
ยันต์เกราะเพรช....
เริ่มโดย ไกด์ แห่งวัดพระธาตุห้าดวง, Aug 01 2007 02:37 PM
มี 10 โพสต์ตอบกลับกระทู้นี้
#1
โพสต์เมื่อ 01 August 2007 - 02:37 PM
ยันต์เกราะเพรช....หลวงพ่อสดเป่าไหม เพราะว่าเป็นลูกศิษย์หลวงพ่อปานใช่ๆไหมคับ วัดพระธาตุห้าดวงก็มีการเป่ายันต์เกราะเพรชเหมือนกันเพราะเป็นศิษย์หลวงพ่อฤาษีลิงดำ
ไกด์ แห่ง วัดพระธาตุห้าดวง
#2
โพสต์เมื่อ 01 August 2007 - 04:01 PM
ผมไม่เคยทราบมาก่อนเลยนะครับ ว่า
หลวงปู่ สด จนฺทสโร วัดปากน้ำภาษีเจริญ เป็นศิษย์โดยตรงของหลวงปู่ปาน วัดบางนมโค มาก่อน
รวมถึงเรื่องเป่ายันต์เกราะเพชร ด้วย
เคยพอทราบแต่ว่า
ท่านเดินธุดงค์ แล้วได้เจอกัน แล้วก็แยกย้ายกันไปตามประสงค์ของแต่ละท่าน
ไม่ได้เป็นศิษย์เป็นอาจารย์โดยตรง
เท่าที่เคยอ่านประวัติ หลวงปู่ สด จนฺทสโร วัดปากน้ำภาษีเจริญ
ก่อนปฏิบัติธรรมได้เข้าถึงพระธรรมกายภายใน ท่านเคยศึกษา คาถาอาคม ไสยเวทย์มาบ้าง
เช่น นะหน้าทอง หุ่นดินเหนียวที่ปลุกเศกให้เคลื่อนไหวได้ เป็นต้น
ที่ผมเคยได้ยินได้ฟังมาพอจำได้บ้าง ลาง ๆ คือ
ครั้งท่านเป็นภิกษุหนุ่ม คงแก่เรียน
ก่อนที่ท่านจะมารับตำแหน่งเป็นเจ้าอาวาสวัดปากน้ำภาษีเจริญ
ท่านจำพรรษาที่วัดอื่น
ครั้งหนึ่งมีชาวสุรินทร์ ที่มีวิชาไสยเวทย์
เดินทางมาพร้อมขบวนช้าง ผ่านวัดที่ ภิกษุู่ สด จนฺทสโร พำนักอยู่เช่นกัน
และได้ขอเจ้าอาวาสวัดนั้น อาศัยพักแรมในบริเวณวัดนั้น
พอช่วงค่ำ พวกชาวสุรินทร์ได้ใช้คาถาอาคม ด้วยการขวานผ่าฟืน คือ ใช้ท่อนไม้ภายในวัดนั้น
โดยวิธี สับขวานไปที่ซุง หรือท่อนไม้ขนาดใหญ่ แล้วก็ร่ายคาถาอาคม
พักเดียว ซุงหรือท่อนไม้ขนาดใหญ่ก็แตกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย พอเหมาะกับเป็นฟืน เป็นเชื้อเพลิงได้
พอรุ่งเช้า ชาวสุรินทร์ตื่นมา ไม่เห็นช้างหลายเชือกของตน ก็เที่ยวเดินตามหาทั่วบริเวณวัด ก็ไม่เจอ
แต่มาเจอภิกษุ สด จนฺทสโร จึงถามท่านว่า เห็นช้างของเขาบ้างไหม
ท่านตอบว่า ช้างก็อยู่ในกะลาใบนั้นไง ( พลางชี้นิ้วไปที่กะลาใบหนึ่ง )
พวกชาวสุรินทร์ก็หัวเราะ คิดว่า ภิกษุรูปนั้น พูดเพ้อเจ้อ
พวกตนเรียนวิชาไสยเวท์ืมา เพราะต้องเดินทางลุยป่าฝ่าดง เผชิญสัตว์ร้าย ก็ต้องมีวิชาอาคมไว้ป้องกันตัวบ้าง
แต่ยังไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่า จะมีวิชา ย่อช้างหลายเชือกให้อยู่ในกะลา ได้
ภิกษุ สด จึงบอกให้เขาลองเปิดกะลาดู
ปรากฎว่า มีช้างตัวจิ๋วหลายเชือกอยู่จริง
