ไปที่เนื้อหา


รูปภาพ
- - - - -

เนื้อนาบุญหาได้จากที่ไหนและสามารถดูได้อย่างไร


  • คุณไม่สามารถตั้งกระทู้ใหม่ได้
  • กรุณาลงชื่อเข้าใช้เพื่อตอบกระทู้
มี 11 โพสต์ตอบกลับกระทู้นี้

#1 (.^_^.)

(.^_^.)
  • Members
  • 29 โพสต์

โพสต์เมื่อ 26 September 2007 - 10:45 PM

ได้ยินมานักต่อนักว่าถ้าได้ทำบุญกับบุคคลผู้เป็นเนื้อนาบุญจะได้อานิสงค์ผลบุญมากกว่าการทำบุญกับบุคคลทั่วไป เลยอยากจะทราบว่าเนื้อนาบุญสามารถหาได้ที่ไหน แล้วเราจะทราบได้อย่างไรคะว่าพระสงฆ์อันเป็นส่วนหนึ่งของพระรัตนตรัยรูปใดคือเนื้อนาบุญ (ในเมื่อบางครั้งสิ่งที่เป็นอาจจะไม่ใช่สิ่งที่เห็น) วอนผู้รู้ได้โปรดมาช่วยชี้แนะทางสว่างให้ด้วยค่ะ

#2 เด็กผู้น้อย

เด็กผู้น้อย
  • Members
  • 436 โพสต์

โพสต์เมื่อ 27 September 2007 - 09:13 AM

หากไม่ได้ธรรมะ ไม่มีญาณทัสสนะ ไม่มีทางรู้ได้หรอกครับว่าพระรูปนี้เป็นเนื้อนาบุญที่ดีเยี่ยมหรือไม่ แม้จะสังเกตพฤตกรรมของพระรูปใดได้เป็นพระอรหันต์ก็ยังยากครับเพราะพระอรหันต์ยังมีพฤติกรรมเหมือนคนธรรมดาครับ
ฉะนั้นเนื้อนาบุญที่ดีที่สุด ขอให้นึกถึงสิ่งที่พระพุทธเจ้าท่านวางไว้เถอะครับ ว่าการทำบุญแบบสังฆทานได้อานิสงส์มาก คือการถวายโดยไม่เจาะจงสงฆ์รูปใดรูปหนึ่ง พระรูปใดก็ได้รับแทนคณะสงฆ์
แต่ถ้าหากอยากสังเกต ก็ให้ดูพฤติกรรม ศีลจารวัตร และข้อวัตรปฏิบัติ ว่าท่านอย่างน้อยปฏิบัติธรรมหรือไม่ หากวัดได้มีการปฏิบัติธรรม นั้นแหละครับเป็นเนื้อนาบุญที่ดีที่สุดแล้ว

#3 ว่างว่าง

ว่างว่าง
  • Members
  • 200 โพสต์

โพสต์เมื่อ 27 September 2007 - 09:43 AM

ผู้มีศีล สมาธิ ปัญญา ปฎิบัติถึงพร้อมด้วยพระธรรมวินัย รักษาศีลได้227ข้อ อยู่เป็นนิจ นั้นคือเนื้อนาบุญ จากการที่ผมได้บวชอบรมธรรมทายาทที่วัดพระธรรมกาย ผมได้เรียนรู้ถึงการเป็นพระแท้ เป็นเนื้อนาบุญของญาติโยม จากสิ่งแวดล้อมที่ผมอบรมธรรมยาทมา ผมจึงรู้ได้ด้วยตนเองว่า พระที่วัดพระธรรมกายส่วนใหญ่เป็นเนื้อนาบุญครับ เพราะตื่นเช้ามาตี4 ทำวัติรเช้า นั่งสมาธิตลอดทุกช่วงเวลา รวมทั้งรับบุญต่างๆ ทั้งบุญละเอียด บุญหยาบ และมีข้อวัตรปฎิบัติอันถึงพร้อมด้วยศีล สมาธิ ปัญญา แม้ศีลพร่องข้อใด ก็จะมาปลงอาบัติกัน

#4 หัดฝัน

หัดฝัน
  • Members
  • 4531 โพสต์
  • Gender:Male
  • Interests:ธรรมะ

โพสต์เมื่อ 27 September 2007 - 12:18 PM

หาได้ง่ายมากๆ ครับ เพราะอยู่ใกล้ๆตัว โดยหาได้จากแหล่งต่างๆ ดังต่อไปนี้
1. หาได้จากในบ้าน คือ ทำบุญกับบิดามารดา เพราะ บิดามารดา ท่านเปรียบประดุจพระในบ้านของลูกๆ ผู้มีพระคุณยิ่งใหญ่ ควรค่าแก่การบูชาคุณของลูกๆ น่ะครับ

2. หาได้จากโรงพยาบาลสงฆ์ หรือ โรงพยาบาลที่รับรักษาพระภิกษุป่วยไข้ หากผู้ใดทำบุญกับท่าน ย่อมได้บุญมหาศาล เหมือนกับทำบุญกับพระพุทธเจ้าทีเดียว เพราะพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงตรัสไว้ชัดเจนว่า "ผู้ใดปรารถนาพยาบาลเรา ผู้นั้นจงพยาบาลภิกษุไข้เถิด"

3. หาได้จากวัดที่มีพระผู้ปฏิบัติดีปฏิบัิติชอบ เมื่อหาพบแล้ว ให้ตั้งใจทำบุญกับท่าน แล้วตั้งจิตถวายเป็นสังฆทาน ไม่เฉพาะจงเจาะ แต่ถวายท่านเพื่อประโยชน์ของพระพุทธศาสนา หากคิดเช่นนี้ ย่อมได้บุญยิ่งใหญ่มหาศาล ดังที่ท่านได้กล่าวไว้ว่า "ในอนาคต ในยุคที่พระพุทธศาสนาเสื่อมลง พระภิกษุจะประพฤติดั่งผู้ครองเรือน คือ ทำไร่ไถนา โดยมีจีวรน้อย ห้อยหู หากใครก็ตาม ถวายทานกับท่าน เพื่อหวังประโยชน์ให้พระศาสนา คือ ให้พระศาสนาได้ดำรงอยู่ต่อไป ใครที่ถวายทานแล้วคิดเช่น ย่อมได้บุญมหาศาล


