ความคิดนี้จะดีหรือสมควรไหมครับ
#1
โพสต์เมื่อ 08 November 2007 - 09:39 AM
มีอยู่ครั้งหนึ่งคุณแม่ผมอยากหาคู่ชีวิตให้ผมน่ะครับ ใจจริงผมก็ไม่อยากมีครอบครัว อยากอยู่คนเดียวไปตลอดชีวิตน่ะครับ แต่คุณแม่ผมก็พยายามรบเร้าให้ผมมีครอบครัวให้ได้ ซึ่งผมก็พยายามปฏิเสธบ่ายเบี่ยงทุกครั้ง แต่ล่าสุดคุณแม่พาผู้หญิงมาให้ผมรู้จัก ที่สำคัญรับมาทำงานช่วยงานผมเสียด้วย แล้วดูท่าทางจะเอาจริงมากๆเลย ผมเลยมีความคิดแปลกๆขึ้นมาดังนี้ครับ
ผมคิดว่าหากผมจะต้องมีครอบครัวจริง ผมไม่อยากเริ่มชีวิตครอบครัวเหมือนกับคู่อื่นๆน่ะครับ คือสู่ขอ หมั้น และแต่งงาน ผมเคยมีความคิดที่คิดว่าแปลกกว่าคนอื่นน่ะครับ หากผมจะต้องมีคู่ผมอยากจะจัดพิธีแต่งงานที่วัดน่ะครับ โดย แทนที่ผมจะใส่ชุดเจ้าบ่าวเจ้าสาว ผมอยากใส่ชุดอุบาสกอุบาสิกามากกว่า แทนที่จะจัดเลี้ยงงานแต่งงานแขกเหลื่อ ผมอยากทำบุญเลี้ยงพระ ถวายภัตตาหารพระภิกษุทั้งวัดมากกว่า ถวายสังฆทานแก่พระภิกษุ แทนที่จะให้ญาติผู้ใหญ่รดนําสังข์ให้พร ผมอยากรับศีลรับพรจากพระมากกว่า
ผมจึงอยากถามความเห็นทุกท่านว่า หากคุณแม่บังคับให้ผมต้องมีครอบครัวจริงๆ ผมอยากจะทำอย่างที่ผมตั้งใจไว้ จะเป็นการสมควรหรือไม่ครับ คือจัดงานแต่งที่วัด ด้วยการทำบุญเลี้ยงพระถวายสังฆทานรับพรจากพระภิกษุสงฆ์ จะสมควรหรือไม่ครับ - -"
2) พระศรัทธาธิกพุทธเจ้า สร้างบารมีรวม 40 อสงไขย กับอีก แสนมหากัป (รวมระยะเวลาสร้างบารมีหลังรับพุทธพยากรณ์ คือ 8 อสงไขย กับ แสนมหากัป) (อย่างน้อย)
3) พระวิริยาธิกพุทธเจ้า สร้างบารมีรวม 80 อสงไขย กับอีก แสนมหากัป (รวมระยะเวลาสร้างบารมีหลังรับพุทธพยากรณ์ คือ 16 อสงไขย กับ แสนมหากัป) เช่น พระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์ต่อไป คือ พระศรีอาริยเมตไตรยสัมมาสัมพุทธเจ้า (เป้าหมาย
#2
โพสต์เมื่อ 08 November 2007 - 09:57 AM
#3
โพสต์เมื่อ 08 November 2007 - 10:48 AM
ส่วนเรื่องการเลี้ยงพระค่อยมาทำที่วัด ก็ได้ครับ ชวนญาติๆมาให้หมด
เคยมีเจ้าภาพท่านหนึ่ง แกคิดมากเสียใจที่ลูกสาวจะแต่งงาน ก็เลยแบกความทุกข์ไปกราบหลวงพ่อทัตตะ
พอก้มกราบเสร็จก็บอกด้วยเสียงเป็นทุกข์สาหัสว่า "หลวงพ่อเจ้าคะลูกสาวดิฉั้นจะแต่งงาน "
หลวงพ่อท่านก็ว่า " เอ้อ ช่างมันเห๊อะ !! " แล้วท่านก็เดินจากไปเลย
