
ไม่อธิษฐานจิตเพื่อไปที่สุดแห่งธรรมได้หรือไม่
#1
โพสต์เมื่อ 19 September 2007 - 11:09 AM
ที่มีผู้ตอบว่า นิพพาน คือ ไม่มีการเกิด การตาย และที่สุดแห่งธรรม คือ การรื้อวัฏฏะสงสาร
ถ้าข้าพเจ้าเข้าใจความน่ากลัวของวัฏฏะสงสาร และอยากจะไปถึงนิพพานให้เร็วที่สุด เพราะไม่แน่ว่าหากไม่หวังพระนิพพานอาจมีชาติหนึ่งชาติใดที่เกิดหลงผิดหรือบาปอกุศลวิ่งตามทันทำให้พลาดพลั้งทำผิดขึ้นมา ก็จะต้องเริ่มใช้วิบากกรรมใหม่อย่างไม่จบสิ้น ดังนั้น ถ้าจะอธิษฐานจิตไปพระนิพพานเลย คือไม่ใช่วงบุญพิเศษได้หรือไม่
ข้าพเจ้าทราบว่าบุญบารมีคงยังไม่มากพอให้ไปนิพพานในชาตินี้ได้แน่นอน แต่ถ้าปรารถนาพระนิพพาน จะทำให้เราใกล้กับโสดาบันซึ่งไม่หวังในสังขารที่จะเกิดแล้ว แม้แต่การเกิดในสวรรค์ก็ตาม ซึ่งเกิดอีกเพียงเจ็ดชาติก็ไปนิพพานแล้วได้ ได้หรือไม่ เพราะตอนนี้ได้ทำบุญอย่างทุ่มเทกับวัดพระธรรมกายและทราบซึ้งในพระเมตตาของหลวงพ่อที่จะเผยแผ่วิชชามาก แต่ไม่อยากกลับมาเวียนว่ายตายเกิดอีก ถ้าอธิษฐานให้อยู่ดุสิต กลัวว่าถ้าหมดบุญหรือมีโอกาสมาเกิดเป็นมนุษย์จะเผลอไปทำผิดเข้า แล้วจะไม่จบสิ้น
ข้าพเจ้ากลุ้มใจและสับสนมากเลยตอนนี้ อยากให้ผู้รู้ช่วยตอบให้คลายกังวลด้วย ขออนุโมทนากับทุกท่านและผู้ดูแลเว็บ ที่จะไม่ลบกระทู้นี้ เพื่อเป็นการให้ความกระจ่างกับเพื่อนมนุษย์ที่ยังสับสนอยู่
ขอบคุณมากค่ะ
#2
โพสต์เมื่อ 19 September 2007 - 12:07 PM
ถ้ากล้วก็ต้องทำตามที่คุณครูไม่ใหญ่ท่านสอนสิครับ จะได้ตามติดติดตามกันไป ไม่ตกไม่หล่น ทาน ศีล ภาวนา ให้เต็มที่ แล้วอธิษฐานล้อมคอกกำกับให้ดี แต่ถ้าดีที่สุดคือปฏิบัติให้เข้าถึงพระธรรมกายภายใน ศึกษาวิชชาธรรมกาย แล้วก็วางผังชีวิตตัวเอง สังเกตดูสิครับกว่าพระบรมโพธิสัตว์จะสร้างบารมีได้อย่างแน่วแน่ ยังต้องใช้เวลานานมากๆๆๆ กว่าท่านจะมีจิตใจมั่นคงจนได้รับพุทธพยากรณ์เป็นนิยตโพธิ์สัตว์ แสดงว่าตราบใดที่บุญบารมียังไม่มากพอที่จะสอนตัวเองได้ทุกภพทุกชาติ ตราบนั้นยังมีความเสียงที่จะทำบาปได้อีก คุณครูไม่ใหญ่ท่านก็เลยสอนให้อธิษฐานล้อมคอกไงล่ะครับ
ลองถามใจตัวเองดู ว่าอยากเป็นอย่างไหน อยากไปสู่ที่สุดแห่งธรรมกับหมู่คณะ ก็ทำตามที่คุณครูไม่ใหญ่ท่านแนะนำ อยากหมดกิเลสไวๆ ก็อธิษฐานแล้วก็พยายามขัดเกลาตัวเองให้หมดกิเลสโดยเร็ว ชีวิตเรา เราต้องเลือกเองครับ คุณเท่านั้นที่ให้คำตอบได้ว่า จะไปทางไหน อยากเป็นอะไรแล้วแต่ใจของเรา.....