จึงอัศจรรย์ใจ แล้วก้มกราบขอให้ภิกษุรูปนั้น ช่วยให้ช้างโตเหมือนเดิมด้วย
ภิกษุ สด จึงกำหนดจิต ว่าคาถาในใจ
สักเดี๋ยวช้างนั้นก็โตเท่าเดิม
สุดท้ายท่านก็สอนว่า
พวกชาวสุรินทร์ก้มกราบขอโทษ ที่ใช้สมบัติสงฆ์โดยไม่ขออนุญาตก่อน
และเรียนภิกษุหนุ่มนั้นว่า
คราวหน้าเมื่อพวกตนผ่านมาทางวัดนี้อีก จะนำท่องซุงขนาดใหญ่มาถวายวัด
เพื่อเป็นการชำระหนี้สงฆ์ และส่วนหนึ่งเกิดจากความเลื่อมใสในภิกษุหนุ่มรูปนั้น
ต่อมาเมื่อท่านปฏิบัติธรรมได้เข้าถึงพระธรรมกายภายใน จึงละทิ้งการศึกษาคาถาอาคม ไสยเวทย์ทั้งหมด
เพราะถึงแม้มีประโยชนือยู่บ้าง แต่ยังไม่ถูกทางสายกลางภายใน เรียนแล้วบรรลุมรรค ผล นิพพานไม่ได้
ดังนั้นหากท่านใดสนใจศึกษา เรื่องคาถาอาคม วิชาไสยเวทย์ต่างๆ ก็ศึกษาแต่พอสมควร นะครับ
คือ ศึกษาให้รู้่ว่า สิ่งเหล่านี้มีอยู่จริง
แต่ยังไม่ใช่ที่พึ่งอันแท้จริง เรียนแล้วบรรลุ มรรค ผล นิพพานไม่ได้
ก็เป็นความคิดเห็นส่วนตัวนะครับ ไม่เจตนาว่าร้ายท่านใด ๆ
หลวงปู่ สด จนฺทสโร วัดปากน้ำภาษีเจริญ เป็นศิษย์โดยตรงของหลวงปู่ปาน วัดบางนมโค มาก่อน
รวมถึงเรื่องเป่ายันต์เกราะเพชร ด้วย
เคยพอทราบแต่ว่า
ท่านเดินธุดงค์ แล้วได้เจอกัน แล้วก็แยกย้ายกันไปตามประสงค์ของแต่ละท่าน
ไม่ได้เป็นศิษย์เป็นอาจารย์โดยตรง
เท่าที่เคยอ่านประวัติ หลวงปู่ สด จนฺทสโร วัดปากน้ำภาษีเจริญ
ก่อนปฏิบัติธรรมได้เข้าถึงพระธรรมกายภายใน ท่านเคยศึกษา คาถาอาคม ไสยเวทย์มาบ้าง
เช่น นะหน้าทอง หุ่นดินเหนียวที่ปลุกเศกให้เคลื่อนไหวได้ เป็นต้น
ที่ผมเคยได้ยินได้ฟังมาพอจำได้บ้าง ลาง ๆ คือ
ครั้งท่านเป็นภิกษุหนุ่ม คงแก่เรียน
ก่อนที่ท่านจะมารับตำแหน่งเป็นเจ้าอาวาสวัดปากน้ำภาษีเจริญ
ท่านจำพรรษาที่วัดอื่น
ครั้งหนึ่งมีชาวสุรินทร์ ที่มีวิชาไสยเวทย์
เดินทางมาพร้อมขบวนช้าง ผ่านวัดที่ ภิกษุู่ สด จนฺทสโร พำนักอยู่เช่นกัน
และได้ขอเจ้าอาวาสวัดนั้น อาศัยพักแรมในบริเวณวัดนั้น
พอช่วงค่ำ พวกชาวสุรินทร์ได้ใช้คาถาอาคม ด้วยการขวานผ่าฟืน คือ ใช้ท่อนไม้ภายในวัดนั้น
โดยวิธี สับขวานไปที่ซุง หรือท่อนไม้ขนาดใหญ่ แล้วก็ร่ายคาถาอาคม
พักเดียว ซุงหรือท่อนไม้ขนาดใหญ่ก็แตกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย พอเหมาะกับเป็นฟืน เป็นเชื้อเพลิงได้
พอรุ่งเช้า ชาวสุรินทร์ตื่นมา ไม่เห็นช้างหลายเชือกของตน ก็เที่ยวเดินตามหาทั่วบริเวณวัด ก็ไม่เจอ
แต่มาเจอภิกษุ สด จนฺทสโร จึงถามท่านว่า เห็นช้างของเขาบ้างไหม
