
ใครเคยเจออย่างนี้บ้าง
#1
โพสต์เมื่อ 19 June 2007 - 08:31 AM
ผิวถึงได้ผุดผ่อง และก็มีอื่นๆอีกมากมาย ผมก็ไม่ทราบว่าทำไมเค้าถึงไม่ยอมไปพิสูจน์ด้วยตัวเองกัน ในบางครั้งผมก็รู้สึกไม่ดี
นักเวลาใครพูดถึงเสียๆหาย ใครที่ผมพอจะพูดให้เข้าใจได้ผมก็พูด ใครมีท่าทางอคติมาก ผมก็เฉยๆไม่เถียงอะไร
ทุกวันนี้ผมก็พยายาม ที่จะสวดมนต์นั่งสมาธิ ทุกวันๆ ให้เคยชิน ให้เข้าถึงธรรม ไม่อยากเสียเวลากับผู้อื่นมาก ใครมีใจ
ผมก็แนะนำ บางคนไม่รับผมก็ไม่ไหว ผมอยากรู้ว่าทุกคนมีอย่างผมมั้ย และมีวิธีการในการพูดอย่างไร อนุโมทนาบุญด้วยครับ
อีกอย่างผมก็เข้าวัดได้ทุกวัดนะครับ ไม่ได้เฉพาะเจาะจงอะไร วัดในมีการปฎิบัติที่ดีงดงาม เราก็พลอยชื่นชมกะเค้าไปด้วย
สาธุ!!
*** คนสมัยนี้ชอบให้ผู้อื่นตัดสิน มากกว่าตัวเองตัดสิน ***
#2
โพสต์เมื่อ 19 June 2007 - 10:29 AM
#4
โพสต์เมื่อ 19 June 2007 - 01:07 PM
2) พระศรัทธาธิกพุทธเจ้า สร้างบารมีรวม 40 อสงไขย กับอีก แสนมหากัป (รวมระยะเวลาสร้างบารมีหลังรับพุทธพยากรณ์ คือ 8 อสงไขย กับ แสนมหากัป) (อย่างน้อย)
3) พระวิริยาธิกพุทธเจ้า สร้างบารมีรวม 80 อสงไขย กับอีก แสนมหากัป (รวมระยะเวลาสร้างบารมีหลังรับพุทธพยากรณ์ คือ 16 อสงไขย กับ แสนมหากัป) เช่น พระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์ต่อไป คือ พระศรีอาริยเมตไตรยสัมมาสัมพุทธเจ้า (เป้าหมาย
#5
โพสต์เมื่อ 19 June 2007 - 01:31 PM
#6
โพสต์เมื่อ 19 June 2007 - 01:54 PM
#8
โพสต์เมื่อ 19 June 2007 - 03:24 PM
ให้เขาเห็นว่าหลวงพ่อท่านสอนให้คนเป็นคนดี ได้เขาจะได้รู้เองหุหุ
#9
โพสต์เมื่อ 19 June 2007 - 03:36 PM
#10
โพสต์เมื่อ 19 June 2007 - 06:16 PM
แต่เดี๋ยวนี้ ไม่แล้วค่ะ ถ้าอธิบายแล้วเขาไม่ยอมเข้าใจ ก็วางอุเบกขาค่ะ เฉยๆๆ ก็เป็นกรรมไม่ดีของเขาไป เราช่วยเขาเท่าที่ช่วยได้ นอกนั้นเป็นบุญในตัวเขาแล้ว ปัญญา เขาแล้ว ที่จะต้องพิจารณาเอาเอง
#11
โพสต์เมื่อ 19 June 2007 - 09:36 PM
#12
โพสต์เมื่อ 20 June 2007 - 12:50 AM