หลังจากนั้นไม่นาน ฝ่ายชายก็เข้าวัดปฏิบัติธรรมได้ธรรมะ แล้วก็ออกบวชไปแล้วครับ รู้สึกว่าท่านปวารนาบวชตลอดชีวิตด้วย ทิ้งให้ลูกสาวเจ้าภาพคนนั้นอยู่คนเดียวพร้อมกับเลี้ยงลูกอีกคน
#4
โพสต์เมื่อ 08 November 2007 - 11:23 AM
#5
โพสต์เมื่อ 08 November 2007 - 11:36 AM
มีครอบครัว ทำให้สร้างบารมีได้ไม่เต็มที่ ลองหาอ่านคำสอนของหลวงปู่ หลวงพ่อ คุณยาย ป้าหวิน ดู แล้วจะเข้าใจได้มากขึ้น
เนกขัมมะบารมี เป็นชายทั้งที เอาบารมีนี้ติดตัวไปให้ได้
จะมีครอบครัวนั้นไม่ยาก แต่ยากยิ่งกว่าคือการออกจากภพ 3
#6
โพสต์เมื่อ 08 November 2007 - 11:48 AM
#7
โพสต์เมื่อ 08 November 2007 - 12:18 PM
ผมว่า ความคิดนั้น เป็นความคิดหลักเลยนะครับ ที่จะทำบุญ ส่วนเรื่องพิธีการ ผมว่ามันก็สำคัญนะครับ เพราะว่า
มันก็เป็นการให้เกียรติฝ่ายหญิงด้วยนะครับ ว่า เค้าได้มีเจ้าของที่เป็นทางการ จะไม่ได้ มีคำนินทามาภายหลัง ครับ
เราเกิดมา ย่อมต้องให้ความสำคัญ กับบุคคลรอบข้าง และยิ่งคนที่เราจะต้องใช้ชีวิตร่วมกันแล้ว เรายิ่งต้องละเอียดอ่อน ในการให้ความสำคัญ ตั้งแต่สมัยโบราณ บรรพบุรุษได้คิด และสร้างวัฒนธรรมอันดีงาม ที่เหมาะสม ให้กับคนรุ่นหลังได้ปฏิบัติตาม และสืบทอดต่อๆ กันมาอย่างดี
แต่ปัจจุบัน ความดีงามเหล่านั้น ได้ถูกลืมเลือน และเปลี่ยนแปลงไปจน ไม่รู้ว่า อะไรสมควร หรือไม่สมควร ...
อย่างที่เราพบปัญหามากมายในสังคม ก็เนื่อง ด้วยเหตุที่ เราลืมและไม่ให้ความสำคัญ ความดีงาม ที่มีอยู่เดิมไป ... เท่านั้นเอง
เหมือนดั่งโอวาท หลวงพ่อท่าน ที่จะนำเอาคำสอนดั้งเดิม ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า มาเผยแผ่ และให้พุทธบุตร ทุกๆ นิกาย ได้ทำการศึกษา และเผยแพร่ไปในทางเดียวกัน
เพราะท่านเห็นว่า แตกกันไป จนจำจุดและ นำไปสั่งสอน จนสาธุชนเกิดความสงสัย ว่าอันไหนคือ ของจริง ทั้งๆที่ ก็คือทางเดียวกัน
เหมือนกันนะครับ กับการดำรงชีวิตภายนอก ถ้าเรายิ่งเปลี่ยนแปลง แต่งเติม วัฒนธรรม ไปคนละแบบ ก็จะยิ่งสร้างความสับสน ให้กับ คนรุ่นหลัง ๆ
ก็ ขอกราบอนุโมทนาบุญ ด้วยนะครับ สาธุ ...
ปล. ถ้าท่านแต่งงานก็ขอให้เป็นครอบครัวธรรมกาย แต่ท่านเห็น และคิดว่าสมควรกับตัวท่านแล้ว การรักษาพรหมจรรย์ย่อมเป็นสิ่งที่ประเสริฐ สุด ๆ และยิ่งได้บวช แล้วนั้น ยิ่งประเสริฐกว่าทั้งหมดทั้งมวล ครับ ...
