
ดิฉันจะทำอย่างไร?
#1
โพสต์เมื่อ 11 November 2007 - 02:20 PM
แต่เมื่อเรายังต้องดำเนินอยู่ในทางโลก มันต้องมีเรื่องพวกนี้เข้ามาพัวพัน
และมันก็เข้ามาจริงๆตราบกระทั้งจนถึง ณ เวลานี้ ไม่สบายใจเหลือเกิน
จะทำอย่างไรกับสุภาพบุรุษผู้แสนดี ที่มอบความรักให้
จะปฏิเสธเช่นไรให้เขาเหล่านั้นไม่เสียใจ หรือเสียใจให้น้อยที่สุด
......ดิฉันจะทำอย่างไรกับรอยยิ้มอันหวานซึ่งเหล่านั้นที่สุภาพบุรุษตั้งใจมอบให้
ดิฉันจะยิ้มอย่างไรตอบไปให้เขารู้ว่า เราคงเป็นได้แค่มิตรภาพที่แสนดีต่อกัน
สุภาพบุรุษที่ต่างเข้ามาในชีวิต ต่างก็มีหลายรูปแบบด้วยกัน มีทั้งหลอกลวง และจริงใจ
แต่ถึงกระนั้น ดิฉันก็ยังแน่ใจว่าความรักของดิฉันหยุดนิ่งแล้ว ที่ศูนย์กลางกายเพียงอย่างเดียว
ยามเมื่อเห็นหน้าบุรุษผู้มีใจอันลึกซึ่งให้แล้ว เขาจะถูกลบลืมไปเมื่อจิตใต้สำนึก
จากการคิดสอนตัวเอง ซึ่งอยู่ที่ศูนย์กลางกาย และเป็นความรักที่แท้จริงว่าไม่ให้เผลอใจ
ไปกับความรักนั้นที่เป็นยอดปรารถนาของหลายๆบุคคล
......ดิฉันจะทำอย่างไรให้บุรุษที่กล่าวมา จงตัดใจ และอนุโมทนาบุญกับดิฉันด้วยดี
อย่าได้โกรธเคื่องและคิดร้าย อันเป็นเหตุให้มโนปณิธาณของดิฉัน ต้องสูญสิ้นมลาย
ไปพร้อมๆกับคำว่าไม่พอในเรื่องราวความรัก ของบุรุษผู้หวังทำลาย
#2
โพสต์เมื่อ 11 November 2007 - 03:56 PM
ผมว่า ไม่ยากเลยครับ ... อยากได้เพื่อนแท้ เพื่อนที่แสนดี ก็พาเข้ามาวัด เป็นประจำสิครับ ...
ให้เค้าเรียนรู้ในสิ่งที่เราตั้งใจ จากการที่เรามาวัดประพฤติปฏิบัติธรรม และค่อยบอกความตั้งใจ อันดีของเราให้เค้าฟัง
ผมว่าเป็นสิ่งที่ดีนะครับ เราจะกลายเป็นกัลยาณมิตรที่ดีให้กับเพื่อนๆ และเราก็จะได้ไม่ลำบากใจ
จะลำบากก็คือว่า ... เราจะตั้งใจทำในสิ่งนี้มากน้อยแค่ไหน ถ้าอยากจะให้หลุด ก็ต้องยิ่งทำ ครับ ...
