
เซ็งมากๆเจอเเบบนี้เข้าไปไม่อยากเกิดอีกเเล้ว
#1
โพสต์เมื่อ 23 April 2007 - 11:00 PM
คือก็ผิดเองน่ะเเหละค่ะ เเต่เเน่ใจว่าไม่ใช่ความผิดที่ต้องด่าขนาดนั้น
คือรักพ่อเเม่นะคะ ไม่ใช่ไม่รัก เเต่อยู่บ้านเเล้วปวดหัวมากๆ
จริงๆปิดเทอมวางเเผนจะหนีไปสมาธิเเก้ว เเต่เพราะป่วย
เลยไปไม่ได้ ประกอบกับพ่อไม่อยากให้ไป เเละก็ห่วงบ้าน
เเต่อยู่บ้านเเล้วเครียดมาก ด้วยความเป็นคนดื้อด้าน
ไม่ชอบให้ใครสั่ง เเละไม่สั่งใคร
อยู่นอกบ้าน เจอเเต่คนรอบข้างที่ทำให้เราต้องยอมตลอด
เเต่อยู่บ้านกับพ่อเเม่ เราก็ต้องเจออีก รู้นะคะว่าหวังดี
เเต่ด่าว่าเหมือนไปเก็บกดมาจากข้างนอก
หวังว่านี่ไม่ใช่การประจานนะคะ เพราะดิฉันคงไม่เปิดตัวเเน่นอน
เเค่ความผิดทำผมปิดรูน้ำ เเล้วลืมเก็บ ลืมให้ข้าวหมา
ไม่เก็บห้อง ทำห้องรกบ่อย ไม่ค่อยซักผ้า
เล่นอินเตอร์เน็ตนาน(เเต่ทีวีไม่เเตะเลยนะคะ)
ตื่นสาย 8โมงเช้าเนี่ยเเหละ คนอื่นสายกว่าอีก
ด้วยความที่ชอบทำหูทวนลมบ่อยๆ กลัวบาปค่ะ
เถียงบ่อยด้วย เเต่ไม่ได้หนีตามผู้ชายนะคะ
ทำเเค่ที่บอกมาด้านบน ผลการเรียนเราก็ดี
นั่นเเหละค่ะ เลยไม่อยากมาใช้กรรมอีกเเล้ว อยากไปโลดเลย
ขอโทษที่มาทำตัวเเย่ๆในนี้ เเต่ไม่รู้จะไประบายที่ไหนดีอะค่ะ
เผื่อมีใครมีวิธีทำใจ
อยากได้วิธีทำใจที่ช่วยให้ไม่เถียง ไม่เครียด ไม่คิดว่าเเม่อยากให้เราเครียดน่ะค่ะ
มันบั่นทอนจิตใจมากๆ เลยไอ้ความเลวในจิตใจตัวเอง
#2
โพสต์เมื่อ 23 April 2007 - 11:24 PM
ขอฝาก วิสุทธิวาจา ของพระมงคลเทพมุนี (สด จันทสโร)
ตามที่แนบมานะครับ
ไฟล์แนบ
#3
โพสต์เมื่อ 24 April 2007 - 09:28 AM
พยายามฝึกฝนตัวเราเองขึ้นอีกนิด เพราะเชื่อมั่นว่าคุณทำได้แน่นอน
ลองเก็บกวาดทำให้ห้องน้ำให้สะอาด ทำห้องนอนให้สะอาด ใจเราก็จะสว่างไสว เมตตาหมาด้วยการให้มันทานข้าวทุกมื้อ เหมือนเราที่ต้องทานข้าวทุกวัน
ยิ้มแย้มแจ่มใสกับบิดามารดา เคารพบพนอบ
ที่สำคัญลองนั่งสมาธิมากขึ้นอีกหน่อย
แล้วเราจะเป็นที่รักและเอ็นดู จากที่น่ารักอยู่แล้ว อีกเป็นกองเลยนะ
สู้ๆนะครับ
#4
โพสต์เมื่อ 24 April 2007 - 11:17 AM
