ก็คือว่าถ้าคนที่นับถือศาสนาคริส ถามเราว่าคนที่นับถือคริสก็เป็นคนเหมือนกัน ไม่เห็นมีใครต้องไปนรกหรือไปสวรรค์ เลยในเมื่อเค้าก็เป็นคนเหมือนกัน และในหลักความเป็นจริงแล้วคนตายทุกคน(สมมุติว่าตายแล้วมีวิญญาณจริงๆ)ในโลกนี้ต้องไปในที่เดียวกันสิ แต่ทำไมปัจจุบันนี้ ต่างคนต่างนับถือศาสนาของตนเองแล้วก็อ้างว่า คนเราตายแล้วจะไปโน้นไปนี้ เช่นศาสนาพุทธตายแล้วได้ไปสวรรค์หรือไม่ก็ตกนรก ส่วนคริสก็บอกว่าตายแล้วพระเจ้าเยชูมารับช่วยไถ่บาป

คนที่นับถีอศาสนาอื่นคิดแบบนี้แล้วเราจะตอบยังไงคับ
เริ่มโดย ลูกน้อย, Jun 06 2007 03:46 PM
มี 11 โพสต์ตอบกลับกระทู้นี้
#1
โพสต์เมื่อ 06 June 2007 - 03:46 PM
#2
โพสต์เมื่อ 06 June 2007 - 05:06 PM
นั่นเป็นเรื่องของความเชื่อในแต่ละศาสนาครับ
แต่สำหรับศาสนาพุทธสอนว่า นรกสวรรค์เป็นของสากลของสรรพสัตว์ทุกชาติทุกภาษา ทั้งคนสัตว์ เทวดาพรหม เป็นสากลหมด เมื่อละจากโลกไปก็มีนรกมีสวรรค์ เป็นที่เดียวกัน ในคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสอนไว้ชัดเจน และยังสอนวิธีการพิสูจน์ให้ไปรู้ไปเห็นของจริงใด้ด้วยตัวเองอีกด้วย
แต่สำหรับศาสนาพุทธสอนว่า นรกสวรรค์เป็นของสากลของสรรพสัตว์ทุกชาติทุกภาษา ทั้งคนสัตว์ เทวดาพรหม เป็นสากลหมด เมื่อละจากโลกไปก็มีนรกมีสวรรค์ เป็นที่เดียวกัน ในคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสอนไว้ชัดเจน และยังสอนวิธีการพิสูจน์ให้ไปรู้ไปเห็นของจริงใด้ด้วยตัวเองอีกด้วย
#3
โพสต์เมื่อ 06 June 2007 - 05:39 PM
ความเชื่อเอาใว้บนหิ้ง ความจริงเอาใว้พิสูจน์นะครับ
ใจหยุดคือ ที่สุดแห่งบุญ
#4
โพสต์เมื่อ 06 June 2007 - 06:04 PM
ความเชื่อก็คือความเชื่อ ส่วนความจริงก้คือความจริง
ทุกคนมีสิทธิ์ที่จะเชื่อ
แต่ความเชื่อนั้นจะจริงหรือไม่
มันอีกเรื่องหนึ่ง
ทุกคนมีสิทธิ์ที่จะเชื่อ
แต่ความเชื่อนั้นจะจริงหรือไม่
มันอีกเรื่องหนึ่ง
นำมอ ตี่ จ่าง อ้วง ผู่ สัก
#5
โพสต์เมื่อ 06 June 2007 - 10:16 PM
ศาสนาพุทธ เป็นศาสนาแห่งเหตุและผล ต้องการทราบผล ขอให้ปฏิษัติตามหลักของศาสนา พิสูจน์ด้วยตัวขอเขาเองนะครับ
สาธุๆๆ
สาธุๆๆ
#6
โพสต์เมื่อ 07 June 2007 - 03:20 AM
ครับ เขาถูกสอนมาแบบนั้นตั้งแต่เด็ก ก็เหมือนเรา จะเปลี่ยนไปเชื่อแบบเขาซะงั้น ก็ยากครับ
เราก็เอาง่ายๆครับ คนเหมือนกัน ทำชั่วยังไปนอนคุกเลย พระเจ้าก็ไม่ได้มาไถ่บาปนี่