ผมว่าดีนะ จะได้รู้ว่าใครมาดีไม่ดี เราชวนมากๆ พวกที่ไม่ดี ก็จะค่อยๆ ออกห่างไปเองนะครับ
ปล. ถ้าใจติดนึบอยู่กับศูนย์กลางกาย ทำอย่างไร มาแบบไหน ก็ไม่หวั่นไหวแน่นอนครับ ... ต้อง ติดนึบ ดิ่ง ๆๆๆ อย่างเดียวครับ
ขอกราบอนุโมทนาบุญด้วยนะครับ ..... สาธุ
เ มื่ อ เ ร า ส ว่ า ง * * * โ ล ก * * * ก็ ส ว่ า ง ด้ ว ย ^^~*
ส า ธุ . . . ค รั บ ^^~*
#3
โพสต์เมื่อ 11 November 2007 - 05:17 PM
#4
โพสต์เมื่อ 11 November 2007 - 05:50 PM
http://www.carabao.n...Play.asp?id=211
หรือ
http://imusic.teenee.../frame/5640.php
#5
โพสต์เมื่อ 11 November 2007 - 07:12 PM
อย่าได้โกรธเคื่องและคิดร้าย อันเป็นเหตุให้มโนปณิธาณของดิฉัน ต้องสูญสิ้นมลาย
ไปพร้อมๆกับคำว่าไม่พอในเรื่องราวความรัก ของบุรุษผู้หวังทำลาย
ขอตอบในฐานะผู้ชายนะครับ ทำใจครับ
ทำใจให้อยู่กับตัว สนใจแต่เรื่องของตัว ไม่เอาใจไปสนคนอื่น
เพราะคุณมัวแต่แคร์คนอื่น ยังสงสาร เป็นห่วง แคร์ความรู้สึกมากไป
ไม่ทอดสะพานหรือไม่ตอบรับไมตรี เป็นดีที่สุด
สรุปง่ายๆ ทำตัวปกติ ไม่ให้ความสำคัญ ไม่มีอะไรพิเศษ เดี๋ยวเขาก้อรู้เองว่าคุณคิดอะไรอยู่
หรือเอาแบบรวดเร็วก้อบอกไปเลยว่าไม่คิดคบเป็นแฟน
จริงๆแล้วผมคิดว่าคุณคงรู้นะ ว่าควรทำไง แต่คุณไม่มั่นใจในตัวเอง
#6
โพสต์เมื่อ 12 November 2007 - 09:38 AM
#7
โพสต์เมื่อ 12 November 2007 - 10:19 AM
ที่มีความตั้งใจดี อยากประพฤติพรหมจรรย์
และเห็นใจที่เวลามีคนมาเอาใจ เพราะทำให้ใจวอกแวกได้
เป็นธรรมดาของทุกคน
คุณครูไม่ใหญ่สอนเราเสมอ ว่า หญิงและชาย ใกล้กันบ่ได้
หมายความว่า ไม่ควรใกล้ชิดกัน เราก็อย่าเปิดโอกาสให้เขาได้มีโอกาสใกล้ชิด
และค่อยๆห่างออกมา น่าจะดี
เอาไว้คุณ เข้มแข็ง อย่างมั่นใจจริงๆแล้ว และเวลาทำให้เขาคลายความหวังในตัวคุณแล้ว
กลับไปทำหน้าที่กัลยาณมิตรให้เขาเข้าวัด ก็ยังไม่สายนะคะ
ได้เพื่อนร่วมสร้างบารมีคนใหม่ด้วย
เอาใจช่วยเต็มทีค่ะ
#8
โพสต์เมื่อ 12 November 2007 - 10:22 AM
เพราะคุณยังแคร์ความรู้สึกของอีกฝ่ายมากเกินไป จึงไม่สามารถตัดใจที่จะบอกไปตรงๆได้