เราก็ต้องเปลี่ยนที่ตัวเอง ... อย่างเช่นว่าเมื่อท่านว่ามาก็รับฟังและปฏิบัติตามจนท่านหาข้อตำหนิหรือติเราไม่ได้ แล้วก็ทุกครั้งที่โดนท่านว่าก็ให้นึกในใจอยู่เสมอว่าท่านมีพระคุณกับเรามากมายเกินกว่าที่เราจะทดแทนหมด เพราะฉะนั้น อย่าโกรธท่านนะคะ เพราะว่าจะกลายเป็นบาปไปอีก เราได้เข้าวัดแล้ว รู้หลักวิชาแล้ว ก็ค่อยๆเอาไปปฏิบัตินะคะ แล้วทำใจให้สงบก็จะพบทางออกค่ะ...ฝากเพลงนี้ไปให้ฟังนะคะ...ถ้าเกิดว่าใจเย็นลงแล้วก็ขอแนะนำว่าให้ไปกราบท่านนะคะ ขอฝากไว้แค่นี้ค่ะ.. สู้ๆค่ะ
http://www.dmc.tv/pr...mv/page10.html#
เพลงที่ให้อยู่ฝั่งขวามือนะคะ ชื่อเพลง แค่นี้ก็บุญหนักหนา ...ลองเปิดดูนะคะ

#5
โพสต์เมื่อ 24 April 2007 - 12:03 PM
เห็นพ่อกับแม่เราจะเตรียมว่าเรา เรายิ้มในท่าน อย่างเป็นมิตร แล้วฟังท่านอย่างนิ่งๆ
อย่างความนิ่งชนะทุกอย่าง แล้วเราก็ทำตามที่ท่านบอก เช่นให้ข้าวสุนัข ทำความสะอาดบ้าน ด้วยใจที่ใสๆ และระหว่างที่ทำไปเราก็ทำความสะอาดใจไปได้ ยิ้มไปด้วย แล้วใจเราก็จะใสๆๆ เองค่ะ
เป็นกำลังใจให้นะคะ
ปล. ถ้าเล่นเน็ตนานๆ แต่เล่นไม่มีสาระ ลองเปิด www.dmc.tv มาดู dmc สดก็ได้นะคะ เวลาพ่อแม่ท่านว่าเรา เราก็บอกว่า เราฟังธรรมะอยู่ค่ะ ใจใสๆนะคะ
หยุดนั่นเองเป็นตัวสำเร็จ
ทั้งทางโลกและทางธรรม สำเร็จหมด
#6
โพสต์เมื่อ 24 April 2007 - 12:20 PM
อยู่นอกบ้าน เจอเเต่คนรอบข้างที่ทำให้เราต้องยอมตลอด
- ทำลายความดื้อด้านออกจากจิตใจ
- ควบคุมอารมณ์ ใช้เหตุผลเป็นหลัก
#7
โพสต์เมื่อ 24 April 2007 - 01:43 PM
คุณพ่อคุณแม่ในยุคก่อนๆ จะเข้าวัดทำบุญฟังธรรมจนเป็นกิจวัตร-จนเป็นนิสัย จิตใจท่านก็จะสบาย ไม่เครียด และมีธรรมะดีๆที่ได้ฟังได้ศึกษามาถ่ายทอดให้กับบุคคลอันเป็นที่รักในบ้าน คือ บุตร หลาน ฯลฯ ทำให้บุตรหลานทั้งรักและเคารพในตัวท่าน ดุจปูชนียบุคคล ดุจพระอรหันต์ภายในบ้าน
แต่น่าเสียดาย คุณพ่อคุณแม่ในยุคหลังๆ มักจะห่างจากการเข้าวัดทำบุญฟังธรรมจนเคยชิน จิตใจท่านก็ไม่ได้รับการชำระล้างความเครียด ทำแต่งานทางโลก แต่งานทางใจกลับละเลย ใจก็เลยไม่สบายนัก และก็ไม่รู้จะเอาธรรมะอะไรมาถ่ายทอดให้กับบุคคลอันเป็นที่รักภายในบ้านได้ จึงได้แต่นำความรู้สึกส่วนตัว หรือประสบการณ์ทั้งหมดที่ผ่านมาในชีวิต มาตอกย้ำพร่ำสอนบุตรหลาน โดยเข้าใจไปเองว่า นั่นคือสิ่งที่ดีที่สุดที่ตั้งใจมอบให้กับคนที่ตนรักที่สุดในบ้านแล้ว