ได้ดี เพราะมีกัลยาณมิตร

#5 koonpatt

koonpatt
  • Members
  • 616 โพสต์
  • Gender:Female

โพสต์เมื่อ 27 September 2007 - 02:12 PM

บิดา มารดา เป็นเนื้อนาบุญของลูก คือพระอรหันต์ในบ้าน

- พ่อแม่เป็นเทวดาคนแรก (บุรพเทพ) ของลูก เพราะคอยปกป้องคุ้มกันภัย เลี้ยงดูลูกมาก่อนผู้มีความปรารถนาดีคนอื่นๆ

- พ่อแม่เป็นครูคนแรกของลูก เพราะสั่งสอนอบรมทั้งคำพูดและกิริยามารยาทให้ลูกก่อนคนอื่นๆ

- พ่อแม่เป็นวิสุทธิเทพของลูก เพราะมีคุณธรรม ๔ ประการ ได้แก่

1. ไม่ถือสาในความผิดของลูก แม้ว่าบางครั้งลูกจะพลาดพลั้ง ล่วงเกิน ก็ให้อภัยเสมอ

2. ปรารถนาประโยชน์แก่ลูกเสมอ ไม่ว่าลูกจะเป็นอย่างไร ก็ยังคงปรารถนาให้ลูกได้ดี มีความสุข

3. เป็นทักขิเณยยบุคคล เป็นเนื้อนาบุญของลูก เป็นผู้ที่ลูกควรทำบุญต่อตัวท่าน

4. เป็นอาหุเนยยบุคคล เป็นผู้ควรแก่การรับของคำนับ และการ นมัสการของลูก



มงคลที่ 11 บำรุงบิดา มารดา


ต้ น ไ ม้ ที่ ไ ด้ รั บ ก า ร ดู แ ล ใ ห้ น้ำ ใ ห้ ปุ๋ ย ไ ป บำ รุ ง ลำ ต้ น จ น ส ม บู ร ณ์
เ มื่ อ ถึ ง เ ว ล า แ ล้ ว ย่ อ ม อ อ ก ด อ ก อ อ ก ผ ล ใ ห้ แ ก่ เ จ้ า ข อ ง ฉั น ใ ด
ค น ที่ ไ ด้ รั บ ก า ร เ ลี้ ย ง ดู จ น เ ติ บ ใ หญ ่
เ มื่ อ มี โ อ ก า ส ย่ อ ม ต อ บ แ ท น คุ ณ พ่ อ แ ม่ แ ล ะ ผู้ มี อุ ป ก า ร คุ ณ ฉั น นั้ น
ท อ ง คำ แ ท้ ห รื อ ไ ม่ โ ด น ไ ฟ ก็ รู้
ค น ดี แ ท้ ห รื อ ไ ม ่ ใ ห้ ดู ต ร ง ที่ เ ลี้ ย ง พ่ อ แ ม่
ถ้ า ดี จ ริ ง ต้ อ ง เ ลี้ ย ง พ่ อ แ ม่ ถ้ า ไ ม่ เ ลี้ ย ง แ ส ด ง ว่ า ดี ไ ม่ จ ริ ง
เ ป็ น พ ว ก ท อ ง ชุ บ ท อ ง เ ก๊


พ ร ะ คุ ณ ข อ ง พ่ อ แ ม่

พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสอุปมาว่า ถ้าบุตรจะพึงวางบิดามารดาไว้บนบ่าทั้งสองของตน ประคับประคองท่านอยู่บนบ่านั้น ป้อนข้าวป้อนน้ำและให้ท่านถ่ายอุจจาระปัสสาวะบนบ่านั้นเสร็จ แม้บุตรจะมีอายุถึง ๑๐๐ ปี และปรนนิบัติท่านไปจนตลอดชีวิต ก็ยังนับว่าตอบแทนพระคุณท่านไม่หมด

ยังมีผู้อุปมาไว้ว่า หากเราใช้ท้องฟ้าแทนกระดาษ ยอดเขาพระสุเมรุ แทนปากกา น้ำในมหาสมุทรแทนหมึก เขียนบรรยายคุณของพ่อแม่ จนท้องฟ้าเต็มไปด้วยอักษร ภูเขาสึกกร่อนจนหมด น้ำในมหาสมุทรเหือดแห้ง ก็ยังบรรยายคุณของพ่อแม่ไม่หมด

บิดามารดาเป็นผู้มีพระคุณอันยิ่งใหญ่ของบุตร สรุปโดยย่อคือ

เป็นต้นแบบทางกาย แบบเป็นสิ่งที่จำเป็นในการทำให้ของทั้งหลาย ในโลกมีค่าสูงขึ้น ตัวอย่างเช่น ก้อนดินเหนียวธรรมดา ถ้าหากนำมาใส่แบบพิมพ์แล้วพิมพ์เป็นตุ๊กตา ก็ทำให้ดินก้อนนั้นมีค่าขึ้นมา เป็นเครื่องประดับบ้านเรือนได้ ดินเหนียวก้อนเดียวกันนี้ หากได้แบบที่ดีกว่าขึ้นมาอีก เช่นแบบเป็นพระพุทธรูป ดินเหนียวก้อนนี้ก็จะทรงคุณค่ามากยิ่งขึ้น ผู้คนได้กราบไหว้บูชา จะเห็นได้ว่า คุณค่าของดินเหนียวก้อนนี้ขึ้นอยู่กับแบบที่พิมพ์นั่นเอง

ในทำนองเดียวกัน การเกิดของสัตว์ เช่นเป็น ช้าง ม้า วัว ควาย ฯลฯ แม้จะมีปัญญาติดตัวมามากสักปานใด ก็ไม่สามารถทำความดีได้เต็มที่ โชคดีที่เราได้เกิดเป็นคน ได้โครงร่างที่ประเสริฐกว่าสัตว์ทั้งหลาย เหมาะในการทำ ความดีทุกประการ เราจึงสามารถใช้ความรู้ความสามารถประกอบคุณความดีได้เต็มที่ ทั้งนี้ก็เพราะเรามีพ่อแม่เป็นต้นแบบทางกายให้นั่นเอง