ถ้าคุณไม่ได้คิดพิเศษกับเค้าจริงๆ ก็ต้องบอกเค้าไปตรงๆค่ะ เพื่อให้เค้าทำใจ และดำเนินชีวิตต่อไปในทางของเค้า
ส่วนคุณจะเป็นกัลยาณมิตรทางธรรมกับเค้าต่อไปหรือไม่ ขึ้นกับการวางตัวของคุณนะคะ
ถ้าคิดจะตัด ต้องตัดให้ขาด เป็นกำลังใจให้ค่ะ
#9
โพสต์เมื่อ 12 November 2007 - 11:59 AM
ตอนแรกๆ ก็มีใจประพฤติพรหมจรรย์อยู่พอสมควร ทีนี้พอตัดสินใจแต่งงานกับเพศตรงข้าม(จะด้วยสาเหตุอะไรก็แล้วแต่ล่ะ) พอแต่งแล้วรู้สึกไม่ Happy จนมีลูกมีเต้าแล้ว ทีนี้จะมาคิดเลิกกับฝ่ายตรงข้ามเพื่อประพฤติพรหมจรรย์ ตอนนี้ปัญหาก็เยอะแล้วสิครับ ยิ่งถ้าตอนหลังคิดไปหักดิบเลิกเลย ไม่พูดจาให้ฝ่ายตรงข้ามเข้าใจ ดีไม่ดีฝ่ายตรงข้ามพาลไม่ชอบหมู่คณะไปด้วยก็จะยุ่งกันไปใหญ่ เพราะผูกพันกันจนเกินเลยไปมากแล้ว ดังนั้น ควรหยุดปัญหาไว้เสียตอนที่มันยังเริ่มต้นนี้ ดีที่สุดครับ อย่าโลเล ประพฤติพรหมจรรย์ไปด้วย และคบเขาเผื่อไว้ไปด้วย ปัญหาจะยิ่งทวีก่อตัวใหญ่ในภายหลังครับ
#10
โพสต์เมื่อ 12 November 2007 - 01:02 PM
#11
โพสต์เมื่อ 12 November 2007 - 01:34 PM
ไม่ต้องสนใจไปเป็นกัลยาณมิตรให้พวกเขาในเวลานี้หรอกค่ะ หากบารมีของเรายังไม่สูงพอ เพราะความต้องการของเขากับเราไม่เหมือนกัน ยิ่งไปบอกว่าอยากจะประพฤติพรหมจรรย์ คนบางพวกยิ่งให้คนสนใจ นอกจากว่าคุณจะอยู่ในสถานที่ที่เหมาะสมจริงๆ ต่อการประพฤติพรหมจรรย์ เช่น ในวัด
ฉะนั้น ไม่อยากให้ข้ามสะพานก็อย่าทอดสะพานค่ะ เวลาเขายิ้มให้ก็ทำใจให้แข็งอย่ายิ้มตอบ (ผู้ชายบางคนยังบอกว่า ผู้หญิงตบแปลว่าผู้หญิงรักเลย) อย่าไปคลุกคลีด้วย พูดคุยด้วยเท่าที่จำเป็น (ไม่จำเป็นไม่ต้องคุย) ทำใจให้ใส ว่าเราเกิดมาสร้างบารมี วิธีนี้พวกเขาจะรู้เองค่ะ แล้วไม่โกรธกัน หรือเสียน้ำใจด้วย เดี๋ยวพวกเขาก็ไปหาสาวๆ คนอื่นแทนเองแหละค่ะ
แล้วเวลาคุณเข้าถึงองค์พระภายในแล้ว วัยวุฒิ คุณวุฒิก็มากขึ้น ค่อยชวนพวกเขาเหล่านั้น ซึ่งอาจมีภรรยา และลูกๆ ไปแล้ว ก็ไม่สายนี่คะ แล้วตอนนั้นพวกเขาอาจเข้าใจความจริงของชีวิตมากขึ้นแล้วก็ได้ ว่าเพราะเหตุใดคุณจึงไม่อยากแต่งงาน ...