เมื่อสถานการณ์เป็นเช่นนี้ เราผู้เป็นลูก ก็ต้องหาทางออกให้กับตัวเราและให้กับคุณพ่อคุณแม่ด้วยกันทั้งสองฝ่ายแบบบัวไม่ให้ช้ำน้ำไม่ให้ขุ่น เพราะท่านก็แค่ "ไม่เข้าใจ" ไม่ใช่ "ไม่รัก"เรา และด้วยความเหน็ดเหนื่อยจากหน้าที่การงานหาเงินมาให้เราใช้ มาเป็นค่าใช้จ่ายภายในบ้าน ท่านก็เลยอาจขาดความยืดหยุ่นในหลายๆเรื่องไปบ้าง
ทางออกก็คือ ให้ทำความเข้าใจและปฏิบัติตนให้เหมาะสมกับฐานะของตัวเราซึ่งเป็นลูกเพื่อจะได้ไม่กลายเป็นวิบากกรรมติดตัวเราไป ดังต่อไปนี้
1.เข้าใจท่านก่อน แล้วท่านจะเข้าใจเรา (หันมาตรวจสอบความประพฤติของตนเอง โดยใช้มุมมองของท่าน มิใช่มุมมองของเรา แล้วจะทำให้เข้าใจว่า ทำไมท่านจึงพูดและทำกับเราดังที่ผ่านมา จากนั้นให้เราหาโอกาสดีๆ เช่น ตอนที่ท่านกำลังสบายอกสบายใจ วันเกิดของท่าน ฯลฯ อธิบายความรู้สึกของเราที่เราได้รับจากคำพูดและการกระทำของท่าน และอธิบายเหตุผลว่าทำไมเราจึงมีความประพฤติดังที่ผ่านมา เพื่อให้ท่านทราบในมุมมองของเราบ้าง เพราะอย่าลืมว่า แม้ท่านจะเคยผ่านความเป็นเด็กอย่างเรามาก่อน แต่กาลเวลาและความรับผิดชอบที่เพิ่มขึ้นย่อมทำให้มุมมองเปลี่ยนไป หรือหลงลืมความรู้สึกบางอย่างไป)
2.หาทางพาท่านเข้าวัดฟังธรรม หรือหาสื่อธรรมะมาให้ท่านได้ศึกษา ชวนท่านทั้งสองทำทาน รักษาศีล และสวดมนต์นั่งสมาธิที่บ้านด้วยกัน เพื่อให้บุญที่เกิดจากการปฏิบัติดังกล่าวมาละลายทิฏฐิมานะที่มีต่อกัน แล้วจะได้หันหน้าเข้าหากันได้อย่างสนิทใจ (อย่าลืมว่า ทั้งตัวเราเอง และคุณพ่อคุณแม่ ต่างก็ยังไม่หมดกิเลส ด้วยกันทั้งสองฝ่าย จึงต้องให้อภัยในความบกพร่องของกันและกันทุกครั้งเสมอ) และแน่นอนว่า การที่เราจะชวนท่านมาทางนี้ได้ ตัวของเราเองนั่นแหละ จะต้องขยันทำความดีให้เพิ่มขึ้น เช่น ช่วยงานที่บ้านทำความสะอาดห้องนอน ห้องทำงาน ห้องรับแขก ห้องกินข้าว