เป็นต้นแบบทางใจ ให้ความอุปการะเลี้ยงดู ฟูมฟัก ทะนุถนอม อบรมสั่งสอน ปลูกฝังกิริยามารยาท ให้ความรู้ทั้งทางโลกและทางธรรมแก่ลูก พระคุณของพ่อแม่ในการเป็นต้นแบบทางกายให้เรา ก็นับว่ามีมากเหลือหลายแล้ว ยิ่งท่านอบรมเลี้ยงดูเรามา เป็นต้นแบบทางใจให้ด้วย ก็ยิ่งมีพระคุณมากเป็นอเนกอนันต์

ส ม ญ า น า ม ข อ ง พ่ อ แ ม่

สมญานามของพ่อแม่นั้น กล่าวกันว่าท่านเป็นทั้งพรหมของลูก เทวดาคนแรกของลูก ครูคนแรกของลูก และเป็นพระอรหันต์ของลูก ซึ่งอธิบายได้ดังนี้

- พ่อแม่เป็นพรหมของลูก เพราะเหตุที่มีพรหมวิหารธรรม ๔ ประ-การ ได้แก่

มีเมตตา คือมีความปรารถนาดีต่อลูกไม่มีที่สิ้นสุด

มีกรุณา คือหวั่นใจในความทุกข์ของลูก และคอยช่วยเหลือเสมอ ไม่ทอดทิ้ง

มีมุทิตา คือเมื่อลูกมีความสุขสบาย ก็มีความปลาบปลื้มยินดีด้วยความจริงใจ

มีอุเบกขา คือเมื่อลูกมีครอบครัวสามารถเลี้ยงตนเองได้แล้ว ก็ไม่วุ่นวายกับชีวิตครอบครัวลูกจนเกินงาม และหากลูกผิดพลาดก็ไม่ซ้ำเติม แต่กลับคอยเป็นที่ปรึกษาให้เมื่อลูกต้องการ

- พ่อแม่เป็นเทวดาคนแรก (บุรพเทพ) ของลูก เพราะคอยปกป้องคุ้มกันภัย เลี้ยงดูลูกมาก่อนผู้มีความปรารถนาดีคนอื่นๆ

- พ่อแม่เป็นครูคนแรกของลูก เพราะสั่งสอนอบรมทั้งคำพูดและกิริยามารยาทให้ลูกก่อนคนอื่นๆ

- พ่อแม่เป็นวิสุทธิเทพของลูก เพราะมีคุณธรรม ๔ ประการ ได้แก่

ไม่ถือสาในความผิดของลูก แม้ว่าบางครั้งลูกจะพลาดพลั้ง ล่วงเกิน ก็ให้อภัยเสมอ

ปรารถนาประโยชน์แก่ลูกเสมอ ไม่ว่าลูกจะเป็นอย่างไร ก็ยังคงปรารถนาให้ลูกได้ดี มีความสุข

เป็นทักขิเณยยบุคคล เป็นเนื้อนาบุญของลูก เป็นผู้ที่ลูกควรทำบุญต่อตัวท่าน

เป็นอาหุเนยยบุคคล เป็นผู้ควรแก่การรับของคำนับ และการ นมัสการของลูก


คุ ณ ธ ร ร ม ข อ ง ลู ก

เมื่อพ่อแม่มีพระคุณมากมายปานนี้ ลูกจึงควรมีคุณธรรมต่อท่าน คุณธรรมของลูก เริ่มที่รู้จักคุณพ่อแม่ คือรู้ว่าท่านดีต่อเราอย่างไร สูงขึ้นไปอีก คือตอบแทนคุณท่าน ในทางพระพุทธศาสนา ได้บรรยายคุณธรรมของลูกไว้อย่างสั้นๆ แต่เก็บความไว้ได้อย่างครบถ้วน คือคำว่า กตัญญู กตเวที คุณค่าและศักดิ์ศรีของความเป็นลูกรวมอยู่ใน ๒ คำนี้

กตัญญู หมายถึง เห็นคุณค่าท่าน คือเห็นด้วยใจ ด้วยปัญญาว่า ท่านเป็นผู้มีพระคุณต่อเราอย่างแท้จริง ไม่ใช่สักแต่ว่าปากท่องพระคุณพ่อแม่ปาวๆ ไปเท่านั้น

คุณของพ่อแม่ดูได้จากอุปการะ คือประโยชน์ที่ท่านทำแก่เรามีอะไรบ้าง ที่แตกต่างจากคนอื่น ตามธรรมดาของคนทั่วๆ ไป เมื่อจะอุปการะใคร เขาต้องเห็นทางได้ เช่น เห็นหลักทรัพย์ หรือดูนิสัยใจคอ ต่อเมื่อแน่ใจแล้วว่า อุปการคุณของเขาจะไม่สูญเปล่า จึงลงมือช่วยเหลือ แต่ที่พ่อแม่อุปการะเรานั้น เป็นการอุปการะโดยบริสุทธิ์ใจจริงๆ ไม่ได้มองถึงหลักประกันใดๆ เลย เราเองก็เกิดมาตัวเปล่า ไม่มีหลักทรัพย์แม้แต่เข็มเล่มเดียว ยังไม่รู้เสียด้วยซ้ำว่า อวัยวะร่างกายจะใช้ได้ครบถ้วนหรือไม่ ยิ่งนิสัยใจคอแล้ว ยิ่งรู้ไม่ได้เอาทีเดียว โตขึ้นมาจะเป็นอย่างไร จะเป็นคนอกตัญญูหรือไม่ ไม่รู้ทั้งนั้น หนังสือสัญญาการรับปากสักคำเดียว ระหว่างเรากับท่านก็ไม่มี แต่ทั้งๆ ที่ไม่มี ท่านทั้งสองก็ได้โถมตัวเข้าช่วยเหลือเราจนสุดชีวิต ที่ยากจนก็ถึงกับกู้หนี้ยืมสินคนอื่นมาช่วย เรื่องเหล่านี้ ต้องคิดดูด้วยเหตุผล อย่าสักแต่คิดด้วยอารมณ์เท่านั้น การพิจารณาให้เห็นคุณของพ่อแม่ด้วยใจอย่างนี้แหละ เรียกว่า กตัญญู เป็นคุณธรรมเบื้องต้นของผู้เป็นลูก ยิ่งพิจารณาเห็นคุณท่านมากเท่าไร แสดงว่าใจของเราเริ่มใส และสว่างมากขึ้นเท่านั้น