เอาใจช่วยนะคะ
#12
โพสต์เมื่อ 12 November 2007 - 02:22 PM
ผมเคยได้ยินแต่ประโยคที่ว่า
สตรี เป็นมลทินแห่งพรหมจรรย์
แต่นีี้กลายเป็นว่า บุรุษ จะมาคอยฉุดให้ออกจากการประพฤพรหมจรรย์
โอ หาอยากจริงๆ นับถือๆ
ต้องพลิกวิกฤต ให้เป้นโอกาสครับ อย่างที่พี่น้องเราแนะนำถูกแล้วครับ ช่วนมาทำบุญเลย ดีไม่ดี
บุรุษผู้มีบุญเหล่านั้น อาจเลื้อมใสศรัทธา แล้วออกบวช ประพฤติพรหมจรรย์ เป็นกำลังแก่พระศาสนาด้วยนะครับ
ขออนุโมทนาด้วยครับที่ ได้ตกหลุกรักที่แท้จริง ที่ ฐาน ๗
สาธุ ๆ ๆ
#13
โพสต์เมื่อ 12 November 2007 - 05:35 PM
ปัญหา เป้าหมายสำคัญของการประพฤติพรหมจรรย์คืออะไร ?
พุทธดำรัสตอบ “ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เธอทั้งหลายอยู่ประพฤติพรหมจรรย์ในเรา ก็เพื่อกำหนดรู้ทุกข์ ถ้าพวกอัญญเดียรถีย์ ปริพพาชกจะพึงถามเธอทั้งหลายว่า ก็ทุกข์ซึ่งพวกท่านอยู่ประพฤติพรหมจรรย์ ... เพื่อกำหนดรู้นั้นคืออย่างไร เธอพึงพยากรณ์อย่างนั้นว่า จักษุแลเป็นทุกข์ เราอยู่ประพฤติพรหมจรรย์ ก็เพื่อกำหนดรู้จักษุเป็นทุกข์นั้นรูปเป็นทุกข์ จักษุวิญญาณเป็นทุกข์ จักษุสัมผัสเป็นทุกข์ สุขเวทนา ทุกขเวทนา หรืออทุกมสุขเวทนาที่มีจักษุสัมผัสนั้นเป็นปัจจัยก็เป็นทุกข์ หู เสียง โสตวิญญาณ...โสตสัมผัส...สุขเวทนา ทุกขเวทนา หรืออทุกขมสุขเวทนาที่เกิดเพราะโสตสัมผัสเป็นปัจจัย เป็นทุกข์ จมูก กลิ่น ฆานวิญญาณ....ฆานสัมผัส... สุขเวทนา ทุกขเวทนา หรืออทุกขมสุขเวทนาที่เกิดเพราะฆานสัมผัสเป็นปัจจัย เป็นทุกข์ ลิ้น รส ชิวหาวิญญาณ...ชิวหาสัมผัส...สุขเวทนา ทุกขเวทนา หรืออทุกขมสุขเวทนาที่เกิดเพราะชิวหาสัมผัสเป็นปัจจัย เป็นทุกข์ กาย โผฏฐัพพะ กายวิญญาณ... กายสัมผัส...สุขเวทนา ทุกขเวทนา หรืออทุกขมสุขเวทนาที่เกิดเพราะกายสัมผัสเป็นปัจจัย เป็นทุกข์ ใจ ธรรมารมณ์ มโนวิญญาณ... มโนสัมผัส... สุขเวทนา ทุกขเวทนา หรืออทุกขมสุขเวทนาที่เกิดเพราะมโนสัมผัสเป็นปัจจัย เป็นทุกข์ เราอยู่ประพฤติพรหมจรรย์ ก็เพื่อกำหนดรู้ทุกข์อันนั้น ๆ.....
ภิกขุสูตร สฬา. สํ. (๙๗)
ตบ. ๑๘ : ๖๓-๖๔ ตท. ๑๘ : ๕๓-๕๔
ตอ. K.S. ๔ : ๒๗
จุดมุ่งหมายของการประพฤติพรหมจรรย์
ปัญหา จุดมุ่งหมายของการประพฤติพรหมจรรย์ในพระสมณโคดม มีอะไรบ้าง ?