แต่ผมยินดีเชื่อว่าตายแล้วจะมีนรก เพราะผมจะไม่กล้าทำชั่วทั้งในที่ลับและที่แจ้ง
ผมเชื่อว่ากรรมมีจริง เพราะผมจะได้มีเมตตากับทุกคนทั่วโลก (ว้าว)
จะได้รักทุกคนเหมือนรักตัวเองไงล่ะ
เราก็เอาง่ายๆครับ คนเหมือนกัน ทำชั่วยังไปนอนคุกเลย พระเจ้าก็ไม่ได้มาไถ่บาปนี่
แต่ผมยินดีเชื่อว่าตายแล้วจะมีนรก เพราะผมจะไม่กล้าทำชั่วทั้งในที่ลับและที่แจ้ง
ผมเชื่อว่ากรรมมีจริง เพราะผมจะได้มีเมตตากับทุกคนทั่วโลก (ว้าว)
จะได้รักทุกคนเหมือนรักตัวเองไงล่ะ
ชีวิตคือการเดินทาง ไม่ใช่จุดหมายปลายทาง
#7
โพสต์เมื่อ 07 June 2007 - 06:52 AM
สำหรับผมแล้ว ผมยังเป็นวัยรุ่น ผมจะบอกว่าไม่เชื่อเรื่องนรก สวรรค์ไม่รู้จะโกรธผมหรือป่าว แต่ที่รู้ผมไม่อยากทำบาป และเวลาที่ผมได้ช่วยเหลือคนที่เค้าลำบากกว่าผม ผมจะรู้สึกดีเสมอ
#8
โพสต์เมื่อ 07 June 2007 - 08:03 AM
เสียดายมาก แม้เกิดมาในยุคหลังพุทธกาลแค่สองพันกว่าปี แต่ไม่รู้จักพระุพุทธศาสนา ไม่รู้จักกฎแห่งกรรม ทำไม?
#9
โพสต์เมื่อ 07 June 2007 - 08:17 AM
พระเดชพระคุณคุณครูไม่ใหญ่สอนว่า นรก..สวรรค์..เป็นของกลางๆ เช่นเดียวกับ ดวงอาทิตย์..ดวงจันทร์..ที่มีดวงเดียว..ทำดีได้ดี..ทำชั่ว.ได้ชั่ว..ทุกชาติ..ทุกภาษา.ทุกศาสนา..ย่อมเหมือนกันหมด ไม่มียกเว้นในเรื่องของกฎแห่งกรรม...
#10
โพสต์เมื่อ 07 June 2007 - 09:07 AM
หุหุ ต่างศาสนาต่างความเชื่อกันแบบนี้จะอธิบายให้เขาฟัง ต้องมีสติ สมาธิ ไหวพริบและศึกษาอย่างดีเลิศถึงจะโต้ธรรมะกับบุคคลเหล่านั้นได้ และศึกษานี่ไม่ใช่แค่ของเราอย่างเดียวนะครับ เราต้องศึกษาเรื่องของเขาให้เข้าใจถึงแก่นแท้ของเขาด้วย พูดอย่างง่ายๆเลยต้องแน่จริงๆเท่านั้นครับ ไม่เช่นนั้นจนมุมหมดหนทาง ไม่แค่นั้นยังต้องอ้างอิงยกตัวอย่างอย่างง่ายๆที่สามารถให้เขาคิดตามได้ง่ายไม่ยากจนเกินไปด้วย อย่างหลวงพ่อทัตตะ ท่านศึกษาพระไตรปิฎกมาเป็นเวลานาน อ่านมาไม่ต่ำกว่า3รอบ และทุกรอบที่ท่านอ่านท่านจะพิจารณาด้วยสมาธิเจาะลึกเข้าไปหาแก่นแท้ของหัวข้อธรรมนั้นๆเก็บตัวอย่างจากสิ่งรอบตัวมายกเป็นตัวอย่างในหัวข้อธรรมนั้นๆ ลองสังเกตดูสิครับท่านที่เคยได้ฟังธรรมเทศนาของท่าน ทุกเรื่องทุกบทที่ท่านเทศน์สอน จะต้องมีตัวอย่างอย่างน้อย2ถึง3เรื่องในหัวข้อธรรมที่ท่านเทศน์ และตัวอย่างนั้นมิใช่อ้างอิงแต่ในพระไตรปิฎกอย่างเดียว ท่านยกเอาตัวอย่างนอกตำรามาด้วยนี่จึงเป็นสาเหตุที่ทำให้ท่านสามารถเทศนาสั่งสอนผู้อื่นให้เข้าใจได้อย่างง่ายดายครับ
