ผู้กระทำบาป ย่อมเดือดร้อนทั้งโลกนี้และโลกหน้า
หญิงคนหนึงมีลูกชายคนเดียว ปฏิบัติแม่ทุกเช้าค่ำ แม่คิดสงสาร
จะหาภรรยาให้ช่วยแบ่งเบา ลูกชายบอกว่าอย่าเลย ทำเองจะดีกว่า
หลายคนก็หลายใจ ไม่ถูกใจก็ทะเลาะวิวาท ...
ในที่สุดแม่ไม่บอกให้ลูกชายทราบ ไปหาผู้หญิงคนหนึ่งมาให้เป็น
ภรรยา อยู่ด้วยกันหลายปีก็ไม่มีลูก จึงไปหาหญิงอีกคนหนึ่งมาให้
เป็นภรรยาน้อย เมื่อภรรยาคนใหม่ตั้งท้อง ภรรยาหลวงคิดว่า
หากเขามีลูกก็จะขึ้นมาใหญ่กว่าตัว นางเกิดความอิจฉาจึงหาวิธีกำจัด
เอายาแท้งใส่ในอาหาร โดยที่ภรรยาน้อยไม่รู้ ลูกในท้องจึงแท้ง
2 ครั้ง ครั้งที่ 3 จึงรู้ว่าเป็นแผนของภรรยาหลวง
แต่แล้วก็ไม่พ้นถูกวางยา ให้ตายไปพร้อมลูกในท้อง
จึงผูกเวรกันว่า ชาติหน้าขอให้กูได้เกิดมาฆ่าลูกมึง ถึงสองครั้ง
ครั้งที่สาม กูขอฆ่ามึงให้ตายไปกับลูกด้วย
ภรรยาน้อยตายไปเป็นแมว ภรรยาหลวงตายไปเป็นไก่
ไก่ออกไข่มาสองครั้งแมวก็เอาไปกินเสีย ครั้งที่สามแมวนั้น
ก็ฆ่าแม่ไก่ไปกินพร้อมไข่
เมื่อแมวตายไปเกิดเป็นเสือ ส่วนไก่ตายไปเกิดเป็นกวาง
พอกวางออกลูกมา เสือก็เอาไปกินเสียสองครั้ง
ครั้งที่สามกวางถูกเสือกินทั้งแม่และลูก...
กวางต่ยไปเกิดเป็นนางกุลธิดา เสือตายเป็นยักขิณี
นางกุลธิดาคลอดลูกออกมาก็ถูกนางยักขิณี มาลวงเอาลูก
ตนไปกินถึงสองครั้ง พอคลอดลูกครั้งที่สามก็กลัวนางยักขิณี
จะมาลวงเอาไปกินอีก เลยชวนสามีหอบลูกหนีจากบ้านไปทาง
ที่พระพุทธองค์กำลังเทศนาอยู่ เมื่อนางยักขิณีตามมาหา
นางกุลธิดาไม่เห็น ได้ทราบข่าวว่านางหนีไปแล้ว ก็วิ่งตามไป
พอดีเจดนางอยู่ในสำนักกับพระพุทธเจ้า
พระองค์ได้เทศนาธรรมให้คู่เวรทั้งสองฟัง จึงเกิดศรัทธา
เลื่อมใสในธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า พระองค์จึงให้ทั้งสอง
อโหสิกรรมแก่กัน ให้เป็นมิตรสหายกัน เป็นอันจบเวรกันเท่านั้น
นับว่าทั้งสองยังโชคดีที่ได้มาพบกับพระพุทธองค์ โปรดให้
เห็นแจ้งถึงกรรมปาณาติบาต มิเช่นนั้นแล้ว ก็ยังจองเวรกัน
ต่อไปไม่สิ้นสุด...