พุทธดำรัสตอบ “ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ถ้าพวกปริพพาชกผู้ถือลัทธิอื่นพึงถามเธอทั้งหลายว่า.... ท่านทั้งหลายอยู่ประพฤติพรหมจรรย์ เพื่อประโยชน์อะไร เธอทั้งหลายพึงชี้แจงแก่พวกปริพพาชกเหล่านั้นอย่างนี้ว่า เราทั้งหลายอยู่ประพฤติพรหมจรรย์ในพระผู้มีพระภาค เพื่อสำรอกราคา....เพื่อละสังโยชน์.... เพื่อถอนอนุสัย...เพื่อรู้รอบสังสารวัฏอันยืดยาว....เพื่อความสิ้นอาสวะ เพื่อกระทำให้แจ้งซึ่งผลคือวิชชา และวิมุตติ...เพื่อฌาณทัศนะ เพื่อปรินิพพานอันปราศจากอุปาทาน...”
วิราคสูตร ๙ ในอัญญาติตถิยวรรคที่ ๕ มหา. สํ. (๑๑๗-๑๒๖)
ตบ. ๑๙ : ๓๓-๓๕ ตท. ๑๙ : ๓๐-๓๒
ตอ. K.S. ๕ : ๒๕-๒๗
และท่านก็ตรัสสรุป
ว่าทางเดียวที่จะรู้ตามท่าน
ตลอดจนหยุดตามท่าน
คือการมองเข้าข้างใน
และการหยั่งรู้สรรพสิ่งออกมาจากภายใน
คือสัญลักษณ์สำคัญของพุทธแท้
พุทธแท้จะรู้ว่าการพยายามมองออกข้างนอก
เป็นวิธีที่ไม่ทำให้รู้จักประโยชน์สูงสุด
อันพึงมีพึงได้จากความเป็นมนุษย์
#14
โพสต์เมื่อ 12 November 2007 - 07:15 PM
แต่เมื่อเรายังต้องดำเนินอยู่ในทางโลก มันต้องมีเรื่องพวกนี้เข้ามาพัวพัน
และมันก็เข้ามาจริงๆตราบกระทั้งจนถึง ณ เวลานี้ ไม่สบายใจเหลือเกิน
จะทำอย่างไรกับสุภาพบุรุษผู้แสนดี ที่มอบความรักให้
จะปฏิเสธเช่นไรให้เขาเหล่านั้นไม่เสียใจ หรือเสียใจให้น้อยที่สุด
ดิฉันจะยิ้มอย่างไรตอบไปให้เขารู้ว่า เราคงเป็นได้แค่มิตรภาพที่แสนดีต่อกัน
สุภาพบุรุษที่ต่างเข้ามาในชีวิต ต่างก็มีหลายรูปแบบด้วยกัน มีทั้งหลอกลวง และจริงใจ
แต่ถึงกระนั้น
ยามเมื่อเห็นหน้าบุรุษผู้มีใจอันลึกซึ่งให้แล้ว เขาจะถูกลบลืมไปเมื่อจิตใต้สำนึก
จากการคิดสอนตัวเอง ซึ่งอยู่ที่ศูนย์กลางกาย และเป็นความรักที่แท้จริงว่าไม่ให้เผลอใจ
ไปกับความรักนั้นที่เป็นยอดปรารถนาของหลายๆบุคคล
อย่าได้โกรธเคื่องและคิดร้าย อันเป็นเหตุให้มโนปณิธาณของดิฉัน ต้องสูญสิ้นมลาย
ไปพร้อมๆกับคำว่าไม่พอในเรื่องราวความรัก ของบุรุษผู้หวังทำลาย
#15
โพสต์เมื่อ 12 November 2007 - 08:34 PM
สุดยอด พี่...น้อง...sage_072 ขอเอาใจช่วยจ้า มามะมาอยู่เขตในด้วยกัน ธาตุธรรมรอเจ้าอยู่
เหล่าสัตว์ ติดกับตัณหา