กตเวที หมายถึง การทดแทนพระคุณของท่าน ซึ่งมีงานที่ต้องทำ ๒ ประการ คือ

1. ประกาศคุณท่าน

2. ตอบแทนคุณท่าน

การประกาศคุณท่าน หมายถึง การทำให้ผู้อื่นรู้ว่าพ่อแม่มีคุณแก่เราอย่างไรบ้าง มากน้อยเพียงใด เรื่องนี้มีคนคิดทำอยู่มากเหมือนกัน แต่ส่วนมาก ไปทำตอนงานศพ คือเขียนประวัติสรรเสริญคุณพ่อแม่ในหนังสือแจก การกระทำเช่นนี้ก็ถูก แต่ถูกเพียงเปลือกนอกผิวเผินนัก ถ้าเป็นการกินผลไม้ ก็แค่เคี้ยวเปลือกเท่านั้น ยังมีทำเลที่จะประกาศคุณพ่อแม่ที่สำคัญกว่านี้ คือที่ตัวเรานี่เอง

คนเราทุกคนคือตัวแทนของพ่อแม่ตนทั้งนั้น เลือดก็แบ่งมาจากท่าน เนื้อก็แบ่งมาจากท่าน ตลอดจนนิสัยใจคอก็ได้รับการอบรมถ่ายทอดมาจากท่าน ความประพฤติของตัวเรานี่แหละ จะเป็นเครื่องประกาศคุณพ่อแม่อย่างชัดแจ้งที่สุด ไม่ใช่อยู่ที่หนังสือแจก ไม่ใช่อยู่ที่หีบศพบนเชิงตะกอน แต่อยู่ที่ตัวเรานี่เอง หากพิมพ์ข้อความไว้ในหนังสือแจกว่า คุณพ่อคุณแม่เป็นคนตั้งอยู่ในศีลในธรรม แต่ตัวเราเองประพฤติสำมะเลเทเมา คอร์รัปชั่นทุกครั้งที่มีโอกาส ศีลข้อเดียวก็ไม่สนใจรักษาก็ผิดที่ไป สดุดีคุณพ่อแม่ว่าเป็นคนดี สุภาพเรียบร้อย แต่ตัวเราผู้เป็นลูกกลับประพฤติตัวเป็นนักเลงอันธพาล อย่างนี้คุณค่าของการสรรเสริญพ่อแม่ก็ลดน้ำหนักลง กลายเป็นว่ามอบหน้าที่ในการกตเวทีประกาศคุณพ่อแม่ ให้หนังสือทำแทน ให้กระดาษ ให้เครื่องพิมพ์ ให้ช่างเรียงพิมพ์ แสดงกตเวทีแทน แล้วตัวเรากลับประจานพ่อแม่ของตัวเอง อย่างน้อยที่สุดก็ประจานแก่ ชาวบ้านว่า พ่อแม่ของเราเลี้ยงลูกได้ไม่ดี

พ่อแม่ของใครใครก็รัก เมื่อรักท่านก็จงประกาศคุณความดีของท่านสิ ประกาศด้วยความดีของตัวเราเอง ตั้งแต่เดี๋ยวนี้ ยิ่งท่านยังมีชีวิตอยู่ การประกาศคุณของเราจะทำให้ท่านมีความสุขใจอย่างยิ่ง ส่วนใครจะประพันธ์สรรเสริญคุณพ่อแม่ พิมพ์แจกเวลาท่านตายแล้ว นั่นเป็นประเด็นเบ็ดเตล็ด จะทำก็ได้ ไม่ทำก็ไม่เสียหายอะไร

ไม่ว่าเราจะตั้งใจประกาศคุณท่านหรือไม่ ความประพฤติของเราก็เป็นตัวประกาศคุณท่าน หรือประจานท่านอยู่ตลอดเวลา คิดเอาเองก็แล้วกันว่า เราจะประกาศคุณพ่อแม่ของเรา ด้วยเกียรติยศชื่อเสียง หรือจะใจดำ ถึงกับประจานผู้บังเกิดเกล้า ด้วยการทำตัวเป็นพาลเกเรและประพฤติต่ำทราม

การตอบแทนคุณท่าน แบ่งเป็น ๒ ช่วง คือ

เมื่อท่านยังมีชีวิตอยู่ ก็ช่วยเหลือกิจการงานของท่าน เลี้ยงดูท่านตอบเมื่อยามท่านชรา ดูแลปรนนิบัติการกินอยู่ของท่าน ให้สะดวกสบายและเอาใจใส่ช่วยเหลือ เมื่อท่านเจ็บป่วย

เมื่อท่านล่วงลับไปแล้ว ก็จัดพิธีศพให้ท่าน และทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้ท่านอย่างสม่ำเสมอ

แม้ว่าเราจะตอบแทนพระคุณท่านถึงเพียงนี้แล้ว ยังนับว่าเล็กน้อยมาก เมื่อเทียบกับพระคุณอันยิ่งใหญ่ ที่ท่านมีต่อเรา ผู้ที่มีความกตัญญูกตเวทีต้องการจะสนองพระคุณท่าน ให้ได้ทั้งหมด พึงกระทำดังนี้

ถ้าท่านยังไม่มีศรัทธาในพระพุทธศาสนา ก็พยายามชักนำให้ท่านตั้งอยู่ในศรัทธาให้ได้

ถ้าท่านยังไม่ถึงพร้อมด้วยการให้ทาน ก็พยายามชักนำให้ท่านยินดีในการบริจาคทานให้ได้

ถ้าท่านยังไม่มีศีล ก็พยายามชักนำให้ท่านรักษาศีลให้ได้

ถ้าท่านยังไม่ทำสมาธิภาวนา ก็พยายามชักนำให้ท่านทำสมาธิภาวนาให้ได้

เพราะว่าการตั้งอยู่ในศรัทธา การให้ทาน การรักษาศีล การทำสมาธิภาวนาเป็นประโยชน์โดยตรง และเป็นประโยชน์อันยิ่งใหญ่แก่ตัวบิดามารดาผู้ปฏิบัติ เองทั้งในภพนี้ภพหน้า และเป็นประโยชน์อย่างยิ่ง คือเป็นหนทางไปสู่นิพพาน