เ มื่ อ เ ร า ส ว่ า ง * * * โ ล ก * * * ก็ ส ว่ า ง ด้ ว ย ^^~*
ส า ธุ . . . ค รั บ ^^~*
#8
โพสต์เมื่อ 08 November 2007 - 12:19 PM
#9
โพสต์เมื่อ 08 November 2007 - 12:59 PM

#10
โพสต์เมื่อ 08 November 2007 - 02:06 PM
#11
โพสต์เมื่อ 08 November 2007 - 03:20 PM
#12
โพสต์เมื่อ 08 November 2007 - 03:24 PM
ลอง บวก ลบ คูณ หาร แล้วก็ต้องตัดสินใจเอง และเห็นด้วยที่จัดที่โรงพยาบางสงฆ์
อยากทำบุญเลี้ยงพระที่วัดเราเมื่อไหร่สามารถทำได้ทุกวัน
#13
โพสต์เมื่อ 08 November 2007 - 03:55 PM
และท่านก็ตรัสสรุป
ว่าทางเดียวที่จะรู้ตามท่าน
ตลอดจนหยุดตามท่าน
คือการมองเข้าข้างใน
และการหยั่งรู้สรรพสิ่งออกมาจากภายใน
คือสัญลักษณ์สำคัญของพุทธแท้
พุทธแท้จะรู้ว่าการพยายามมองออกข้างนอก
เป็นวิธีที่ไม่ทำให้รู้จักประโยชน์สูงสุด
อันพึงมีพึงได้จากความเป็นมนุษย์
#14
โพสต์เมื่อ 08 November 2007 - 04:55 PM
เพราะเค้าก็ไม่ได้ทำอะไรผิด แต่ผมรู้สึกผิด... คิดผิดอย่างมาก..ที่คิดจะครองเรือน ผมว่าถ้าได้แต่งงานมีครอบแล้ว
จะตัดเรื่องทางโลกยากมาก ยิ่งถ้าไม่ใช่คู่บุญ คู่บารมีกันแล้วนี้ดิ ปวดหัว ทุกวันนี้ จะเรียกว่าโสดก็ไม่ใช่แล้ว
กลืนไม่เข้าคายไม่ออกจริงๆ ครับ " ความรัก ไม่ใช่ของลองเล่น "
เกี่ยวกับความคิด ของ คุณเคยเข้าวัด (จขกท.) ผมขอแนะนำด้วยปัญญาอันน้อยนิดของผมว่า
ถ้าคิดจะหลุดพ้น รื้อผังเดิม สร้างผังบวช ดีกว่าครับ เอาตัวรอดก่อนดีกว่านะ
กรณีคุณ ก็ยังไม่ได้มีความสัมพันธ์ลึกซึ้งมากมายอะไร ถ้านานเกินไปว่านี้ เสร็จแน่ครับ...