ท่านตอบว่า ช้างก็อยู่ในกะลาใบนั้นไง ( พลางชี้นิ้วไปที่กะลาใบหนึ่ง )
พวกชาวสุรินทร์ก็หัวเราะ คิดว่า ภิกษุรูปนั้น พูดเพ้อเจ้อ
พวกตนเรียนวิชาไสยเวท์ืมา เพราะต้องเดินทางลุยป่าฝ่าดง เผชิญสัตว์ร้าย ก็ต้องมีวิชาอาคมไว้ป้องกันตัวบ้าง
แต่ยังไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่า จะมีวิชา ย่อช้างหลายเชือกให้อยู่ในกะลา ได้
ภิกษุ สด จึงบอกให้เขาลองเปิดกะลาดู
ปรากฎว่า มีช้างตัวจิ๋วหลายเชือกอยู่จริง
จึงอัศจรรย์ใจ แล้วก้มกราบขอให้ภิกษุรูปนั้น ช่วยให้ช้างโตเหมือนเดิมด้วย
ภิกษุ สด จึงกำหนดจิต ว่าคาถาในใจ
สักเดี๋ยวช้างนั้นก็โตเท่าเดิม
สุดท้ายท่านก็สอนว่า
QUOTE
โยมมาขออาศัยวัด พำนักพักพิง แต่ไม่รู้คุณ แล้วยังใช้ท่อนไม้ ซึ่งเป็นสมบัติสงฆ์
โดยไม่ขออนุญาต จากเจ้าอาวาสด้วย
คราวหน้าโยมไปวัดไหน หรือ ไปที่ไหน อย่าทำอย่างนี้อีกนะ
โดยไม่ขออนุญาต จากเจ้าอาวาสด้วย
คราวหน้าโยมไปวัดไหน หรือ ไปที่ไหน อย่าทำอย่างนี้อีกนะ
พวกชาวสุรินทร์ก้มกราบขอโทษ ที่ใช้สมบัติสงฆ์โดยไม่ขออนุญาตก่อน
และเรียนภิกษุหนุ่มนั้นว่า
คราวหน้าเมื่อพวกตนผ่านมาทางวัดนี้อีก จะนำท่องซุงขนาดใหญ่มาถวายวัด
เพื่อเป็นการชำระหนี้สงฆ์ และส่วนหนึ่งเกิดจากความเลื่อมใสในภิกษุหนุ่มรูปนั้น
ต่อมาเมื่อท่านปฏิบัติธรรมได้เข้าถึงพระธรรมกายภายใน จึงละทิ้งการศึกษาคาถาอาคม ไสยเวทย์ทั้งหมด
เพราะถึงแม้มีประโยชนือยู่บ้าง แต่ยังไม่ถูกทางสายกลางภายใน เรียนแล้วบรรลุมรรค ผล นิพพานไม่ได้
ดังนั้นหากท่านใดสนใจศึกษา เรื่องคาถาอาคม วิชาไสยเวทย์ต่างๆ ก็ศึกษาแต่พอสมควร นะครับ
คือ ศึกษาให้รู้่ว่า สิ่งเหล่านี้มีอยู่จริง
แต่ยังไม่ใช่ที่พึ่งอันแท้จริง เรียนแล้วบรรลุ มรรค ผล นิพพานไม่ได้
ก็เป็นความคิดเห็นส่วนตัวนะครับ ไม่เจตนาว่าร้ายท่านใด ๆ
#3
โพสต์เมื่อ 01 August 2007 - 07:47 PM
ขอบใจคับผม
ไกด์ แห่ง วัดพระธาตุห้าดวง
#4
โพสต์เมื่อ 01 August 2007 - 09:51 PM
ขอเพิ่มเติมอีกนิดครับ
เมื่อหลายปีก่อน หมู่ญาติของผมตระเวณไปทำบุญที่วัดต่างๆ ในหลายจังหวัด
ผมเองก็ร่วมขบวนบุญนั้นด้วย และมีวัดหนึ่ง จำได้ราง ๆว่า อยู่แถว จ. กาญจนบุรี
ชื่อวัด ท่าขนุน อย่างไรนี่แหละครับ ( ถ้าเอ่ยชื่อวัดผิด ก็ขออภัยทานด้วยนะครับ )
วันนั้นมีพระอาจารย์ เล็ก ซึ่งเป็นลูกศิษย์ของหลวงพ่อ วัดท่าซุง
มาร่วมจัดพิธีเป่ายันต์เกราะเพชร ด้วย
เรื่อง เป่ายันต์เกราะเพชร นั้นมีหลายแห่ง