#3
โพสต์เมื่อ 19 September 2007 - 12:14 PM
แต่คุณลองฟัง นิทานนี้ก่อนนะครับ แล้วค่อยคิดต่อก็ได้ครับ
สมมุติเราลอยคออยู่ในทะเลกว้างใหญ่มาก ๆ ลอยอยู่นานมากแล้ว ใกล้จะตายแล้ว ก็ให้มีเรือใหญ่ลำหนึ่ง มีคนยืนชี้บอกทาง และมีคนพายอยู่ ได้มารับเราขึ้นเรือ จึงรอดชีวิตมาได้ เรือลำนี้ก็คอยรับคนในทะเลไปเรื่อย ๆ พอเต็มก็พาขึ้นฝั่งที่หนึ่ง แต่พอเราขึ้นเรือมาได้หน่อย ช่วยพายก็เหนือยแล้ว เราจะทำอย่างไง จะโวยวายแล้วเลิกช่วยงั้นเหรอ เพราะก่อนหน้านี้เขาก็พายมานานมากอยู่แล้ว เราจะทิ้งคนที่มีพระคุณของเราทำหน้าที่ต่อไปคนเดียวได้เหรอครับ
เปรียบเสมือนพระเดชพระคุณหลวงพ่อท่าน ได้ชี้แนะแนวทางหนทางการสร้างบารมี ให้เรารู้จักการดำเนินชีวิตและวิชชาธรรมกาย ให้รู้จักพ้นทางพ้นทุกข์ โดยท่านจะไปสู่ทิ้งสุดแห่งธรรม เพราะท่านได้ตั้งปณิธาณจะเข้าพระนิพพานเป็นคนสุดท้าย และเราละ จะปล่อยให้ท่านสู้ลำพังเหรอครับ
ผมว่านะครับ เราต้องตัดสินใจครับว่าเราอยากจะช่วยงานพระเดชพระคุณหลวงพ่อ (ไม่ว่าจะเป็นผู้ทำวิชชา หรือผู้ร่วมฝ่ายเสบียงคือ ส่งเสริมท่าน) หรือไม่ เพราะยังไงเราก็ต้องเข้าสู่นิพพานทุกคนอยู่แล้ว แต่หมู่คณะของเรา เข้าช้าหน่อยเท่านั้นเองครับ เมื่อเราตัดสินใจแล้วเราก็ทำตามคำครู ตรองตามคำครู ปฏิบัติให้ได้ เข้าถึงพระธรรมกาย สร้างบารมีไม่หยุดยั้งมากบ้างน้อยบ้างอธิษฐานให้ดี อย่าให้หลุดนอกวงบุญ หรือนอกพระพุทธศาสนา รับรองครับว่า เราไม่แย่แน่ครับ สู้ต่อไปนะครับ
#4
โพสต์เมื่อ 19 September 2007 - 12:29 PM
- อยู่ที่มโนปณิธาน เราต่างเวียนว่ายตายเกิดมานับไม่ถ้วน(หลวงพ่อเคยกล่าวไว้ว่ากระดูกกองเท่าภูเขา)
- ควรกำจัดความกลัว ความกังวล มั่นใจในบารมีธรรมของพระเดชพระคุณฯ สั่งสมบุญบารมีเชื่อมสายบุญกับท่านให้เป็นนิสัย
- อธิษฐานล้อมกรอบไว้ก่อนนั้นไม่เป็นการเสียหาย
- การเข้าถึงธรรมอาจดูว่าเป็นการยาก แต่ก็ไม่เหลือวิสัยของมนุษย์ในยุคนี้
- ควรพักความคิดนี้ไว้ก่อน แล้วมาหาคำตอบจากภายใน เพื่อให้เกิดความมั่นใจ เมื่อมั่นใจ ก็มั่นคง แล้วจะะสามารถตั้งผังไปถึงที่สุดแห่งธรรมพร้อมหมู่คณะนี้ให้สำเร็จได้โดยง่าย
- สุดท้ายจะเป็นอะไร แล้วแต่ใจของเรา คือ ต้องเลือกทางเองนะ
#5
โพสต์เมื่อ 19 September 2007 - 02:18 PM
#6