ไม่ได้ห้ามการครองเรือนนะ แต่อยากให้เดินตามแบปูชนียาจารย์ทั้ง 3 ของพวกเราดีกว่า
อีกอย่างขึ้นบนปู๊นนน... งามฝ่าเยอะ และให้เลือกแยะ
นั่งหลับตาเยอะๆ นะครับ ให้ตรงศูนย์กลางกายเราเป็นคนตอบนะครับ
ขอให้พระในตัว จงคุ้มครองครับ
#15
โพสต์เมื่อ 08 November 2007 - 05:24 PM
แล้วถ้าแต่งเสร็จค่อยมาทำบุญที่วัด
ถ้ามาจัดที่วัดไม่ควรแน่ๆ
เหมือนเอาของควรไปคู่กับของไม่ควรครับ
ถ้าจะแต่งงานจัดที่บ้านนะครับ
จัดแบบไหนตามใจเรา
คือถ้าไม่อยากให้มีเลี้ยงเหล้าในงานเราก็ทำได้
#16
โพสต์เมื่อ 08 November 2007 - 07:05 PM
- ไม่สมควรที่จัดงานแต่งที่วัด
ยังไงก็ขอเอาใจช่วยให้คุณแม่...อย่าบังคับให้แต่ง...เลยนะ
ถ้าจะแต่งก็ขอให้แต่งกับ...งานสร้างบารมี
#17
โพสต์เมื่อ 09 November 2007 - 01:08 AM
อย่างน้อยคูณก็คิดอยากมีครอบครัวอยู่เหมือนกัน
เอาแบบง่าย ๆ ก็ไปจดทะเบียนสมรสอย่างเดียวก็ได้ ส่วนทำบูญเลี้ยงพระสามารถมาทำที่วัดได้ทุกวัน มาวัดพระธรรมกายต้องสวมชุดขาวอยู่แล้ว
อย่าลืมอธิบายให้แม่ ว่าที่ภรรยา และญาติ ๆ ให้เข้าใจด้วยล่ะ ทุกอย่างก็จะเป็นได้ดังหวัง
#18
โพสต์เมื่อ 09 November 2007 - 08:06 AM
#19
โพสต์เมื่อ 09 November 2007 - 08:17 AM
ช่วงหลังมานี่ผมเลยมีความคิดว่าถ้าผมเลี่ยงไม่ได้จะต้องมีคู่ชีวิตจริงๆ ผมไม่อยากจะจัดพิธีแต่งงาน แต่อยากพาคนที่ผมจะแต่งงานด้วยไปเป็นเจ้าภาพถวายภัตตาหารที่วัด (ไม่ใช่ว่าผมจะทำพิธีแต่งงานที่วัดนะครับ) คือแทนที่จะเสียเงินจัดงานแต่งงานเลี้ยงแขกก็เปลี่ยนเป็นเอาไปทำบุญถวายภัตตาหารเลี้ยงพระหรือถวายสังฆทานแทน แทนที่จะให้แขกรดนําสังข์อวยพรวันแต่งก็เปลี่ยนเป็นฟังพระให้พรหลังถวายภัตตาหารน่ะครับ
ส่วนเรื่องบวชตลอดชีวิตผมเคยคิดอยู่เหมือนกันครับ เคยคุยเกริ่นกับคุณแม่ไว้แล้ว แต่คุณแม่ท่านไม่อนุญาติน่ะครับ แถมบอกผมว่าให้น้องชายผมบวชตลอดชีวิตคนเดียวก็พอแล้ว ส่วนผมอยู่เป็นกองเสบียงของหลวงพ่อไป เลยอยากถามพี่ๆทุกท่าน หากจะบวชต้องได้รับความยินยอมจากคุณพ่อและคุณแม่ทั้ง2ท่านหรือเปล่าครับ หรือคนใดคนหนึ่งอนุญาติก็บวชได้
2) พระศรัทธาธิกพุทธเจ้า สร้างบารมีรวม 40 อสงไขย กับอีก แสนมหากัป (รวมระยะเวลาสร้างบารมีหลังรับพุทธพยากรณ์ คือ 8 อสงไขย กับ แสนมหากัป) (อย่างน้อย)
3) พระวิริยาธิกพุทธเจ้า สร้างบารมีรวม 80 อสงไขย กับอีก แสนมหากัป (รวมระยะเวลาสร้างบารมีหลังรับพุทธพยากรณ์ คือ 16 อสงไขย กับ แสนมหากัป) เช่น พระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์ต่อไป คือ พระศรีอาริยเมตไตรยสัมมาสัมพุทธเจ้า (เป้าหมาย