กระเสือกกระสน ดุจกระต่ายติดบ่วง
สัตว์ทั้งหลายติดอยู่ในกิเลสเครื่องผูกมัด
ย่อมประสบทุกข์บ่อยๆ ตลอดกาลนาน
บัณฑิตพึงละกามคุณ
สลัดอาลัยหมดสิ้น
ทำตนให้บริสุทธิ์
ปราศจากเครื่องเศร้าหมองแห่งจิต
พุทธพจน์
ไฟล์แนบ
.ฟังเรื่องราวดีๆได้ที่นี่ครับ
#16
โพสต์เมื่อ 13 November 2007 - 06:55 PM
เราอย่าไปสงสารเค้าเลย เราทำดีแล้ว เราต้องนิ่งไว้ ทำดีอย่างนี้เข้าไว้ ทำให้เหมือนเดิมครับ
ที่สำคัญ ทาน ศีล ภาวนา ต้องทำให้มากขึ้นนะครับ
สาธุ สาธุ สาธุ กับการรักษาพรหมจรรย์นะครับ
#17
โพสต์เมื่อ 14 November 2007 - 10:09 AM
ความจริงแล้วเราต้องถามตัวเองและศึกษาตัวเองให้แน่ใจว่ามีกำลังใจเข้มแข็งพอมั๊ย และถ้าคุณรู้จุดอ่อนตัวเองแล้วแต่ก็ยังอยากชีชีวิตโสดอยู่คุณก็ควรหลีกเลี่ยงหนทางที่จะทำให้คุณไม่บรรลุวัตถุประสงค์นั้นเสียก็เท่านั้นเอง เพศตรงข้ามคือข้าศึกของพรหมจรรย์ คุณลองหาหนังสือพระอานนท์พุทธอนุชา ของ อ.วศิน อินทสระ อ่านดูค่ะ แล้วจะเข้าใจอะไรในชีวิตได้ง่ายขึ้นมากเลย อาจารย์ท่านเขียนได้ดีมากถึงแม้จะเป็นนวนินายแต่ทุกตัวอักษรหากใครเคยมีประสบการณ์ด้านต่างๆมา และจากการมองสังคมตามความเป็นจริงก็จะเห็นได้ตามนั้นค่ะ คนที่เคยมีประสบการณ์ด้านนี้มาก่อนจะแยกแยะอารมย์ความรู้สึก และการกระทำของฝ่ายตรงข้ามได้ดี และสิ่งเหล่านี้สามรถสัมผัสได้ทางด้านการกระทำและความรู้สึกที่มีต่อกันดีว่า การกระทำ ว่าการแสดงออกเหล่านั้นหมายความถึงมิตรภาพอย่างเพื่อน หรืออย่างอื่น ก็ในเมื่อตัวเราเองยังสามารถรับรู้ความรู้สึกที่ดีเกินเพื่อนจากเขาได้แล้วจากการกระทำของเขาที่มีให้เรา แล้วการกระทำที่ยังไม่ชัดเจนว่าจะให้เป็นเพื่อนดีหรือเป็นอย่างอื่นดีที่เรามีให้เขานั้นทำไมเขาจะรับรู้สิ่งนั้นไม่ได้.....เมื่อตั้งใจจริงแล้วก็ควรเด็ดขาดและอย่าเอาตัวเองเข้าไปพัวพันกับสิ่งเหล่านั้นดีที่สุด นี่คือคำตอบ
#18
โพสต์เมื่อ 16 November 2007 - 03:37 AM
พุทธพจน์ (๓๔/๗๔ คาถาธรรมบท)
บุคคลพึงรีบทำความดี พึงห้ามจิตจากบาป เพราะเมื่อทำบุญช้าไป ใจย่อมยินดีในบาป
แปลว่าจิตของเราต้องหมั่นดูแลให้ยินดีในการทำความดีอยู่เสมอไม่ฉะนั้นจะเผลอ ไปตามกิเลส
คนอื่นไม่ใช่ตัวแปลสำคัญตัวของเรา(จิต) สำคัญที่สุด