อ า นิ ส ง ส์ ก า ร บ ำ รุ ง บิ ด า ม า ร ด า


1. ทำให้เป็นคนมีความอดทน

2. ทำให้เป็นคนมีสติรอบคอบ

3. ทำให้เป็นคนมีเหตุผล

4. ทำให้พ้นทุกข์พ้นภัย

5. ทำให้ได้ลาภโดยง่าย

6. ทำให้แคล้วคลาดภัยในยามคับขัน

7. ทำให้เทวดาลงรักษา

8. ทำให้ได้รับการยกย่องสรรเสริญ

9. ทำให้มีความเจริญก้าวหน้า

10. ถ้ามีลูกก็จะได้ลูกที่ดี

11. ทำให้มีความสุข

12. ทำให้เป็นแบบอย่างอันดีแก่อนุชนรุ่นหลัง

ฯลฯ

"เพราะการปรนนิบัติในมารดาบิดานั้นแล บัณฑิตทั้งหลายย่อมสรรเสริญเขาในโลกนี้นี่เอง
เขาละโลกไปแล้ว ย่อมบันเทิงในสวรรค์"
ขุ. ชา. สตฺตติ ๒๘/๑๖๒/๖๗


จบมงคลที่ ๑๑ บำรุงบิดามารดา



พระผู้วิเศษ


โดย พระราชสังวรญาณ (หลวงพ่อพุธ ฐานิโย)
เทศนาอบรมข้าราชการกระทรวงศึกษาธิการณ อาคารรัชมังคลาภิเษก กระทรวงศึกษาธิการ
วันที่ ๒๕ พฤศจิกายน ๒๕๓๕


คัดลอกมาให้อ่านบางตอนค่ะ
สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
จึงตรัสว่า มาตาปิตุอุปัฎฐานัง การอุปัฎฐากบิดามารดาเป็นมงคลอันสูงสุด
เพราะบิดามารดาเป็นพระพรหมของลูก บิดามารดาเป็นพระอรหันต์ของลูก
บิดามารดาเป็นเนื้อนาบุญของลูก เพราะฉะนั้น ชาวพุทธเรานี่ควรจะได
้รู้จักพระสององค์นี้ก่อน อย่างบางทีอาตมาเคยเห็นคนบางคนกำลังจัดของ
จะไปจังหันพระ ตาแก่ยายแก่มองดูแล้ว

"เออ! ของนี่น่าอร่อย แม่ขอกินหน่อยได้ไหม"

"ไม่ได้ ไม่ได้ ฉันจะเอาไปวัด บาป"

เพราะฉะนั้น ให้ถือคติเสียว่า เรามีมือสองข้าง วันหนึ่ง ๆ ก่อนที่จะยกขึ้น
ไหว้ใครต้องยกขึ้นไหว้พ่อแม่เราก่อน ถึงแม้ว่าท่านไม่อยู่ด้วยก็ตาม
พอตื่นจากที่นอนมาแล้ว พนมมือสองข้างขึ้น
"สาธุ .... ข้าพเจ้าไหว้พ่อไหว้แม่"ทำทุกวัน ๆ เป็นสิริมงคล

ถ้าหากว่าท่านอยู่ต่อหน้าเรา ก่อนจะไปทำงานทำการก็ยกมือขึ้นไหว้
หรือกราบตักท่านก่อน เพราะว่าออกไปข้างนอกแม้เราจะต้องไปพบเพื่อนฝูง
ผู้หลักผู้ใหญ่ เราจำเป็นจะต้องยกมือไหว้
เพราะฉะนั้น วันหนึ่ง ๆ เราต้องยกมือขึ้นไหว้พ่อแม่เราก่อน
ถ้ามีของอุปโภค บริโภคต้องยกประเคนให้พ่อแม่เราก่อน
ก่อนที่จะเอาไปให้คนอื่น หรือถวายพระก็ตาม
ต้องมีส่วนแบ่งให้พ่อให้แม่

ถ้าหากว่าใครจะเลี้ยงดูพ่อแม่ของตนเองให้มีความสุขสบายจริง ๆ
แม้ว่าเราจะมีทรัพย์สมบัติมากมายก่ายกองในโลกนี้ เรามอบทรัพย์
สมบัติบรรดาที่เรามีอยู่ไปประเคนให้พ่อให้แม่ทั้งหมด หรือว่าเรา
อาจจะเอาพ่อเอาแม่ของเรานี่ เอาพ่อนั่งบนบ่าข้างหนึ่ง เอาแม่นั่ง
บนบ่าข้างหนึ่ง เอาศรีษะของเรารองรับสำรับเครื่องอุปโภคบริโภค
เมื่อเวลาท่านหนักเบา ก็ให้ท่านถ่ายราดตัวลงไป ทำอยู่อย่างนั้นจน
ตลอดชีวิต ก็ไม่ชื่อว่า เป็นการสนองพระคุณของท่านให้ถึงที่สุดได้

มันง่ายนิดเดียว ถ้าจะทำง่ายนิดเดียว ที่ว่าง่าย ทำอย่างไร
ถ้าเรายังอยู่ในการปกครองใกล้ชิดพ่อแม่ ถ้าพ่อแม่บอกว่า
"อย่านะลูก" หยุดทันที
"อย่านะ" หยุดทันที

ทำไมถึงต้องหยุด พ่อแม่บางคน ถ้าหากเห็นว่าลูกของตนไม่อยู่
ในโอวาทคำสั่งสอนไม่เชื่อคำสั่งสอน ทำอะไรเอาแต่ใจตัวเอง
บางทีถูกว่ากล่าวตักเตือน เดินลงส้นตึง ๆ หนึไปต่อหน้า
พ่อแม่บางคนใจอ่อน แถมเป็นโรคหัวใจด้วย ประเดี๋ยวคนแก่
ก็เป็นลมชักตาย หรือไม่ก็สลบไป