#20
โพสต์เมื่อ 09 November 2007 - 10:12 AM
ถ้าคุณเลือกทางนี้จะมีผลในอนาคต 2แบบ
- แบบแรก หากมีทายาท ยากที่คุณจะออกบวช เพราะเป็นพันธะทางใจและสังคมที่ตัดได้ยาก หากไม่มีทายาทแต่เธอถอนใจจากหมู่คณะโอกาสขัดแย้งมี เพราะทิฐิไม่เสมอกัน
- แบบสอง หากไม่มีทายาทแล้วเธอเริ่มเข้าใจการสร้างบารมีและเห็นประโยชน์ของหมู่คณะจริง เธอคงจะมอบคุณให้หมู่คณะเป็นอุปบารมี(เสมือนเสียเลือดเนื้อ) ขณะที่คุณสามารถบำเพ็ญปรมัตถบารมี ทุ่มกาย วาจา ใจให้หมู่คณะ เพียงแต่เป็นการเสียเวลาที่ต้องมาปรับผัง ซึ่งอาจพลาดพลั้งได้
หากคุณตั้งจิตบำเพ็ญตน มีโอกาสจากเรือนเหมือนนกที่จากคอน มีอิสระ ปราศจากเครื่องกังวล นั้นย่อมเป็นผลบุญบารมีอย่างยิ่งยวดทั้งปัจจุบันและภายภาคหน้า
#21
โพสต์เมื่อ 09 November 2007 - 01:39 PM
#22
โพสต์เมื่อ 09 November 2007 - 02:09 PM

#23
โพสต์เมื่อ 09 November 2007 - 03:57 PM
จริงๆแล้ว พ่อแม่น่ะรักลูกทุกคนแหละครับ แต่ท่านก็ยังมีความเข้าใจในระดับทางโลกทั่วๆไปที่อยากเห็นลูกมีครอบครัว มีลูกหลานไว้สืบสกุล แต่ถ้าเราคิดว่าตัวเราไม่เอาแน่นอน ยังไงๆก็จะไม่แต่ง จะบวช ผมมว่าดวงปัญญาก็จะเกิดตอนนี้ เราก็จะดิ้นรนหาวิธีเอาตัวรอดจนได้แหละครับ นอกจาก เนกขัมมะ ขันติ แล้วก็จะได้ปัญญาบารมีอีกด้วย
ถ้าคุณเริ่มมีใจให้กับคนที่คุณแม่จะให้แต่งงานด้วย ผมว่าคงแก้ยากแล้วแหละ เพราะตัวคุณก็เริ่มเห็นดีเห็นงามด้วย ผมเชื่อนะว่าถ้าคุณคิดว่ายังไงๆก็ "ไม่แต่ง" คุณก็จะไม่ได้แต่งแน่ๆ แต่ถ้าใจเรายัง "ไม่แน่ใจ" อย่างนี้ ผมว่าได้แต่ง "แน่ๆ"
แต่ถ้าคุณยินดีที่จะเป็นกองเสบียง แล้วก็สร้างบารมีแบบมีครอบครัว อันนั้นก็อีกเรื่องหนึ่งครับ อันนั้นก็ทำได้ แต่คงได้ไม่เต็มที่เท่ากับคนโสด และออกบวช ชีวิตเรา เราออกแบบเองได้ครับ ตอนนี้ผมว่าอยู่ที่ "ใจ" คุณแล้วล่ะครับ
ส่วนคุณพ่อคุณแม่นั้น ถ้าเรายืนกรานว่าจะไม่แต่งจริงๆ ท่านจะบังคับเราได้อย่างไร โตๆกันแล้ว ไม่ได้บอกว่าให้ดื้อกับท่านนะครับ แต่ต้องหาทางทำให้ท่านเข้าใจถึงเรื่องธรรมะและการสร้างบารมีที่แท้จริง ชี้ให้ท่านเห็นทุกข์และโทษของการครองเรือน
ดูอย่างหลวงพ่อของเราทั้งสองสิครับ พ่อแม่ท่านหวงมากๆ ไม่อยากให้ลูกบวช ท่านยังบวชมาได้เลย เพราะอะไรรู้ไหมครับ ก็เพราะว่าท่าน "เอาจริง" กับการสร้างบารมีน่ะสิครับ ถ้าใจคุณแน่วแน่ "จริง" ยังไงๆก็ผ่านปัญหานี้ไปได้สบายๆครับ