โพสต์เมื่อ 19 September 2007 - 04:04 PM
สู้ ๆ นะค่ะ

#7
โพสต์เมื่อ 19 September 2007 - 05:54 PM


#8
โพสต์เมื่อ 19 September 2007 - 06:38 PM
ใจฟูขึ้นเห็น ๆ เลยค่ะ ขอบคุณมาก ๆ ค่ะ
และก็เข้าใจคุณNongmai ค่ะ เพราะเคยคิดแบบนี้เหมือนกัน
เมื่อเราทำใจให้หยุดนิ่งมากขึ้น ก็พบว่ามันเกิดมาจากกิเลสตัวหนึ่ง ที่ชื่อว่า ความกลัวนั่นเอง
กลัวต่อการกระทำผิด กลัวการพลาดพลั้งต่อบาป อกุศลธรรม
แต่ที่กลับมาตั้งมั่นได้ในเวลาไม่นานนัก
ก็เนื่องจากความเชื่อมั่นในหมู่คณะ
เป็นความเชื่อมั่นที่เกิดมาจากการกระทำของพวกเราที่มีพระเดชพระคูณหลวงพ่อเป็นผู้นำนั่นเอง
ตอนนี้ จึงอธิษฐานอยู่เสมอว่า
ขอให้สอนตนเองได้
ขอให้เข้าใจกฏแห่งกรรมไปทุกภพทุกชาติจนกว่าจะถึงที่สุดแห่งธรรมค่ะ
#9
โพสต์เมื่อ 19 September 2007 - 11:52 PM
ลองศึกษาประวัติพระอรหันต์ หรือพระพุทธเจ้าซิครับ ว่าสร้างบารมีคนเดียวน่ะ โอกาส พลัดไปอบายมันมากแค่ไหน
ชาตินี้ที่พวกเรามาเจอวัดสร้างบารมีได้นั้น ก็อย่านึกว่าตัวเองเก่งนะครับ ครูบาอาจารย์ืเสียบุญไปเท่าไหร่ ถึงดึงให้ลูกๆมาสร้างบารมีได้ บางท่านคงไม่รู้นะครับ
แต่ถึงสร้างบารมีไปกับหมู่คณะ หากต้องการไปนิพพานก่อน ก็สามารถไปได้ครับ ไม่ผิดระเบียบแต่อย่างใด เพราะเส้นทางทั้งสองนั้นคือเส้นทางเดียวกัน คือเส้นทางสายกลางและการสร้างบารมี
#10
โพสต์เมื่อ 20 September 2007 - 12:08 PM
ไปนิำพพานคนเดียว หรือ มีความสุขที่สมบูรณ์แบบ คนเดียว
ไปนิพพานเป็นหมู่คณะ หรือ มีความสุขที่สมบูรณ์แบบ เป็นหมู่คณะ
ไปที่สุดแห่งธรรม หรือ มีความสุขที่สมบูรณ์แบบกันทั้งหมด
ความจริงแล้วก็เป็นเป้าหมายที่เหมือนกันครับ วิธีการก็ทำเหมือนกัน คือ การสร้างบุญสร้างบารมี เพียงแต่ต่างกันตรงขั้นตอนปลีกย่อยเท่านั้น เหมือนอะไร
เหมือนคนหลงทางกลางทะเลทรายจำนวนมาก บางคนเกิดตั้งเป้าหมายว่า จะขอเดินฝ่าทะเลทรายไปพบเมืองอันอุดมสมบูรณ์ แล้วจะช่วยให้คนอื่นๆ ที่หลงอยู่ด้วยกัน พ้นไปด้วย
ครั้นพอเขาเดินมาถึง เมืองจริงๆ เขาสามารถเลือกตัดสินใจได้สองแบบ คือ เข้าไปในเมือง มีความสุข หรือ ยังไม่เข้า ย้อนกลับมามองคนอื่นที่ยังหลงอยู่ แล้วพาไปด้วยกัน เขาก็สามารถทำได้ครับ
