทือนต่อการทำงานของธรรมชาติ ?
พุทธดำรัสตอบ ..... ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย สมัยใดพระราชาไม่ตั้งอยู่ในธรรมสมัยนั้น แม้พวกข้าราชการก็ไม่ตั้งอยู่ในธรรม เมื่อข้าราชการไม่ตั้งอยู่ในธรรมแม้พราหมณ์และคฤหบดีก็ไม่ตั้งอยู่ในธรรม เมื่อพราหมณ์และคฤหบดีไม่ตั้งอยู่ในธรรม แม้ชาวนิคมและชาวชนบทก็ไม่ตั้งอยู่ในธรรม เมื่อชาวนิคมและชาวชนบทไม่ตั้งอยู่ในธรรม พระจันทร์และพระอาทิตย์ย่อมโคจรไม่สม่ำเสมอ เมื่อพระจันทร์พระอาทิตย์โคจรไม่สม่ำเสมอ หมู่ดาวนักษัตรก็ย่อมหมุนเวียนไม่สม่ำเสมอ เมื่อหมู่ดาวนักษัตรโคจรไม่สม่ำเสมอ วันและคืนย่อมหมุนเวียนโคจรไม่สม่ำเสมอ เมื่อวันและคืนหมุนเวียนไม่สม่ำเสมอ เดือนหนึ่งและกึ่งเดือนก็หมุนเวียนไม่สม่ำเสมอ..... ฤดูและปีก็หมุนเวียนไม่สม่ำเสมอ... เทวดาย่อมกำเริบเมื่อเทวดากำเริบ ฝนย่อมไม่ตกต้องตามฤดูกาล... ข้าวกล้าทั้งหลายก็สุกไม่เสมอกัน
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย มนุษย์ผู้บริโภคข้าวที่สุกไม่เสมอกัน ย่อมมีอายุสั้น มีผิวพรรณเศร้าหมอง มีกำลังน้อย มีโรคภัยไข้เจ็บมาก....
ธรรมิกสูตร จ. อํ. (๗๐)
ตบ. ๒๑ : ๙๗-๙๘ ตท. ๒๑ : ๘๖-๘๗
ตอ. G.S. II : ๘๔-๘๕
#9
โพสต์เมื่อ 31 October 2006 - 12:42 PM
http://www.dmc.tv/fo...?showtopic=4171

#10
โพสต์เมื่อ 31 October 2006 - 12:50 PM
#11
โพสต์เมื่อ 31 October 2006 - 03:35 PM
เป็นสรณะภายใน เทียงแท้
กว่านี้ บ่ มีใด เทียบได้
น้อบนบท่านไว้แล ค่ำเช้าสุขเสมอ
เอาบุญมาฝากจ้า นั่งสมาธิเยี่ยมไปเลย แถมไปติดจานมาอีกด้วย เด็กชาวเขานี้น่ารักนะแม้คุยไม่รู้เรื่องก็ตามล่ะ สนุกดี
#12
โพสต์เมื่อ 31 October 2006 - 08:06 PM


#13
โพสต์เมื่อ 31 October 2006 - 09:48 PM
#14
โพสต์เมื่อ 31 October 2006 - 11:19 PM
พระอุปคุตเถระ ท่านนั้งสมาธิอยู่ใต้ทะเลไม่เห็นท่านจะบ่นสักคำว่าน้ำท่วม
พวกเราทั้งหลายก็ลองนั้งสมาธิกันมากๆ น่ะครับ
รับรองเลิกวิตก เลิกแตกตื่น และเลิกกลัวน้ำท่วม แน่นอน
#15
โพสต์เมื่อ 01 November 2006 - 12:02 AM
ต้องถึงธรรมอย่างเสบย แน่แท้
ให้ทำอย่างที่เคย สอนสั่ง
นั่ง บ่ มีข้อแม้ จักได้ธรรมครอง
สุนทรพ่อ
มาร่วมกันสร้างสันติสุขให้กับโลกกันเถอะ
#16
โพสต์เมื่อ 01 November 2006 - 06:38 PM
เพราะฉะนั้น จากนี้ไปอีกสองพันกว่าปีโลกจะยังไม่ถึงกาลอวสานแน่นอน
เชื่อเสด็จพ่อของเราเถอะ