และโดยมากเป็นลูกศิษย์ของหลวงพ่อ วัดท่าซุง หรือที่เรียกกันว่า หลวงพ่อ ฤาษีลิงดำ
ซึ่งโดยส่วนตัว ผมชื่นชมการปฏิบัติธรรมทุกสาย ทุกวิธีของแต่ละสำนักอยู่แล้ว
แต่ถ้าสำนักใดมีเรื่องคาถาอาคม หรือวิชาไสยเวทย์
ผมก็จะเลื่อมใสเฉพาะการปฏิบัติธรรมของท่านเท่านั้นครับ
ด้วยเหตุผลส่วนตัวที่ว่า
ยังไม่ใช่ที่พึ่งอันแท้จริง ถึงแม้มีประโยชน์อยู่บ้าง แต่ยังไม่ถูกทางสายกลางภายใน
แต่ก็ไม่ได้ไปคัดค้าน ต่อต้านใครนะครับ
เพราะแต่คนก็มีอัธยาศัย ความนิยมชมชอบ ต่าง ๆ กันไปครับ
เมื่อหลายปีก่อน หมู่ญาติของผมตระเวณไปทำบุญที่วัดต่างๆ ในหลายจังหวัด
ผมเองก็ร่วมขบวนบุญนั้นด้วย และมีวัดหนึ่ง จำได้ราง ๆว่า อยู่แถว จ. กาญจนบุรี
ชื่อวัด ท่าขนุน อย่างไรนี่แหละครับ ( ถ้าเอ่ยชื่อวัดผิด ก็ขออภัยทานด้วยนะครับ )
วันนั้นมีพระอาจารย์ เล็ก ซึ่งเป็นลูกศิษย์ของหลวงพ่อ วัดท่าซุง
มาร่วมจัดพิธีเป่ายันต์เกราะเพชร ด้วย
เรื่อง เป่ายันต์เกราะเพชร นั้นมีหลายแห่ง
และโดยมากเป็นลูกศิษย์ของหลวงพ่อ วัดท่าซุง หรือที่เรียกกันว่า หลวงพ่อ ฤาษีลิงดำ
ซึ่งโดยส่วนตัว ผมชื่นชมการปฏิบัติธรรมทุกสาย ทุกวิธีของแต่ละสำนักอยู่แล้ว
แต่ถ้าสำนักใดมีเรื่องคาถาอาคม หรือวิชาไสยเวทย์
ผมก็จะเลื่อมใสเฉพาะการปฏิบัติธรรมของท่านเท่านั้นครับ
ด้วยเหตุผลส่วนตัวที่ว่า
ยังไม่ใช่ที่พึ่งอันแท้จริง ถึงแม้มีประโยชน์อยู่บ้าง แต่ยังไม่ถูกทางสายกลางภายใน
แต่ก็ไม่ได้ไปคัดค้าน ต่อต้านใครนะครับ
เพราะแต่คนก็มีอัธยาศัย ความนิยมชมชอบ ต่าง ๆ กันไปครับ
#5
โพสต์เมื่อ 02 August 2007 - 07:47 AM
ตอบได้สุดยอดครับ คุณ Dd2683 ผมเห็นด้วยอย่างยิ่งครับ
อนุโมทนาบุญ ครับ
สาธุ
อนุโมทนาบุญ ครับ
สาธุ
#6
โพสต์เมื่อ 02 August 2007 - 07:59 AM
สาธุค่ะ คุณDd2683
#7
โพสต์เมื่อ 02 August 2007 - 10:38 AM
ไม่เป่าครับ
อัตตาหิ อัตตโนนาโถ = กายเป็นที่พึ่งแห่งกาย
#8
โพสต์เมื่อ 02 August 2007 - 01:05 PM
ขออนุโมทนาบุญนะครับ...สาธุ
#9
โพสต์เมื่อ 02 August 2007 - 04:36 PM
จะเป่าไปทำไมอ่ะครับ เป่าไปเพื่ออะไรหรอ ในเมื่อลูกหลานหลวงพ่อหลวงปู่คุณยายมีพระรัตนตรัยเป็นเกราะคุ้มกันอยู่แล้ว มีธรรมกายแก้วที่สวยงาม ใสสว่างกว่าเพชรเป็นเกราะป้องกันภัยอยู่แล้ว ไม่จำเป็นที่ท่านจะมาเสียแรงเปล่าหรอกครับ โดยเฉพาะหลวงปู่ท่านไม่มาเสียเวลาสร้างเกราะให้เราหรอกครับ ถ้าจะมัวเสียเวลาสร้างเกราะป้องกัน หลวงปู่ท่านเข้าไปรื้อผังเลยเร็วกว่าครับ แน่นอนกว่ามาเป่าเกราะให้เหนื่อยแรงเปล่าอีกครับ