ดังนั้น จึุงไม่ีควรสับสนเลยครับ เพราะเป้าหมายก็เหมือนกันนั่นแหละ วิธีการก็ทำเหมือนกันนั่นแหละ คุณไปถึงทางนิพพานให้ได้ก่อน ถึงแล้วคุณก็คิดอีกทีว่า คุณจะเปลี่ยนใจหรือไม่อย่างไร น่ะครับ
เรื่องราวในอดีตกาลก็เคยมีมาแล้ว คือ พระมหากัจจายนะ สร้างบารมีเพื่อปรารถนาช่วยสรรพสัตว์ให้พ้นทุกข์ไปนิพพานด้วยกัน แต่ครั้นพอท่านมาพบพระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบัน ท่านเกิดเปลี่ยนใจ ขอตามพระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบันเข้านิพพานไป ท่านก็สามารถทำได้น่ะครับ
ส่วนอีกท่านหนึ่ง คือ พระอชิตะ ท่านก็มีบารมีจะได้เป็นพระพุทธเจ้าในอนาคตเช่นกัน ครั้นเมื่อท่านได้พบกันพระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบัน ท่านก็ไม่เปลี่ยนใจ เดินหน้าต่อไป ซึ่งในอนาคต ท่านจะได้มาเป็นพระศรีอารียเมตไตยไงล่ะครับ
มุ่งมั่นเถิดครับ ไม่มีปัญหา เพราะไม่ว่าจะเป็นนิพพาน ที่สุดแห่งธรรม หรือแม้แต่เป้าหมายง่ายๆ แค่เรียนจบ มีงานทำ ก็ไม่สามารถไปถึงได้ครับ หากยังสับสนในชีวิต
#11
โพสต์เมื่อ 20 September 2007 - 08:30 PM
ไปนิำพพานคนเดียว หรือ มีความสุขที่สมบูรณ์แบบ คนเดียว
ไปนิพพานเป็นหมู่คณะ หรือ มีความสุขที่สมบูรณ์แบบ เป็นหมู่คณะ
ไปที่สุดแห่งธรรม หรือ มีความสุขที่สมบูรณ์แบบกันทั้งหมด
ความจริงแล้วก็เป็นเป้าหมายที่เหมือนกันครับ วิธีการก็ทำเหมือนกัน คือ การสร้างบุญสร้างบารมี เพียงแต่ต่างกันตรงขั้นตอนปลีกย่อยเท่านั้น เหมือนอะไร
เหมือนคนหลงทางกลางทะเลทรายจำนวนมาก บางคนเกิดตั้งเป้าหมายว่า จะขอเดินฝ่าทะเลทรายไปพบเมืองอันอุดมสมบูรณ์ แล้วจะช่วยให้คนอื่นๆ ที่หลงอยู่ด้วยกัน พ้นไปด้วย
ครั้นพอเขาเดินมาถึง เมืองจริงๆ เขาสามารถเลือกตัดสินใจได้สองแบบ คือ เข้าไปในเมือง มีความสุข หรือ ยังไม่เข้า ย้อนกลับมามองคนอื่นที่ยังหลงอยู่ แล้วพาไปด้วยกัน เขาก็สามารถทำได้ครับ
ดังนั้น จึุงไม่ีควรสับสนเลยครับ เพราะเป้าหมายก็เหมือนกันนั่นแหละ วิธีการก็ทำเหมือนกันนั่นแหละ คุณไปถึงทางนิพพานให้ได้ก่อน ถึงแล้วคุณก็คิดอีกทีว่า คุณจะเปลี่ยนใจหรือไม่อย่างไร น่ะครับ
เรื่องราวในอดีตกาลก็เคยมีมาแล้ว คือ พระมหากัจจายนะ สร้างบารมีเพื่อปรารถนาช่วยสรรพสัตว์ให้พ้นทุกข์ไปนิพพานด้วยกัน แต่ครั้นพอท่านมาพบพระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบัน ท่านเกิดเปลี่ยนใจ ขอตามพระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบันเข้านิพพานไป ท่านก็สามารถทำได้น่ะครับ