แต่สิ่งที่ข้าพเจ้าได้เห็นมากับตาเลย ผู้ที่ปฏิบัติธรรม นั่งสมาธิบ่อยๆ หน้าตาจะสดใส ผิวพรรณผ่องใส เพราะพลังสมาธิได้รักษาสุขภาพภายในด้วย หน้าตาจะอิ่มบุญ ไม่จำเป็นต้องใช้ครีมประเทืองผิวใดๆเลย และข้าพเจ้าเคยพบผู้ปฏิบัติธรรมเคยมีฝ้าบนใบหน้า นั่งสมาธิวิปัสสนาทุกวัน พอเจอกันอีกที ฝ้าที่เคยมีนั้นได้หายไป หน้าตาเนียนสวย เรื่องจริงที่ผู้ปฏิบัติผิวพรรณสวยงาม หน้าตาผ่องใส เรื่องจริง ขอยืนยัน
#13
โพสต์เมื่อ 20 June 2007 - 01:59 AM
พูดดี คิดดี ทำดี ครับ
#14
โพสต์เมื่อ 20 June 2007 - 07:55 AM
เรียบเรียงจากพระธรรมเทศนา
พระราชภาวนาวิสุทธิ์ (หลวงพ่อธัมมชโย)
วันจันทร์ที่ ๖ เดือนตุลาคม พ.ศ. ๒๕๔๖
หลวงพ่อไม่เคยเบื่อหน่ายเพศสมณะเลยแม้แต่เพียงวันเดียวตั้งแต่บวชวันแรก เผลอประเดี๋ยวเดียว ๓๐ กว่าพรรษาแล้ว เป็นพระนี่อยู่เหนือความรวยความจนนะ พระไม่ได้คิดเรื่องรวยและก็ไม่ได้คิดเรื่องจน มันเหนือตรงนั้นไปแล้ว วัดก็เหมือนกันอยู่เหนือคำว่า วัดรวย หรือ วัดจน
" วัด" เป็นเครื่องวัดของคนเข้าวัดว่า กิเลสหรือสิ่งไม่ดีนั้นหมดไปแค่ไหน ยังเหลืออีกแค่ไหน และก็เป็นสถานที่ตักตวงบุญ เป็นแหล่งเนื้อนาบุญ เป็นแหล่งแห่งความรู้อันบริสุทธิ์ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่จะทำให้เราดำเนินชีวิตได้ถูกต้อง ไม่ผิดพลาด มีสุคติเป็นที่ไป มีเป้าหมายคือนิพพาน เราจะมองที่ถาวรวัตถุ หรือจำนวนคนเข้าวัดว่า วัดนี้รวย วัดนี้จน ไม่ถูกนะ
วัดหลวงปู่หลวงตาในหลายๆ วัดที่ต่างจังหวัด ท่านมีแค่กุฏิหลังเล็ก ๆ มีทางจงกรม มีที่พักกลางวัน มีศาลาเอนกประสงค์ ที่ท่านทำอย่างนั้นเพราะท่านมีวัตถุประสงค์ที่จะปลีกวิเวก เพื่อให้กายสงัด ใจจะได้สงัด กิเลสมันจะได้หมดไป นั่นวัตถุประสงค์ของท่าน ไม่ใช่ท่านจนนะ ถ้าท่านจะสร้างให้ใหญ่โตท่านก็ทำได้ แต่ท่านไม่ได้มีวัตถุประสงค์อย่างนั้น ใครมีบุญอยากได้บุญก็มาฟังธรรม ไม่มีใครมาท่านก็ปฏิบัติธรรมทำความเพียรของท่านไป มันแล้วแต่วัตถุประสงค์
อย่างวัดใหญ่ๆหลายๆวัดโดยเฉพาะวัดพระธรรมกายที่สร้างก็มีวัตถุประสงค์เพื่อเอาไว้เป็นสถานที่ประพฤติธรรมให้สาธุชนผู้มีบุญทั้งหลายที่อยู่ใกล้ๆ ไม่ห่างไกลนัก รถวิ่งสักชั่วโมง ชั่วโมงครึ่ง ได้มาปฏิบัติธรรมรวมกัน เป็นพลังหมู่ในการปฏิบัติธรรมในการศึกษาธรรมะของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะฉะนั้นจะให้ไปตากแดด ตากลม ตากฝน ก็ทำไม่ได้ เมื่อคนมาเยอะก็ต้องสร้างใหญ่ ไม่ได้เกี่ยวกับรวยหรือจนเลย เพราะว่าวัด หลวงพ่อเอาไปขายไม่ได้ แล้วไม่เคยคิดจะไปขาย เลิกคิดค้าขายหรือทำมาหากินตั้งแต่บวชแล้ว บวชแล้วก็เลิก