ถ้าเหตุการณ์อย่างนี้เกิดขึ้น อนันตริยกรรม นี่คืออนันตริยกรรม
ท่านโมคคัลลาน์ว่าฆ่าพ่อฆ่าแม่ ท่านไม่ฆ่าให้ตายหรอกนะ
อย่าไปเข้าใจผิด ท่านหลงเชื่อคำภรรยาที่ไม่ชอบพ่อแม่ของท่าน
ภรรยาของท่าน ยุยงส่งเสริมบอกว่า

"ถ้าเอาตาแก่ยายแก่สองคนอยู่ในบ้าน ฉันจะไม่อยู่
ฉันจะกลับไปอยู่บ้านพ่อบ้านแม่ของฉัน"

ในช่วงนั้นท่านหลงรักเมียมากเกินไป ไปหลงเชื่อเมีย ก็เอาบิดามารดา
บรรทุกใส่ล้อเกวียนขับเข้าไปในป่าเลย พอไปถึงป่ารก ก็ทำไปจอดเกวียนเอาไว้
แล้วก็ทำทีเหมือนโจรวิ่งออกมาจากป่า ส่งเสียงร้อง เอามัน ๆ เอามัน ๆ
แล้วก็มาทุบตีพ่อแม่ โดยเจตนาคือหวังจะให้ตายนั่นแหละ แต่บังเอิญคุณแม่
ของท่านก็พูดขึ้นมาว่า

"ลูกเอ๊ย เจ้าหนีไปไกล ๆ พ่อแม่แก่แล้ว ไม่ต้องเป็นห่วง
เจ้าเอาตัวรอดเถิด เจ้ายังน้อยยังหนุ่ม"

พอได้ยินเท่านั้นใจอ่อนเลย พอใจอ่อนลงก็ทำทีวิ่งหนึไป แล้วก็ย้อนกลับ
มาปลอบโยนพ่อแม่ แล้วก็นำกลับไปบ้าน เอาละ ระหว่างคนรักกับพ่อแม่

"ฉันต้องเลือกเอาพ่อแม่ของฉันเด็ดขาด เธอจะอยู่หรือไม่อยู่ไม่สำคัญ
ขอให้ฉันมีพ่อแม่อยู่เป็นคู่ชีวิตของฉันต่อไปพอใจแล้ว"

แต่กระนั้น แม้ท่านยังไม่ได้ทำให้พ่อแม่ถึงขนาดล้มตาย เพียงแต่ทุบตี
ให้เจ็บเท่านั้น บาปเป็นอนันตริยกรรม ไปเวียนว่ายเกิดอยู่ในนรกไม่รู้กี่หน
จนกระทั่งเกิดมาศาสนาพระสมณโคดมจึงได้มาอุปสมบท ได้สำเร็จพระอรหันต์
พอได้สำเร็จพระอรหันต์แล้ว พอจวนท่านจะปรินิพพานก็ถูกโจรทุบเสียจน
กระดูกแหลก จนได้เข้าฌานประสานกระดูก เหาะมาทูลลาพระพุทธเจ้าเพื่อ
นิพพาน อันนี้คือเศษของกรรม เศษของกรรมที่มันยังเหลืออยู่เพียงเล็กน้อย

เรื่องของอนันตริยกรรมนี่มันเป็นกรรมหนัก ถ้าใครทำในชั่วชีวิตนี้
ชาตินี้เป็นอันหมดโอกาสที่จะได้บรรลุมรรคผลนิพพาน แต่ว่าชาติต่อ ๆ ไป
นั่นไม่เป็นอุปสรรค เพราะฉะนั้น กรรมหนัก ที่เราควรจะระมัดระวัง
อย่าประทุษร้ายพ่อแม่ของตน


การประทุษร้ายนี่ ประทุษร้ายทุบตีทางกายหรือทำให้เจ็บช้ำ ประทุษร้าย
ทางใจหมายความว่าทำให้เจ็บอกเจ็บใจหรือช้ำใจ หรือทำให้เสียใจ
เพราะฉะนั้น ให้ถือคติเอาไว้ว่า ถ้าผู้ใดจะรักเคารพบูชาพ่อแม่ของตน
จริง ๆ ในเมื่อท่านบอกว่า "อย่า" แล้ว หยุด ทันที
ถ้าหากสิ่งนั้นเรายังไม่พอใจ เอาไว้โอกาสหลังใจดี ๆ มาคุยกับท่าน
เพื่อเอาอกเอาใจท่าน อันนี้เป็นหลักอันหนึ่ง ที่ชาวพุทธเราต้องยึดถือ
เป็นหลักในการปฏิบัติ อันนี้เป็นการปฏิบัติกับพ่อกับแม่





จึงยังคง เชื่อมั่นและศรัทธาใน "รัก" เหมือนอย่างที่เคย...เสมอมา...และจะตลอดไป
แด่
เธอ...ผู้นำแสงสว่างสู่...กลางใจ