อย่างคุณครูไม่ใหญ่ก็เช่นกัน เรื่องนรกสวรรค์ท่านก็ยกตัวอย่างมาเปรียบเทียบนั่นคือเป็นของกลางเหมือนพระอาทิตย์กับพระจันทร์ที่เป็นของกลางที่ทุกชาติทุกศาสนาต้องใช้ร่วมกันไงครับ
ในกรณีของเจ้าของกระทู้ ผมจะใช้ตัวอย่างของคุณครูไม่ใหญ่มาพูดให้เขาเข้าใจโดยเกริ่นบอกถามเจ้าของคำถามไปก่อนเช่น ถามเขาว่าในศาสนาของเขาเรียกนรกสวรรค์เหมือนกันใช่ไหม เช่นนั้นนรกสวรรค์ทั้งของเขาและของเราก็คล้ายกันใช่ไหม คือสวรรค์เป็นที่สำหรับคนทำความดี และนรกเป็นที่สำหรับคนทำชั่ว เช่นนั้นแล้วก็แสดงว่านรกสรรค์เป็นของกลางใช่ไหม ไม่ว่าจะศาสนาไหน ทำดีก็ขึ้นสวรรค์ทำชั่วก็ลงนรกเหมือนกันทุกศาสนาทุกเชื้อชาติทุกเผ่าพันธุ์ แล้วผมก็จะยกตัวอย่าง พระอาทิตย์กับพระจันทร์ว่าเป็นของกลางทุกเชื้อชาติทุกศาสนาทุกความเชื่อทุกเผ่าพันธุ์ต้องใช้ร่วมกัน หากเขาไม่เข้าใจอีกผมก็จะยกตัวอย่างอย่างอื่นเพิ่มเข้าไปเช่น น้ำ เป็นของกลาง ทุกคนทุกเชื้อชาติทุกศาสนาทุกเผ่าพันธุ์ทุกความเชื่อต้องใช้ดื่มกินใช่ไหม พยายามยกตัวอย่างจากสิ่งรอบตัวที่เขาสังเกตเห็นและเข้าใจได้มาครับ ที่สำคัญผมจะจบทิ้งท้ายเอาไว้ ไม่ว่าเขาจะคิดยังไงคือ “ถ้าคุณอยากรู้เหมือนผมมาพิสูจน์กับผมด้วยกัน” ครับ
อย่างคุณครูไม่ใหญ่ก็เช่นกัน เรื่องนรกสวรรค์ท่านก็ยกตัวอย่างมาเปรียบเทียบนั่นคือเป็นของกลางเหมือนพระอาทิตย์กับพระจันทร์ที่เป็นของกลางที่ทุกชาติทุกศาสนาต้องใช้ร่วมกันไงครับ
ในกรณีของเจ้าของกระทู้ ผมจะใช้ตัวอย่างของคุณครูไม่ใหญ่มาพูดให้เขาเข้าใจโดยเกริ่นบอกถามเจ้าของคำถามไปก่อนเช่น ถามเขาว่าในศาสนาของเขาเรียกนรกสวรรค์เหมือนกันใช่ไหม เช่นนั้นนรกสวรรค์ทั้งของเขาและของเราก็คล้ายกันใช่ไหม คือสวรรค์เป็นที่สำหรับคนทำความดี และนรกเป็นที่สำหรับคนทำชั่ว เช่นนั้นแล้วก็แสดงว่านรกสรรค์เป็นของกลางใช่ไหม ไม่ว่าจะศาสนาไหน ทำดีก็ขึ้นสวรรค์ทำชั่วก็ลงนรกเหมือนกันทุกศาสนาทุกเชื้อชาติทุกเผ่าพันธุ์ แล้วผมก็จะยกตัวอย่าง พระอาทิตย์กับพระจันทร์ว่าเป็นของกลางทุกเชื้อชาติทุกศาสนาทุกความเชื่อทุกเผ่าพันธุ์ต้องใช้ร่วมกัน หากเขาไม่เข้าใจอีกผมก็จะยกตัวอย่างอย่างอื่นเพิ่มเข้าไปเช่น น้ำ เป็นของกลาง ทุกคนทุกเชื้อชาติทุกศาสนาทุกเผ่าพันธุ์ทุกความเชื่อต้องใช้ดื่มกินใช่ไหม พยายามยกตัวอย่างจากสิ่งรอบตัวที่เขาสังเกตเห็นและเข้าใจได้มาครับ ที่สำคัญผมจะจบทิ้งท้ายเอาไว้ ไม่ว่าเขาจะคิดยังไงคือ “ถ้าคุณอยากรู้เหมือนผมมาพิสูจน์กับผมด้วยกัน” ครับ