ห้องครัว ห้องน้ำ ซักผ้า ตากผ้า ล้างจาน กวาดบ้าน ถูบ้าน ทำกับข้าว ตื่นนอนแต่เช้าไปโรงเรียนและใส่บาตรโดยไม่ต้องให้ท่านคอยปลุก ฯลฯ จนกระทั่งคุณพ่อคุณแม่เห็นและยอมรับในความดีของเรา แล้วจากนั้นเราจะชวนท่านมาทำความดีก็เป็นเรื่องไม่ยากจนเกินไป และยังทำให้ท่านบ่นเราน้อยลง เพราะตัวเรามีความมีวินัย ความรับผิดชอบต่อครอบครัว และมีน้ำใจต่อคนในบ้าน เพียงพอที่ท่านจะปล่อยให้เราตัวของตัวเองมากขึ้น
3.เห็นใจท่านบ้าง และรับรู้ถึงความรักที่ท่านมีต่อเราซึ่งเราอาจมองข้ามไป
- ตั้งแต่ท่านอุ้มท้องเรา ต้องทนอดของที่อยากจะกินอยากจะดื่ม เพื่อรักษาสุขภาพของลูกน้อยในครรภ์ และต้องทนปวดทนเมื่อยแค่ไหนตลอดเวลา 9 เดือน จะลุกจะเดินจะทำอะไรก็ลำบากไม่สบายตัว
- ตอนคลอดเรา ต้องทนเจ็บแค่ไหน บางครั้งต้องเอาชีวิตเข้าเสี่ยง เป็นตายเท่ากัน
- เมื่อเรายังเล็กจำความยังไม่ได้ เวลาเราป่วย ท่านต้องคอยอดหลับอดนอนปฐมพยาบาลดูแลไข้เราทั้งคืน หรือหลายๆคืน เพราะห่วงเราเป็นที่สุด ถ้าป่วยแทนลูกได้พ่อแม่ก็ยอม
- ท่านต้องเหน็ดเหนื่อยทำงาน หาเงินมาเป็นค่าเลี้ยงดู ค่าเล่าเรียน(ค่าเทอม) ค่ารักษาพยาบาล ค่าใช้จ่ายภายในบ้าน ฯลฯ ทำให้เราไม่ต้องลำบาก จะกินจะเรียนจะเที่ยวเราจึงทำได้ ถ้าหากไม่มีท่านเราก็คงอยู่อย่างลำบาก (คนที่ยังเรียนไม่จบ และยังไม่เคยต้องทำงานหาเงินมาเป็นค่าใช้จ่ายเอง จะไม่มีวันเข้าใจเรื่องนี้อย่างซาบซึ้ง พ่อแม่ทำงานเหนื่อยแต่ยอมให้เงินเราใช้ได้อย่างสบายก็เพราะท่านรักเรามากจริงๆ)
- เมื่อถึงวัยทำงาน จะลงทุนทำธุรกิจ ท่านก็เป็นทั้งที่ปรึกษาและกองทุนให้กับเราสร้างเนื้อสร้างตัว และพอลูกจะแต่งงานมีครอบครัว ท่านก็เป็นธุระเรื่องสินสอดทองหมั้น คอยประคับประคอง คอยให้กำลังใจ แม้ในยามที่เรามีบุตรแล้ว หากเราติดภาระกิจจำเป็นท่านก็ยินดีดูแลหลานให้
- แม้บางครั้ง หากลูกจะต้องเดินทางจากโลกนี้ไปก่อนด้วยเหตุสุดวิสัย ท่านอีกนั่นแหละ ที่จะเป็นธุระจัดการงานฌาปนกิจของเรา ซึ่งมีปรากฏให้เห็นมาหลายรายแล้ว
ถามดูเถอะว่า ใครจะมารักและคอยห่วงใยดูแลเราตั้งแต่เกิดจนกระทั่งเราตายบ้าง ?