ส่วนอีกท่านหนึ่ง คือ พระอชิตะ ท่านก็มีบารมีจะได้เป็นพระพุทธเจ้าในอนาคตเช่นกัน ครั้นเมื่อท่านได้พบกันพระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบัน ท่านก็ไม่เปลี่ยนใจ เดินหน้าต่อไป ซึ่งในอนาคต ท่านจะได้มาเป็นพระศรีอารียเมตไตยไงล่ะครับ
มุ่งมั่นเถิดครับ ไม่มีปัญหา เพราะไม่ว่าจะเป็นนิพพาน ที่สุดแห่งธรรม หรือแม้แต่เป้าหมายง่ายๆ แค่เรียนจบ มีงานทำ ก็ไม่สามารถไปถึงได้ครับ หากยังสับสนในชีวิต
_/|\__/|\__/|\_
ส า ธุ ส า ธุ ส า ธุ
ถู ก แ ล้ ว ช อ บ แ ล้ ว ดี แ ล้ ว
* * * * * * * * * * * * * * *
ใ ค ร เ ชิ ด. . .ใ ค ร ชู. . .ช่ า ง เ ข า
ใ ค ร เ บื่ อ. . .ใ ค ร บ่ น. . .ท น เ อ า
ใ จ เ ร า. . .ร่ ม เ ย็ น. . .เ ป็ น พ อ
. . .|2@|<_|3( )( )|\| @ |-|()T/\/\@I|_.C()/\/\. . .




















#12
โพสต์เมื่อ 20 September 2007 - 11:30 PM
รวมหยุดสุดยอด คือ พระสัพพัญญูุตตญาณ ที่ีพระพุทธเจ้าทุกพระองค์ ได้บรรลุ ( และก็ปรารถนาให้สรรพสัตว์ ได้บรรลุ พระสัพพัญญู อย่างพระองค์ด้วย)
อย่าลังเลเลยครับ ยิ่งหยุดใจก็ยิ่งเร็วไว
ที่สุดแห่งธรรม
#13
โพสต์เมื่อ 21 September 2007 - 02:52 AM

who know you might become พระarahun or พระปัจเจก " soon " if you are still fed up with the samsara .... good luck with what ever choice you chose



1. อดีตที่ผิดพลาด ลืมให้หมด 2. บาปทุกชนิดไม่ทำเพิ่มเด็ดขาด 3. หมั่นนึกถึงบุญอย่างสม่ำเสมอ
4. บุญทุกบุญทำให้เข้มข้นทับทวี 5. ปฏิบัติธรรมให้เข้าถึงพระธรรมกาย
ขออนุโมทนาบุญด้วยนะค่ะ _/|\_ สาธุ สาธุ สาธุ

#14
โพสต์เมื่อ 13 October 2007 - 05:29 PM
หรือที่ใดในแหล่งหล้า
คิดจะไปได้ดังใจในปัญญา
ใช่ใช้ตาเสาะแสวงในแหล่งดิน
เพราะผู้ขวา่งทางนั้นอยู่
ในใจผู้สับสนปนรู้สิ้น
จับไอ้โน่นปนไอ้นีึ่ในชีวิน
ฝังในจินตนาการที่ผ่านมา
ถ้าพบหยุดสุดท้ายสลายงง
ว่าทางตรงเป็นสิ่งใดไม่กังขา
ผังชีวิตติดตามทุกยามมา
ให้ทำลายอวิชชาในตัวตน
ไม่อยากในตอนแรกอาจแปลกจิต
ว่าหลงคิดทำไมในสับสน
ด้วยผู้รู้อยู่ในกลางใจตน
จะบอกหนทางไปให้เราเอง