1) พระปัญญาธิกพุทธเจ้า สร้างบารมีรวม 20 อสงไขย กับอีก แสนมหากัป (รวมระยะเวลาสร้างบารมีหลังรับพุทธพยากรณ์ คือ 4 อสงไขย กับ แสนมหากัป) เช่น พระสัมมาพุทธเจ้าองค์ปัจจุบัน คือ พระสมณโคมสัมมาสัมพุทธเจ้า (อย่างน้อยที่สุด)
2) พระศรัทธาธิกพุทธเจ้า สร้างบารมีรวม 40 อสงไขย กับอีก แสนมหากัป (รวมระยะเวลาสร้างบารมีหลังรับพุทธพยากรณ์ คือ 8 อสงไขย กับ แสนมหากัป) (อย่างน้อย)
3) พระวิริยาธิกพุทธเจ้า สร้างบารมีรวม 80 อสงไขย กับอีก แสนมหากัป (รวมระยะเวลาสร้างบารมีหลังรับพุทธพยากรณ์ คือ 16 อสงไขย กับ แสนมหากัป) เช่น พระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์ต่อไป คือ พระศรีอาริยเมตไตรยสัมมาสัมพุทธเจ้า (เป้าหมาย
2) พระศรัทธาธิกพุทธเจ้า สร้างบารมีรวม 40 อสงไขย กับอีก แสนมหากัป (รวมระยะเวลาสร้างบารมีหลังรับพุทธพยากรณ์ คือ 8 อสงไขย กับ แสนมหากัป) (อย่างน้อย)
3) พระวิริยาธิกพุทธเจ้า สร้างบารมีรวม 80 อสงไขย กับอีก แสนมหากัป (รวมระยะเวลาสร้างบารมีหลังรับพุทธพยากรณ์ คือ 16 อสงไขย กับ แสนมหากัป) เช่น พระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์ต่อไป คือ พระศรีอาริยเมตไตรยสัมมาสัมพุทธเจ้า (เป้าหมาย
#11
โพสต์เมื่อ 08 June 2007 - 11:44 AM
ถาม ในหลักความเป็นจริง คนสมัยก่อนกับคนสมัยนี้เห็นพระอาทิตย์ดวงเดียวกัน ก็ต้องเชื่อเหมือนกันสิ แต่ทำไม คนสมัยก่อนเห็นดวงอาทิตย์กลับเชื่อว่า ดวงอาทิตย์หมุนรอบโลก แต่คนสมัยนี้เห็นดวงอาทิตย์กลับเชื่อว่า โลกหมุนรอบดวงอาทิตย์ล่ะ ความจริงมันต้องเป็นอย่างใดอย่างหนึ่งเท่านั้น มิใช่หรือ
ตอบ ถูกต้องครับ ความจริงต้องเป็นอย่างเดียว คือ โลกโคจรรอบดวงอาิทิตย์ อ้าวแล้วทำไมคนสมัยก่อนเชื่ออย่างนั้นล่ะ อ๋อ เพราะความรู้ยังไม่ถึงน่ะครับ คนสมัยก่อนไม่มีวัสดุอุปกรณ์ที่จะส่องดูวงโคจรของดวงดาว อาศัยแต่มองด้วยสายตาอย่างเดียว จึงเชื่อไปเช่นนั้นน่ะครับ