1) พระปัญญาธิกพุทธเจ้า สร้างบารมีรวม 20 อสงไขย กับอีก แสนมหากัป (รวมระยะเวลาสร้างบารมีหลังรับพุทธพยากรณ์ คือ 4 อสงไขย กับ แสนมหากัป) เช่น พระสัมมาพุทธเจ้าองค์ปัจจุบัน คือ พระสมณโคมสัมมาสัมพุทธเจ้า (อย่างน้อยที่สุด)
2) พระศรัทธาธิกพุทธเจ้า สร้างบารมีรวม 40 อสงไขย กับอีก แสนมหากัป (รวมระยะเวลาสร้างบารมีหลังรับพุทธพยากรณ์ คือ 8 อสงไขย กับ แสนมหากัป) (อย่างน้อย)
3) พระวิริยาธิกพุทธเจ้า สร้างบารมีรวม 80 อสงไขย กับอีก แสนมหากัป (รวมระยะเวลาสร้างบารมีหลังรับพุทธพยากรณ์ คือ 16 อสงไขย กับ แสนมหากัป) เช่น พระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์ต่อไป คือ พระศรีอาริยเมตไตรยสัมมาสัมพุทธเจ้า (เป้าหมาย
2) พระศรัทธาธิกพุทธเจ้า สร้างบารมีรวม 40 อสงไขย กับอีก แสนมหากัป (รวมระยะเวลาสร้างบารมีหลังรับพุทธพยากรณ์ คือ 8 อสงไขย กับ แสนมหากัป) (อย่างน้อย)
3) พระวิริยาธิกพุทธเจ้า สร้างบารมีรวม 80 อสงไขย กับอีก แสนมหากัป (รวมระยะเวลาสร้างบารมีหลังรับพุทธพยากรณ์ คือ 16 อสงไขย กับ แสนมหากัป) เช่น พระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์ต่อไป คือ พระศรีอาริยเมตไตรยสัมมาสัมพุทธเจ้า (เป้าหมาย
#10
โพสต์เมื่อ 02 August 2007 - 04:51 PM
ขอขอบคุณ คุณDd2683 นะครับ ที่นำเรื่องที่อ่านแล้วสนุกมากเลย อนุภาพของคุณไสยว่าแรงแล้วนะแต่กลับเป็นว่าอนุภาพพระธรรมกายแรงกว่า ขออนุโมทนาบุญด้วยครับ สาธุ
ใจหยุดคือ ที่สุดแห่งบุญ
#11
โพสต์เมื่อ 04 August 2007 - 12:47 AM
เห็นด้วยกับ คุณ Dd2683 ทุกประการ
ไม่เคยลบหลู่สิ่งใด เพราะเชื่อว่าแต่ละวัดแต่ละสำนักมีจุดดีจุดเด่นแตกต่างกัน ขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคลว่ามีสายบุญและถูกจริตกับสำนักไหน วิชาแบบใด
แต่สิ่งที่เป็นที่พึ่งได้แท้จริงและปลอดภัยที่สุดทั้งสำหรับการมีชีวิตอยู่และชีวิตหลังความตาย ที่สามารถนำไปพาเราไปสู่ทิศทางที่ดีได้ ก็คือ การสั่งสมบุญและปฏิบัติธรรม เพราะไม่เคยได้ยินใครบอกเลยว่า การผ่านพิธีกรรมต่าง ๆ ที่เปี่ยมไปด้วยอานุภาพอันศักดิ์สิทธิ์ของวิชาอาคมแล้ว จะทำให้ตายไปแล้วไม่ต้องไปอบาย หรือสามารถเข้าสู่พระนิพพานได้ (หรือว่าเรารู้เห็นได้ยินอะไรมาน้อยเกินไป) ถึงแม้อาจจะเคยมีใครพูดเช่นนั้น แต่โดยส่วนตัวคิดมาตลอดว่าไม่ใช่ แล้วก็ไม่ใช่จริง