หรือมหาธรรมกายเจดีย์ที่สร้างนี่ก็เป็นที่รวมใจให้คนนึกถึงบุญ นึกถึงพระรัตนตรัย ใจจะได้เป็นกุศล เมื่อใจเป็นกุศล เลื่อมใสในพระรัตนตรัย จะได้เป็นรหัสผ่านไปสุคติภพ วัตถุประสงค์เป็นอย่างนี้จึงสร้างให้มันใหญ่ ก็แค่นั้นเอง
เพราะฉะนั้นวัดอยู่เหนือความรวยหรือความจน ต้องเข้าใจตรงนี้ก่อน ส่วนเมื่อเข้าใจแล้วจะไปทำบุญที่ตรงไหน มีศรัทธาตรงไหนก็ทำตรงนั้น ศรัทธาอยากสร้างโรงเรียนก็สร้างโรงเรียน ศรัทธาอยากสร้างโรงพยาบาลก็สร้างโรงพยาบาล หรือสร้างโรงเรียน โรงพยาบาล ซึ่งรักษาไข้ทางกาย และให้วิทยาทานพอแล้ว เราจะมาสร้างโรงพยาบาลรักษาไข้ทางใจ หรือมาสร้างโรงเรียนเป็นที่ศึกษาเรื่องความจริงของชีวิตก็มาสร้างวัด ก็แล้วแต่เรา
แต่พระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระองค์เรียงขั้นตอนของบุญที่จะได้มากมาตามลำดับ ตั้งแต่ ให้อาหารกับสัตว์เดรัจฉาน กับมนุษย์ทุศีล มนุษย์มีศีล มนุษย์เข้าถึงธรรม ถึงฌานสมาบัติ เป็นโคตรภูบุคคล เป็นพระอริยะบุคคล เป็นพระอรหันต์สัมมาสัมพุทธเจ้า ไล่เรื่อยไปถึงสร้างถาวรวัตถุ เรียงลำดับปริมาณของบุญที่จะได้มากกว่ากัน พระองค์ก็บอกเอาไว้แล้วที่มีอยู่ในตำรับตำรา เมื่อเราทราบอย่างนี้แล้วเราก็เลือกเอา แล้วแต่ใจของเราจะไขว่คว้าเอา
เพราะฉะนั้นวัดอยู่เหนือความรวยความจน ดังนั้นถ้าใครยังคิดว่าวัดนั้นรวย วัดนั้นจนล่ะก็เลิกคิดได้แล้ว เดี๋ยวนี้เขาอยู่ในยุคคิดใหม่ คิดผิดคิดใหม่ได้ แต่คิดใหม่อย่าให้มันผิด คิดให้ถูกนะจ๊ะ ให้คิดตามพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่พระองค์สอนให้คิดนั่นแหละ
ที่มา : วารสารอยู่ในบุญ www.kalyanamitra.org
#15
โพสต์เมื่อ 20 June 2007 - 01:02 PM
ว่าการที่เข้าวัดเราเปลี่ยนไปอย่างไรบ้าง ผมเจอบ่อยๆ กับคำถาม
ถามแบบกวนๆก็มี ถามดีๆก็มี แต่ผมไม่เบื่อที่จะพูดที่จะบอกบ่อยๆ
เมื่อบุญเขาส่งผล เดี๋ยวเขาก็เข้าใจเอง ขอเราอย่ายอมแพ้ง่ายๆก็พอแล้วครับ
#16
โพสต์เมื่อ 20 June 2007 - 01:17 PM
#17
โพสต์เมื่อ 20 June 2007 - 06:37 PM