นั่นคือ คนสมัยก่อน เห็นว่า แต่ละชั่วโมงที่เปลี่ยนไป ดวงอาทิตย์จะเลื่อนตำแหน่งจากขึ้นทิศตะวันออก แล้วไปตกทางทิศตะวันตก ดังนั้น คนสมัยก่อนจึงสรุปว่า ดวงอาทิตย์หมุนรอบโลก แต่คนสมัยนี้ทราบ เห็นที่เป็นเช่นนี้ ไม่ได้เกิดจากดวงอาทิตย์หมุนรอบโลก แต่เกิดจากโลกหมุนรอบตัวเอง และเมื่อมีอุปกรณ์ในการตรวจสอบวิเคราะห์ จึงได้ทราบว่า โลกหมุนรอบดวงอาทิตย์น่ะครับ
นรกสวรรค์ก็เช่นกัน ต้องใช้ใจที่ฝึกดีแล้ว จะเป็นอุปกรณ์พิสูจน์ธรรมชาติของโลกและจักรวาลได้ทั้งหมด เห็นตลอดทั้งจักรวาล ประดุจคนดูมะขามป้อมที่อยู่ในมือยังไงยังงั้นเลยล่ะครับ
ตอบ ถูกต้องครับ ความจริงต้องเป็นอย่างเดียว คือ โลกโคจรรอบดวงอาิทิตย์ อ้าวแล้วทำไมคนสมัยก่อนเชื่ออย่างนั้นล่ะ อ๋อ เพราะความรู้ยังไม่ถึงน่ะครับ คนสมัยก่อนไม่มีวัสดุอุปกรณ์ที่จะส่องดูวงโคจรของดวงดาว อาศัยแต่มองด้วยสายตาอย่างเดียว จึงเชื่อไปเช่นนั้นน่ะครับ
นั่นคือ คนสมัยก่อน เห็นว่า แต่ละชั่วโมงที่เปลี่ยนไป ดวงอาทิตย์จะเลื่อนตำแหน่งจากขึ้นทิศตะวันออก แล้วไปตกทางทิศตะวันตก ดังนั้น คนสมัยก่อนจึงสรุปว่า ดวงอาทิตย์หมุนรอบโลก แต่คนสมัยนี้ทราบ เห็นที่เป็นเช่นนี้ ไม่ได้เกิดจากดวงอาทิตย์หมุนรอบโลก แต่เกิดจากโลกหมุนรอบตัวเอง และเมื่อมีอุปกรณ์ในการตรวจสอบวิเคราะห์ จึงได้ทราบว่า โลกหมุนรอบดวงอาทิตย์น่ะครับ
นรกสวรรค์ก็เช่นกัน ต้องใช้ใจที่ฝึกดีแล้ว จะเป็นอุปกรณ์พิสูจน์ธรรมชาติของโลกและจักรวาลได้ทั้งหมด เห็นตลอดทั้งจักรวาล ประดุจคนดูมะขามป้อมที่อยู่ในมือยังไงยังงั้นเลยล่ะครับ
ได้ดี เพราะมีกัลยาณมิตร
#12
โพสต์เมื่อ 10 June 2007 - 02:23 AM
เรื่องนี้พูดมากไปมีแต่จะแย้งไปได้เรื่อยๆ
เอาอย่างนี้ดูไหมครับ
ชวนเขามาพิสูจน์กันดีกว่าก่อนตาย
ไม่ต้องรอจนตายถึงไปพิสูจน์
ให้รู้ให้เห็นในชาตินี้แหละครับ
ขอยกข้อมูลจากกัณฑ์เทศน์ของหลวงปู่ บางส่วนของกัณฑ์ที่40
โดยผม Format ให้เป็น Files JPEG (รูปภาพ)
ซึ่งได้ยกมาทั้งแบบดั้งเดิม
และแบบจับสาระสำคัญ
ดังที่แนบมาครับ
ซึ่งถ้าอยากพิสูจน์กันก็ค่อยคุยต่อ
ถ้าไม่ก็เปล่าประโยชน์ที่จะพูดเรื่องนี้กันอีก
เอาอย่างนี้ดูไหมครับ
ชวนเขามาพิสูจน์กันดีกว่าก่อนตาย
ไม่ต้องรอจนตายถึงไปพิสูจน์
ให้รู้ให้เห็นในชาตินี้แหละครับ
ขอยกข้อมูลจากกัณฑ์เทศน์ของหลวงปู่ บางส่วนของกัณฑ์ที่40
โดยผม Format ให้เป็น Files JPEG (รูปภาพ)
ซึ่งได้ยกมาทั้งแบบดั้งเดิม
และแบบจับสาระสำคัญ
ดังที่แนบมาครับ
ซึ่งถ้าอยากพิสูจน์กันก็ค่อยคุยต่อ
ถ้าไม่ก็เปล่าประโยชน์ที่จะพูดเรื่องนี้กันอีก