[/size]
[size="4"]

เวรย่อมระงับด้วยการไม่จองเวร
เริ่มโดย au-xiah, Sep 17 2007 07:11 PM
มี 7 โพสต์ตอบกลับกระทู้นี้
#1
โพสต์เมื่อ 17 September 2007 - 07:11 PM
#2
โพสต์เมื่อ 17 September 2007 - 07:24 PM
ตอนเด็กๆ มีเพื่อนกรุณาแนะนำว่าเวรย่อมระงับด้วยการไม่ทำเวร
แต่มันไม่จริง เพราะในที่สุดก็ต้องทำจนได้ แถมยังทำหนักกว่าเก่าซะอีก
แต่มันไม่จริง เพราะในที่สุดก็ต้องทำจนได้ แถมยังทำหนักกว่าเก่าซะอีก
อัตตาหิ อัตตโนนาโถ = กายเป็นที่พึ่งแห่งกาย
#3
โพสต์เมื่อ 17 September 2007 - 09:33 PM
ตอนแรกนางกุลธิดาหนีไปถ้ำก่อนครับ แล้วค่อยไปหาพระพุทธองค์ แล้วตอนหลังนางทั้งสองเป็นเพื่อนกัน แล้วนางยัง
ตั้งศาลให้นางยักษ์อยู่พร้อมทั้งของเซ่นไม่เคยขาดด้วย นางยักษ์จึงตอบแทนให้โดยการบอกว่าฝนจะตกเมื่อไร
ปีนี้น้ำเเล้งหรือดี ท่วมไม่ท่วม ทำให้นางกุลธิดาร่ำรวยขึ้น ชาวบ้านเห็นดังนั้นจึงพามาถามนางนางว่ารู้ได้ไง
ดินฟ้าอากาศ จึงบอกว่านางยักษ์เข้าฝันมาบอก ชาวบ้านจึงพากันกราบไหว้บูชา เซ่นไหว้ไม่ขาดจนถึงปัจจุบันยังมีการบูชาอยู่เลย
นี้คือผลของการให้ทานแล้วได้ผลกรรมดีไม่เว้นแต่อมนุษย์ สาธุ......................ครับ
ตั้งศาลให้นางยักษ์อยู่พร้อมทั้งของเซ่นไม่เคยขาดด้วย นางยักษ์จึงตอบแทนให้โดยการบอกว่าฝนจะตกเมื่อไร
ปีนี้น้ำเเล้งหรือดี ท่วมไม่ท่วม ทำให้นางกุลธิดาร่ำรวยขึ้น ชาวบ้านเห็นดังนั้นจึงพามาถามนางนางว่ารู้ได้ไง
ดินฟ้าอากาศ จึงบอกว่านางยักษ์เข้าฝันมาบอก ชาวบ้านจึงพากันกราบไหว้บูชา เซ่นไหว้ไม่ขาดจนถึงปัจจุบันยังมีการบูชาอยู่เลย
นี้คือผลของการให้ทานแล้วได้ผลกรรมดีไม่เว้นแต่อมนุษย์ สาธุ......................ครับ
#4
โพสต์เมื่อ 18 September 2007 - 09:58 AM
เพียงแค่เราระงับการจองเวร ให้อโหสิกรรมในการกระทำที่เกิดขึ้น
ความสุขก็เกิดขึ้นในใจของเราทันที
ความสุขก็เกิดขึ้นในใจของเราทันที
#5
โพสต์เมื่อ 18 September 2007 - 11:08 AM
เมื่อวานเพิ่งเจอเรื่องที่ทำให้เราโกรธ
สาธุ อ่านแล้วเลิกโกรธเลย
ขอบคุณมากๆ
สาธุ อ่านแล้วเลิกโกรธเลย
ขอบคุณมากๆ
#6
โพสต์เมื่อ 19 September 2007 - 02:59 PM
Sa Dhu Krub
#7
โพสต์เมื่อ 19 September 2007 - 03:13 PM
อืมม์..เรื่องการจองเวรกันนี้
เคยได้ยินพระเดชพระคุณหลวงพ่อทัตตชีโว
อุปมาไว้ (จำได้คลับคล้ายคลับคลาว่า)
คนสองคนถือเชือกเส้นเดียวกัน เป็นเจ้าของปลายเชือกคนละข้าง
ต่างคนต่างโกรธต่างก็ดึงปลายเชือกหวังให้เชือกนั้นตึง