เป็นกำลังใจและเชียร์ให้สร้างเนกขัมมะบารมีนะครับ
#24
โพสต์เมื่อ 09 November 2007 - 06:22 PM
ถ้าบวชแล้วก็ต้องตัดได้ทุกอย่าง คนมาตอบหลาย ๆ คนก็ยังทำไม่ได้เลยครับ ตัวผมเองก็ยังทำไม่ได้ คนที่บวชอยู่ก็ยังต้องประคองกันต่อไป แต่ถ้าทำได้ เลือกบวชดีกว่าครับ
#25
โพสต์เมื่อ 09 November 2007 - 08:33 PM
จิงรึ แล้วไหงจะไปจัดงานแต่งในวัดสถานที่แสวงหามรรคผลนิพพานซะล่ะ
หนีโกนหัวบวชเลยพี่..น้อง.. ใครก็บังคับใจเราไม่ได้ ยกเว้นเราแพ้ใจตัวเอง
ในเมื่อโลกกำลังลุกเป็นไฟอยู่เนืองนิตย์
พวกเธอถูกความมืดมิดปิดบังตา
ไยไม่แสวงหาแสงสว่างกันเล่า
พุทธพจน์
.ฟังเรื่องราวดีๆได้ที่นี่ครับ
#26
โพสต์เมื่อ 09 November 2007 - 10:02 PM
#27
โพสต์เมื่อ 10 November 2007 - 06:36 PM
ถ้าแต่งตามใจคนอื่น เพราะเกรงใจ หรือ ทำไปเพื่อคนอื่น จะทุกข์มั้ยเนี่ย
แล้วคนที่ต้องมาอยู่กับคุณ เขาจะพบความสุขหรือเปล่า เพราะคุณไม่ได้รักเขา
สรุป ถ้าแต่งด้วยความรู้สึกอย่างนี้ ทุกข์ทั้งคู่
ดีไม่ดี อาจพลาดพลั้งก่อวิบากกรรมต่อกันโดยไม่ได้ตั้งใจ เพราะการกระทบกระทั่งเป็นเรื่องปกติ
ของคนที่อยู่ด้วยกัน อยู่แล้ว ไม่ว่ากับพี่น้อง เพื่อน หรือสามี ภรรยา
ถ้ายังไม่พร้อม ทั้งกาย วาจา และโดยเฉพาะใจ แต่งไปก็มีแต่ทุกข์ ใจก็จะไม่ใส
คิดดีๆ น่าสงสารผู้หญิงนะ เดี๋ยวจะตกเป็นคนรับเคราะห์ เพราะความตั้งใจดีของผู้อื่น
ถามตัวเองหลายๆรอบนะคะ อยากดูแลเขาไหม รักเขาไหม
ได้คำตอบที่ตัวเองมีความสุขและไม่ลดถอยในการสร้างบารมี
แล้วค่อยตัดสินใจ
พิธีน่ะ ทีหลังเถอะค่ะ ตัดสินใจให้มั่นใจก่อนดีมั้ยคะ
ขอให้มีสมหวังในการตัดสินใจครั้งนี้ค่ะ
#28
โพสต์เมื่อ 13 November 2007 - 08:29 PM
จะ แต่ง หรือ ไม่แต่ง ทำไมต้องไปถามคนอื่น
ชีวิต เป็นของคุณ ถาม " ใจ " ตัวเอง นั่นแหละ ถูก ตรง แล้ว
ทางโลก ต้องบอกว่า ให้ใช้ สมอง มากกว่า หัวใจ
แต่ ทางธรรม ต้องพูดว่า มีดวงตาเห็นธรรม แล้วจะ พบกับ สัจธรรม
และถ้า ยังไม่แน่ใจตัวเอง ก็ อย่า สร้าง " กรรมใหม่ " เพิ่มให้ตัวเอง เป็นดีที่สุด ค่ะ
#29
โพสต์เมื่อ 23 November 2007 - 07:24 AM
คุณต้องสู้กับ "ใจ" ของคุณเท่านั้น
ร้อยทั้งร้อย คนที่ครองเรือน ไม่ว่าจะมีความสุข หรือจะทุกข์
แทบทุกคนจะตอบว่า ถ้าย้อนเวลาได้ คงไม่คิดครองเรือนหรอก
อยู่เป็นโสดดีกว่า โดยเฉพาะผู้หญิงเค้าจะตอบคำถามนี้ซะมากกว่าด้วยซ้ำ
เราออกแบบชีวิตเองได้นะ ทำใจใสๆ นะ
สาธุ