ในสมัยหนึ่ง พระพุทธเจ้าประทับอยู่วัดเชตวัน เมืองสาวัตถี ทรงตรัสปรารภเมตตาสูตรว่า
"ภิกษุทั้งหลาย อานิสงส์ของการแผ่เมตตามี ๑๑ ประการ คือ
๑. หลับเป็นสุข
๒. ตื่นเป็นสุข
๓. ไม่ฝันร้าย
๔. เป็นที่รักของมนุษย์ทั้งหลาย
๕. เป็นที่รักของอมนุษย์ทั้งหลาย
๖. เทวดาย่อมรักษา
๗. ไฟ ยาพิษ ศัสตรา ไม่ล่วงเกิน
๘. จิตได้สมาธิเร็ว
๙. สีหน้าผ่องใส
๑๐. ไม่หลงตาย
๑๑. เมื่อยังไม่บรรลุ ธรรม ย่อมเข้าถึงพรหมโลกชั้นสูง
ภิกษุทั้งหลาย พึงเจริญเมตตาไปในสัตว์ทุกชนิดโดยเจาะจงและไม่เจาะจง พึงเจริญ กรุณา มุทิตา อุเบกขา แม้ไม่ได้มรรคผลก็ยังเข้าถึงพรหมโลกได้" แล้วได้ตรัสอดีตนิทานมาสาธก ว่า...
กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้วพระโพธิสัตว์เกิดเป็นฤาษีชื่ออรกะ บำเพ็ญเพียรอยู่ป่าหิมพานต์ ได้เป็นอาจารย์สอนหมู่ฤาษี พร่ำสอนอานิสงส์เมตตาว่า "ธรรมดาพรรพชิตควรเจริญเมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา เพราะเมื่อจิตถึงความแน่วแน่แล้ว ย่อมบังเกิดในพรหมโลกได้" แล้วกล่าวเป็นคาถาว่า
"ผู้ใดอนุเคราะห์สัตว์โลกทั้งมวล ด้วยเมตตาจิตอันหาประมาณมิได้ ทั้งเบื้องบน เบื้องต่ำและเบื้องล่าง โดยประการทั้งปวง จิตเกื้อกูล หาประมาณมิได้ เป็นจิตบริบูรณ์อันผู้นั้นอบรมมาดีแล้ว กรรมใดที่เขาทำแล้วพอประมาณ กรรมนั้นจะไม่เหลืออยู่ในจิตของเขานั้น"
เมื่อกล่าวคาถาจบ ได้พาหมู่ฤาษีบำเพ็ญเพียรไม่เสื่อมจากฌาน ได้ไปบังเกิดในพรหมโลก ไม่ได้กลับมาเกิดในโลกมนุษย์อีก เป็นเวลา ๗ สังวัฏฏกัป
นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า : อานิสงส์ของการเจริญภาวนามี อยู่ ๑๑ ประการ นักปฏิบัติธรรมพึงมีความขยันมั่นเพียรเทอญ
อันนี้เรื่องเล่าประสบการณ์การแผ่เมตตาของเพื่อนผมครับ
1.มีอยู่ช่วงหนึ่งตอนผมบวชอยู่ ผมเจริญเมตตาเป็นอารมณ์กรรมฐานโดยเฉพาะ โดยทรงอารมณ์เมตตาทั้งวันทั้งคืนเท่าที่ยังตื่นอยู่ ไม่ว่าจะทำอะไรอยู่ก็ตามจะพยายามระลึกถึงอารมณ์เมตตาอยู่ตลอด รวมทั้งนั่งสมาธิสลับกับเดินจงกรมไปมา ทำได้อยู่ประมาณ 3 วันมั๊งครับ ปรากฏว่าจะมีนกจากที่ไหนไม่ทราบบินมาอยู่ ณ สถานที่พักอาศัยเต็มไปหมด แถมยังบินไปบินมาคอยส่งเสียงเจื้อยแจ้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งช่วงที่เรานั่งสมาธิทรงอารมณ์เมตตา