#6 Midori

Midori
  • Members
  • 49 โพสต์

โพสต์เมื่อ 27 September 2007 - 08:48 PM

ขอบคุณค่ะ

Midori~Midori


#7 koonpatt

koonpatt
  • Members
  • 616 โพสต์
  • Gender:Female

โพสต์เมื่อ 28 September 2007 - 10:39 AM

ลำดับแห่งเนื้อนาบุญ


แม้วัตถุทานจะบริสุทธิ์ก็ดี เจตนาในการให้ทานจะบริสุทธิ์ก็ดีแต่ทานนั้นจะมีผลน้อยหรือมาก ย่อมขึ้นอยู่กับเนื้อนาบุญเป็นลำดับดังต่อไปนี้
1. ทานที่ให้แก่สัตว์เดรัจฉาน 100 ครั้ง ได้ผลน้อยกว่าทานที่ให้แก่มนุษย์ที่ไม่มีศีล ไม่มีธรรมเพียงครั้งเดียว
2. ทานที่ให้แก่มนุษย์ที่ไม่มีศีลไม่มีธรรม 100 ครั้ง ได้ผลน้อยกว่าทานที่ให้แก่มนุษย์ที่มีศีล 5 เพียงครั้งเดียว
3. ทานที่ให้แก่มนุษย์ที่มีศีลห้า 100 ครั้ง ได้ผลน้อยกว่าทานที่ให้แก่มนุษย์ที่มีศีล 8 เพียงครั้งเดียว
4. ทานที่ให้แก่มนุษย์ที่มีศีลแปด 100 ครั้ง ได้ผลน้อยกว่าทานที่ให้แก่มนุษย์ที่มีศีล 10 เพียงครั้งเดียว
5. ทานที่ให้แก่ผู้ที่มีศีล 10 คือสามเณร 100 ครั้ง ได้ผลน้อยกว่าทานที่ให้แก่ภิกษุผู้มีศีล 227
6. ทานที่ให้แก่พระภิกษุ 100 ครั้ง ได้ผลน้อยกว่าทานที่ให้แก่ พระโสดาบันเพียงครั้งเดียว
7. ทานที่ให้แก่พระโสดาบัน 100 ครั้ง ได้ผลน้อยกว่าทานที่ให้แก่พระสกิทาคามีเพียงครั้งเดียว
8. ทานที่ให้แก่พระสกิทาคามี 100 ครั้ง ได้ผลน้อยกว่าทานที่ให้แก่พระอนาคามีเพียงครั้งเดียว
9. ทานที่ให้แก่พระอนาคามี 100 ครั้ง ได้ผลน้อยกว่าทานที่ให้แก่พระอรหันต์เพียงครั้งเดียว
10. ทานที่ให้แก่พระอรหันต์ 100 ครั้ง ได้ผลน้อยกว่าทานที่ให้แก่พระปัจเจกพุทธเจ้าเพียงครั้งเดียว
11. ทานที่ให้แก่พระปัจเจกพระพุทธเจ้า 100 ครั้ง ได้ผลน้อยกว่าทานที่ให้แก่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าเพียงครั้งเดียว
12. ทานที่ให้แก่พระสัมมาสัมพุทธเจ้า 100 ครั้ง ได้ผลน้อยกว่าสังฆทานที่ให้แก่พระสงฆ์ที่มีพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นประธาน เพียงครั้งเดียว
13. ถวายสังฆทานที่ให้แก่พระสงฆ์ที่มีพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นประธาน 100 ครั้ง ได้ผลน้อยกว่าการถวายวิหารทาน คือ สร้างกุฏิ, อุโบสถ, ศาลาเพียงครั้งเดียว
14. ให้วิหารทาน 100 ครั้ง ได้ผลน้อยกว่าการให้ธรรมทานเพียงครั้งเดียว
15. ให้ธรรมทาน 100 ครั้ง ได้ผลน้อยกว่าการให้อภัยทานเพียงครั้งเดียว
16. ให้อภัยทาน 100 ครั้ง ได้ผลน้อยกว่าการรักษาศีล 5
17. รักษาศีล 5 ได้ผลน้อยกว่าการรักษาศีล 8
18. รักษาศีล 8 ได้ผลน้อยกว่าการรักษาศีล 10
19. รักษาศีล 10 แม้นาน 100 ปี ได้ผลน้อยกว่าการอุปสมบทเป็นพระภิกษุผู้รักษาศีล 227
20. การอุปสมบทเป็นพระภิกษุผู้รักษาศีล 227 ไม่ด่างพร้อย 100 ปี ได้ผลน้อยกว่าผู้ทำสมาธิให้จิตสงบชั่วขณะนานเท่าไก่กระพือปีก งูแลบลิ้น ช่วงลัดนิ้วมือเดียว


จะเห็นได้ว่า การที่เราจะทำบุญให้ได้บุญมากๆนั้น ไม่จำเป็นที่จะต้องใช้เงินเลยด้วยซ้ำ แต่ต้องใช้ หัวจิต หัวใจ ของเราเอง นั้นจึงจะเป็นบุญที่ยิ่งใหญ่

ขออนุโมทนาบุญกับ ทุกๆท่านด้วยค่ะ สา...ธุ
จึงยังคง เชื่อมั่นและศรัทธาใน "รัก" เหมือนอย่างที่เคย...เสมอมา...และจะตลอดไป
แด่
เธอ...ผู้นำแสงสว่างสู่...กลางใจ

#8 หัดฝัน

หัดฝัน
  • Members
  • 4531 โพสต์
  • Gender:Male
  • Interests:ธรรมะ

โพสต์เมื่อ 28 September 2007 - 11:17 AM

ขอเสริมคุณ koonpatt นิดนึงนะครับว่า

การอุปสมบทเ้ป็นพระภิกษุ หรือ ที่เรียกว่า การบวช นั้น หลายท่านคิดว่า การบวชไม่ใช่การบริจาคทาน ไม่ได้ใช้เงินบริจาคออกไป

แต่ความจริง ไม่ใช่เช่นนั้นครับ เพราะการบวชถือเป็นหนึ่งในสุดยอดแห่งมหาทานด้วยครับ เพราะผู้บวช(ตลอดชีวิต) เขาจะต้องสละสมบัติ ลาภ ยศ บริวาร ทุกสิ่งทุกอย่างที่เขามีอยู่ยกให้กับบุคคลที่อยู่เบื้องหลัง แม้ผู้ที่อยู่เบื้องหลังเขา ซึ่งก็คือ ทายาท ลูก เมีย จะเป็นเพียงปุถุชน (ไม่ใช่เนื้อนาบุญ) แต่การที่มีใจสละทุกสิ่งทุกอย่างทั้งหมด เพื่อไปบวชนั้่นแหละ จัดเป็นมหาทานที่ยิ่งใหญ่ ถือเป็นบุญกุศลอันมหาศาลทีเดียว (นี่นับเฉพาะเรื่องทาน ยังไม่นับเรื่องศีล ภาวนาที่เป็นมหาบุญเสริมเข้ามาอีก)
ได้ดี เพราะมีกัลยาณมิตร

#9 koonpatt

koonpatt
  • Members
  • 616 โพสต์
  • Gender:Female

โพสต์เมื่อ 28 September 2007 - 11:31 AM

ขอบพระคุณ คุณหัดฝันมากค่ะ ที่เพิ่มเติมความเข้าใจให้มากขึ้น ทำให้มองภาพชัดเจนขึ้นอีกค่ะ

สาธุ..กับ การให้ธรรมะเป็นทาน ของคุณหัดฝันด้วยนะคะ

คือ...ที่ koonpatt พูดว่า ไม่ต้องใช้เงินแต่ ใช้ หัวจิต หัวใจของเรา นั้น มาจากลำดับของ เนื้อนาบุญที่ อ่านเจอมาน่ะค่ะ ตั้งแต่ ลำดับที่ 16 ค่ะ คือ...