ๆ ตามที่พระเดชพระคุณหลวงพ่อได้ให้คำชี้แนะอยู่เสมอว่า สิ่งอื่นที่นอกเหนือจากพระรัตนตรัย(พิธีกรรมไสยศาสตร์ คาถาอาคมทั้งหลาย แม้ว่าพระภิกษุเป็นผู้ประกอบพิธี ก็จัดว่าเป็นสายวิทยาธร) ไม่ใช่สิ่งที่พึ่งพาช่วยเหลือเราได้อย่างแท้จริง ต้องสั่งสมบุญและปฏิบัติธรรมให้เข้าถึงพระธรรมกายเท่านั้นที่จะช่วยเราได้อย่างแท้จริง (แม้จะจำที่หลวงพ่อพูดได้ไม่ทุกคำ แต่คร่าว ๆ ประมาณนี้แหละ)
เรื่องแบบนี้ยังไงก็สุดแล้วแต่ความเชื่อและความศรัทธาของแต่ละบุคคล
ป.ล. คิดว่าคุณไกด์ แห่งวัดพระธาตุห้าดวง ท่าจะคงเคยผ่านพิธีการเป่ายันต์เกราะเพชรมาแล้วแน่ ๆ เลย (รึเปล่า) แต่เรื่องการปฏิบัติธรรมและสั่งสมบุญ ไม่ว่าคุณจะศรัทธาวัดไหนสำนักใด ใคร ๆ ก็ทำได้ ถ้าคุณเชื่อและศรัทธาในสิ่งเหล่านั้นก็อย่าลืมสั่งสมบุญด้วยแล้วกัน
ไม่เคยลบหลู่สิ่งใด เพราะเชื่อว่าแต่ละวัดแต่ละสำนักมีจุดดีจุดเด่นแตกต่างกัน ขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคลว่ามีสายบุญและถูกจริตกับสำนักไหน วิชาแบบใด
แต่สิ่งที่เป็นที่พึ่งได้แท้จริงและปลอดภัยที่สุดทั้งสำหรับการมีชีวิตอยู่และชีวิตหลังความตาย ที่สามารถนำไปพาเราไปสู่ทิศทางที่ดีได้ ก็คือ การสั่งสมบุญและปฏิบัติธรรม เพราะไม่เคยได้ยินใครบอกเลยว่า การผ่านพิธีกรรมต่าง ๆ ที่เปี่ยมไปด้วยอานุภาพอันศักดิ์สิทธิ์ของวิชาอาคมแล้ว จะทำให้ตายไปแล้วไม่ต้องไปอบาย หรือสามารถเข้าสู่พระนิพพานได้ (หรือว่าเรารู้เห็นได้ยินอะไรมาน้อยเกินไป) ถึงแม้อาจจะเคยมีใครพูดเช่นนั้น แต่โดยส่วนตัวคิดมาตลอดว่าไม่ใช่ แล้วก็ไม่ใช่จริง ๆ ตามที่พระเดชพระคุณหลวงพ่อได้ให้คำชี้แนะอยู่เสมอว่า สิ่งอื่นที่นอกเหนือจากพระรัตนตรัย(พิธีกรรมไสยศาสตร์ คาถาอาคมทั้งหลาย แม้ว่าพระภิกษุเป็นผู้ประกอบพิธี ก็จัดว่าเป็นสายวิทยาธร) ไม่ใช่สิ่งที่พึ่งพาช่วยเหลือเราได้อย่างแท้จริง ต้องสั่งสมบุญและปฏิบัติธรรมให้เข้าถึงพระธรรมกายเท่านั้นที่จะช่วยเราได้อย่างแท้จริง (แม้จะจำที่หลวงพ่อพูดได้ไม่ทุกคำ แต่คร่าว ๆ ประมาณนี้แหละ)
เรื่องแบบนี้ยังไงก็สุดแล้วแต่ความเชื่อและความศรัทธาของแต่ละบุคคล
ป.ล. คิดว่าคุณไกด์ แห่งวัดพระธาตุห้าดวง ท่าจะคงเคยผ่านพิธีการเป่ายันต์เกราะเพชรมาแล้วแน่ ๆ เลย (รึเปล่า) แต่เรื่องการปฏิบัติธรรมและสั่งสมบุญ ไม่ว่าคุณจะศรัทธาวัดไหนสำนักใด ใคร ๆ ก็ทำได้ ถ้าคุณเชื่อและศรัทธาในสิ่งเหล่านั้นก็อย่าลืมสั่งสมบุญด้วยแล้วกัน