ประสงค์จะดึงอีกคนที่ปลายเชือกข้างโน้นให้ล้มคะมำลง..ซะแก่ใจเรา
ข้อนี้เป็นการจองเวรกันทั้งสองฝ่าย ..ก็เหนื่อยดึงเหนื่อยยื้อกันไปไม่รู้ที่สิ้นสุด
แต่หากฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง อโหสิกรรมให้อีกฝ่ายหนึ่ง
ปล่อยมือจากปลายเชือกที่ปลายข้างหนึ่งที่ถือไว้เองนี้
เมื่อปล่อยแล้วก็สบายกายสบายใจไม่ต้องเหนื่อยออกแรงดึงเชือกอีก
ส่วนอีกฝ่ายข้างโน้ย เมื่อยังไม่อโหสิกรรม
หลงดึงปลายเชือกอยู่ ก็หงายหลังผึ่งลงไป
เขาปล่อยแล้วเราไม่ปล่อยก็ร่วงผล็อยซะง่ายๆ ..เจ็บอยู่คนเดียว
ฉะนั้นก็....ปล่อยปลายเชือก เอาเวลาไปอยู่กับดวงแก้วใสๆกันดีกว่าเน๊าะ...พี่น้อง
เคยได้ยินพระเดชพระคุณหลวงพ่อทัตตชีโว
อุปมาไว้ (จำได้คลับคล้ายคลับคลาว่า)
คนสองคนถือเชือกเส้นเดียวกัน เป็นเจ้าของปลายเชือกคนละข้าง
ต่างคนต่างโกรธต่างก็ดึงปลายเชือกหวังให้เชือกนั้นตึง
ประสงค์จะดึงอีกคนที่ปลายเชือกข้างโน้นให้ล้มคะมำลง..ซะแก่ใจเรา
ข้อนี้เป็นการจองเวรกันทั้งสองฝ่าย ..ก็เหนื่อยดึงเหนื่อยยื้อกันไปไม่รู้ที่สิ้นสุด
แต่หากฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง อโหสิกรรมให้อีกฝ่ายหนึ่ง
ปล่อยมือจากปลายเชือกที่ปลายข้างหนึ่งที่ถือไว้เองนี้
เมื่อปล่อยแล้วก็สบายกายสบายใจไม่ต้องเหนื่อยออกแรงดึงเชือกอีก
ส่วนอีกฝ่ายข้างโน้ย เมื่อยังไม่อโหสิกรรม
หลงดึงปลายเชือกอยู่ ก็หงายหลังผึ่งลงไป
เขาปล่อยแล้วเราไม่ปล่อยก็ร่วงผล็อยซะง่ายๆ ..เจ็บอยู่คนเดียว
ฉะนั้นก็....ปล่อยปลายเชือก เอาเวลาไปอยู่กับดวงแก้วใสๆกันดีกว่าเน๊าะ...พี่น้อง

"จงอย่าเป็นทุกข์เพราะความหยาบคายของผู้อื่น"
"สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม" "เจตนา..นั้นแหละคือ..กรรม"
"จงทำในสิ่งที่ถูกต้อง..มากกว่าถูกใจ" "ไม่มีสิ่งเลวร้ายใดที่คนพูดโกหกทำไม่ได้"
#8
โพสต์เมื่อ 20 September 2007 - 04:28 PM
ความเคียดแค้น อาฆาต พยาบาทจองเวร อยู่บนโลกก็เป็นทุกข์ แล้วยังทำให้สัตว์ต้องไปนรกมากมาย เวียนว่ายตายเกิดในวัฎฎะสงสารด้วยความทุกข์ทรมาน
หยุดการจองเวร ด้วยการเข้าใจและให้อภัย ก็จะดีที่สุด เลิกเจ็บปวด เลิกกรรมที่จะพันผูกทำร้ายกันไปภพชาติเบื้องหน้า ชีวิตก็จะได้มีความสุขมากขึ้น มีโอกาสได้ทำความดี ได้สร้างบารมีมากขึ้น
หยุดการจองเวร ด้วยการเข้าใจและให้อภัย ก็จะดีที่สุด เลิกเจ็บปวด เลิกกรรมที่จะพันผูกทำร้ายกันไปภพชาติเบื้องหน้า ชีวิตก็จะได้มีความสุขมากขึ้น มีโอกาสได้ทำความดี ได้สร้างบารมีมากขึ้น
ขออนุโมทนาบุญนะคะ สาธุ