ให้อภัยทาน 100 ครั้ง ได้ผลน้อยกว่าการรักษาศีล 5
รักษาศีล 5 ได้ผลน้อยกว่าการรักษาศีล 8
รักษาศีล 8 ได้ผลน้อยกว่าการรักษาศีล 10
รักษาศีล 10 แม้นาน 100 ปี ได้ผลน้อยกว่าการอุปสมบทเป็นพระภิกษุผู้รักษาศีล 227
การอุปสมบทเป็นพระภิกษุผู้รักษาศีล 227 ไม่ด่างพร้อย 100 ปี ได้ผลน้อยกว่าผู้ทำสมาธิให้จิตสงบชั่วขณะนานเท่าไก่กระพือปีก งูแลบลิ้น ช่วงลัดนิ้วมือเดียว


ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่สามารถ ซื้อหาได้ด้วยเงิน แต่เราต้องใช้ ทั้งหมดที่เรามี คือ หัวจิต หัวใจ ความคิด ทุกๆอย่างที่เป็นเรา ในการที่จะทำให้ได้น่ะค่ะ

เนื่องจาก หลายๆ กระทู้ที่ โพสต์เข้ามา มันจะมีความวิตกกังวลในเรื่องเงินทำบุญ ว่า ยังมีน้อยอยู่ แต่อยากทำบุญใหญ่ koonpatt จึงคิดว่า

ถ้าเรามีความเข้าใจในเรื่องของการทำบุญมากขึ้น อย่างที่เรียกว่า "หาบุญได้ ใช้บุญเป็น" เราก็จะเข้าใจและสามารถที่จะ หาบุญได้จาก การปฏิบัติของเรา โดยที่สามารถตัดความวิตกกังวลในเรื่องของเงินลงได้ ใจเราก็จะใสขึ้น

ยกตัวอย่างเช่น ท่านที่ไม่สะดวกที่จะมาวัดในบางวัน ก็หันไปทำดีมากๆ กับ คุณพ่อ คุณแม่ (ซึ่งก็คือ พระอรหันต์ ของลูก) หรือ ตั้งใจถือศีล 8 ในวันนั้นแทน และตั้งในนั่งสมาธิให้มากขึ้น เราก็จะได้ใจไม่ขุ่นไงคะ ว่าเราไปวัดไม่ได้

หรือ ท่านที่ไม่สะดวก ที่จะทำบุญมากๆ เนื่องจากขาดปัจจัย เราก็รักษาศีลให้ได้เป็นระยะเวลานานขึ้น ปฏิบัติดีๆ กับคุณพ่อ คุณแม่ ให้มากขึ้นไปอีก ไม่ประทุษร้ายท่าน ทั้ง กาย วาจา และ ใจ

ซึ่งถ้าเราดูจาก ลำดับแห่งผลของการทำบุญ เราก็จะได้เข้าใจขึ้นว่า ถ้าเรา ไม่สามารถ ทำบุญซึ่งใช้เงินเป็นวัตถุทานได้ ก็ไม่ใช่ว่า เราจะหมดหนทาง ที่จะได้บุญ

เรายังมีวิธีอีกมากมาย ที่จะได้บุญมา และเป็นบุญที่ยิ่งใหญ่ด้วย

แต่.....koonpatt ไม่ได้หมายความว่า ไม่ต้องทำบุญ ทำทานนะคะ เพราะ koonpatt ก็ทำอยู่ และพยายามทำอย่างสม่ำเสมอ เพียงแต่ koonpatt พูดถึง กรณีที่ เราไม่สามารถที่จะทำได้ เนื่องจากมีเหตุขัดข้อง และ จำเป็นจริงๆ

เราจะได้เป็น คนที่ "หาบุญได้ ใช้บุญเป็น" และใจใสใส ทุกเวลา ไม่มีเรื่องอะไร ที่มาทำให้ใจขุ่นไงคะ

อนุโมทนาบุญ กับทุกท่านด้วยค่ะ สา...ธุค่ะ
จึงยังคง เชื่อมั่นและศรัทธาใน "รัก" เหมือนอย่างที่เคย...เสมอมา...และจะตลอดไป
แด่
เธอ...ผู้นำแสงสว่างสู่...กลางใจ

#10 (.^_^.)

(.^_^.)
  • Members
  • 29 โพสต์

โพสต์เมื่อ 28 September 2007 - 04:41 PM

ขออนุโมทนาบุญและขอบคุณทุกท่านมากค่ะที่เข้ามาช่วยตอบเพื่อเป็นธรรมทาน (.happy.gif.)

#11 panu

panu
  • Members
  • 530 โพสต์

โพสต์เมื่อ 29 September 2007 - 11:37 AM

อนุโมทนาบุญด้วยครับ

#12 Dd2683

Dd2683
  • Members
  • 2477 โพสต์
  • Gender:Male
  • Location:กรุงเทพ มหานคร
  • Interests:ความรู้ในพระพุทธศาสนา-วิชชาธรรมกาย<br />ผลแห่งการปฏิบัติธรรม

โพสต์เมื่อ 29 September 2007 - 11:25 PM

อนุโมทนาบุญ ในแง่คิดมุมมองของ และ คุณ อ่อนหัดและ พี่ หัดฝัน

รวมถึงความคิดเห็นและสาระธรรมที่ คุณ koonpatt นำมาแบ่งปัน ด้วยครับ
ใจหยุดที่สุดแห่งบุญ มุ่งสู่ที่สุดแห่งธรรม