จะมีมาวนเวียนส่งเสียงอยู่ใกล้ๆเป็นพิเศษครับ หลังจากนั้นเป็นต้นมาเวลาผมนั่งสมาธิ แม้ว่าจะเปลี่ยนกรรมฐานไปเจริญกรรมฐานแบบอื่นที่ไม่ได้เป็นอารมณ์เมตตาแล้ว เช่นทรงอารมณ์นิ่งๆสงบๆเป็นอุเบกขาแทนเฉยๆ ถ้าตอนที่เรานั่งสมาธินั้นแถวๆนั้นมีสัตว์ต่างๆพวกนกหรือสุนัขแมว พวกเขาก็มักจะเข้ามาวนเวียนอยู่ใกล้ๆตัวเราเสมอๆน่ะครับ โดยเฉพาะนกนี่จะมาร้องอยู่ใกล้ๆเราเป็นประจำตอนที่นั่งสมาธิน่ะครับ
2.มีอยู่วันหนึ่งมีนกตัวหนึ่งบินชนกระจกอย่างแรงแล้วตกลงมา คอของมันพับเอียงไปข้างหนึ่งแถมดิ้นไปมาอยู่บนพื้นดูท่าทางเจ็บปวดมาก ด้วยความสงสารผมเลยลองเอามือไปใกล้ๆตัวมัน แล้วก็น้อมจิตแผ่เมตตาส่งความรู้สึกผ่านฝ่ามือไปสักพัก ไม่นานนกตัวนั้นก็ค่อยๆนิ่ง อาการดิ้นรนน้อยลง จากนั้นมันก็ค่อยๆลุกขึ้นยืนขึ้นมา ผมจึงเอามือไปวางใกล้ๆมันก็เดินขึ้นมาอยู่บนมือผม ช่วงขณะนั้นผมก็แผ่เมตตาให้มันตลอด สักพักใหญ่ๆนกตัวนั้นก็สามารถโบยบินขึ้นสู่ท้องฟ้าไปได้อีกครั้งหนึ่ง ซึ่งทำให้ผมรู้สึกดีใจเป็นอย่างมากเลยครับ
3.อีกเหตุการณ์หนึ่งก็คือในสภานที่ที่ผมอยู่ตอนบวชนั้นจะมีแมวอยู่ตัวหนึ่ง ตอนแรกๆก็ยังไม่ค่อยคุ้นกันเท่าไหร่หรอกครับ ผมก็เลยลองไปนั่งใกล้ๆมันแล้วก็แผ่เมตตาไปให้บ่อยๆ บังเอิญวันหนึ่งมีงูเขียวหางไหม้เข้ามาในสถานที่ปฏิบัติธรรม ผมก็เลยเอาถังกับไม้กวาดไปพยายามล่อให้งูเข้ามาในถังจะได้เอาไปปล่อยข้างนอก แล้วแมวตัวนั้นเดินผ่านมาพอดีครับ พอมันเห็นเหตุการณ์นั้นมันก็รีบเข้ามาทำท่าขู่งูตัวนั้น
ซึ่งปรากฏว่างูตัวนั้นก็ต่อสู้ด้วยการฉกแมว แต่แมวตัวนี้ไวมากก็เลยกระโดดหลบไปมา บางครั้งก็เอาขาตะปปหัวของงูตัวนั้นไม่ให้ฉกกัดได้ อีกทางหนึ่งผมก็พยายามล่องูจนกระทั่งเอางูเข้าถังได้สำเร็จครับ ผมเลยคิดว่าอาจเป็นเพราะกระแสเมตตาที่เราแผ่ให้กับแมวตัวนั้นบ่อยๆจึงทำให้มันสามารถรับรู้ได้ และก็เข้ามาช่วยผมในเหตุการณ์นี้น่ะครับ เพราะจะว่าไปแมวตัวนี้ก็ไม่ใช่แมวเลี้ยงแต่เป็นแมวที่มักจะมาโผล่แถวสถานที่ปฏิบัติธรรมที่ผมพักอาศัยอยู่เป็นประจำน่ะครับ อาหารอะไรก็ไม่เคยให้เลยเพราะพวกเขาหากินกันเองครับ
เหตุการณ์ประสบการณ์ที่เห็นอานิสงส์ของการแผ่เมตตาของผมที่พอจะจำได้และที่เจอมากับตัวเองก็มี 3 เรื่องดังกล่าวนี้แหละครับ