ดังนั้น ความผิดพลาดประการใดที่ท่านมี ก็ให้เสมือนรอยเท้าบนผืนทรายเถิด แล้วให้เราหมั่นมองคุณความดีของท่านให้มากๆ นั่นแหละจะเป็นทางไปสู่สวรรค์ของผู้เป็นลูก ผู้ได้ชื่อว่า ผู้ยังหทัยของพ่อแม่ให้เต็มอิ่ม...
หมายเหตุ อยากให้ได้ไปอ่านมงคลชีวิต 38 ประการข้อที่ 11 และ 12 ดู แล้วเราจะได้พบคำตอบถึง สิ่งที่เราพึงกระทำต่อบิดามารดา และสิ่งที่บิดามารดาพึงกระทำต่อบุตร ว่าเป็นเช่นใด ซึ่งพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงไว้อย่างละเอียดชัดเจนดีแล้วทุกประการ....
สุดท้ายนี้ ก็ขอเป็นกำลังใจให้สามารถผ่านวิกฤตกำแพงใจที่มีต่อกันไปให้ได้ แล้วเราจะรู้ว่า ยังมีอีกหลายคนที่เขาไม่มีพ่อแม่ให้คอยได้รับไออุ่น ไม่มีพ่อแม่ซับน้ำตาในยามเศร้า ไม่มีคำพูดให้กำลังใจในยามท้อแท้สิ้นหวัง ไม่มีพ่อแม่ให้คอยเถียงคอยปรึกษาหารือ...แม้แต่เพียงครั้งเดียว

#8
โพสต์เมื่อ 24 April 2007 - 02:28 PM
น้องรู้คำตอบและทางออกอยู่แล้ว
ท่านติเตียนเรื่องใด เราก็แก้ไขเรื่องนั้น
นี่เป็นด่านแรกของการใช้ชีวิตทางโลก
เมื่อน้องโตขึ้น ออกไปเผชิญโลกภายนอกแบบท่านบ้าง
น้องจะรู้ว่าปัญหานี้เล็กนิดเดียว
ท่านติ ท่านดุ ยังมีพื้นฐานมาจากความรัก
แต่โลกภายนอกน้องเจอหนักกว่านี้แน่นอน
หยุด นิ่ง เฉย ทำให้ได้ แล้วน้องจะสามารถอยู่ร่วมกับทุกคนได้นะคะ
เอาใจช่วยค่ะ
#9
โพสต์เมื่อ 24 April 2007 - 04:53 PM
แล้วทุกๆอย่างจะค่อยๆ ดีขึ้นเองค่ะ
อย่าเพิ่งท้อแท้ หรือหมดกำลังใจละนะ สู้ๆ (สู้กับตัวเอง)
#10
โพสต์เมื่อ 25 April 2007 - 05:25 PM
จริงๆก็อยากมาปรับปรุงตัวน่ะเเหละค่ะเลยเข้ามาขอคำเเนะนำ
ขอบคุณมากๆนะคะ สาธุกับการให้ธรรมะของทุกท่านด้วยค่ะ
รู้สึกมั่นใจในศาสนาพุทธของเราจริงๆค่ะ ว่าเป็นของเเท้
สอนให้เเก้ปัญหาที่ตัวเรา (ซึ่งมันควรจะเป็นอย่างนั้น)
สาธุกับการให้ธรรมเป็นทานของทุกท่านค่ะ
#11
โพสต์เมื่อ 26 April 2007 - 11:06 AM
#12
โพสต์เมื่อ 26 April 2007 - 01:23 PM
#13
โพสต์เมื่อ 27 April 2007 - 11:05 PM
#14
โพสต์เมื่อ 13 June 2007 - 10:13 PM
#15
โพสต์เมื่อ 13 June 2007 - 10:35 PM
เป็นโอกาสดี ที่จะพัฒนา พรหมวิหาร4
พระท่านกำลังลองใจ