คำสารภาพของคนอคติต่อหลวงพ่อธัมมชโย
#1
โพสต์เมื่อ 09 August 2006 - 09:52 AM
#2
โพสต์เมื่อ 09 August 2006 - 10:06 AM
.........................................................................................................
ยินดีกับคุณสาคร ด้วยนะครับ
ผมว่าไม่ต้องเข้าไปรบกวนหลวงพ่อ หรอกครับ
แค่คุณสาคร เดินตามคำสอนของหลวงพ่อ
หมั่นให้ทาน รักษาศิล เจริญภาวนา ทำบุญทุกบุญ ทุ่มสุดใจ แต่อย่าให้หมดตัว
แค่นี้ก็ได้ชื่อว่า ได้ติดตามหลวงพ่อ และได้ขอขมาต่อหลวงพ่อแล้วครับ แล้วครับ
และในวันอาทิตย์ต้นเดือน ก็นั่งธรรมให้ใจหยุดนิ่งๆ ตอนหลวงพ่อท่านพาบูชาข้าวพระ
และขอขมา ต่อ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ แค่นี้คุณสาคร ก็สุดยอดแล้วครับ
อนุโมทนาบุญด้วยนะครับ
ในฐานะที่ข้าพเจ้าเรียนมาทางวิทยาศาสตร์ วิศวกรรมศาสตร์ กระทู้ต่างๆ ที่ข้าพเจ้าแสดงความเห็นใน DMC.tv นี้
ถึงจะเป็นตะเกียงดวงน้อยด้อยแสง แต่ไฟแรงจุดติดดวงอื่นได้
ไม่เสียดายให้แสงสว่างกับผู้ใด ชักนำใจให้สว่างเพียงแต่ธรรม
#3
โพสต์เมื่อ 09 August 2006 - 10:36 AM
- ไมโคร (เพลง หยุดมันเอาไว้)
"แค่หลับตา... (ลบเลือนทุกสิ่ง เหลือเพียงหนึ่งเดียว) เธอจะเห็นยามเธอหลับตา... (ใช้ใจสัมผัสและมองสิ่งนั้น) เธอจะเห็นตัวฉันเป็นอย่างที่เป็น"
- อุ๊ หฤทัย (เพลง แค่หลับตา)
#4
โพสต์เมื่อ 09 August 2006 - 10:52 AM
ไปดูเลยว่าคุณที่เคยกล่าวหาวัด เมื่อละจากโลกแล้วไปอยู่ภพภูมิใด มีความสุขที่ได้ชื่นชมทิพยสมบัติ
หรือมีความทุกข์ทรมานกับผลกรรมที่ตนเคยทำตอนเป็นมนุษย์ แล้วความจริงอาจจะกระจ่างแบบกระจ่างที่สุด
สำหรับคนที่มีอคติมากถึงมากที่สุด เรียกว่าใครจะพูดเช่นไรไม่เคยสนไม่เคนใส่ใจในคำอธิบาย
หรือไม่แน่นี่คือการพาเขาไปดูสถานที่ของเขาในอนาคตก่อนจะละโลกไป หรือเป็นคำเตือนให้ผู้ที่กำลังรับฟังข่าวแบบจะเชื่อดีไม่เชื่อดี
ได้พินิจถึงความจริงเสียก่อน ก่อนที่เราจะไปเป็นส่วนหนึ่งในที่ที่เดียวกันในภพหน้ากับเขาเหล่านั้น
............ก็ขออนุโมทนาบุญกับคุณสาครด้วยนะคะ ที่เปิดใจกว้างที่จะรับฟัง รวมถึงไตร่ตรองเรื่องราวทุกสิ่งที่พาลพบ
พยายาทำใจให้เป็นกลาง ตั้งมั้น เชื่อมั่นในตัวของหลวงพ่อ กริชเชื่อว่ายังมีใครอีกหลายคนที่ยังมีอคติอีกเป็นจำนวนมาก
มีทิฐิสูง จนไม่ยอมไตร่ตรอง ไม่รับฟังอะไรทั้งสิ้น สิ่งเหล่านี้แหละคะ คือมหาภัยอันตราย ที่จะนำเขาไปสู่ความไม่สบาย
ในภพหน้า เพราะความไม่ยอมศึกษาไม่ยอมเปิดใจรับฟังนั่นเอง คุณสาครทำใจให้ผ่องใส และเชื่อมั่นในความดีต่อไปนะคะ
#5
โพสต์เมื่อ 09 August 2006 - 11:13 AM
#6
โพสต์เมื่อ 09 August 2006 - 11:21 AM
โดยเฉพาะสมัยนี้ข่าวเกี่ยวกับพระพุทธศาสนากำลังเป็นที่สนใจ
หากข่าวรุนแรงก็จะขายดีมากๆ ผู้ที่ทำหน้าที่เรียบเรียงเขียนข่าว
คือคนที่ไม่ได้ไปทำข่าวจริง แต่รอข้อมูลข่าวเท่านั้น แล้วทำหน้าที่
เขียน จากนั้นก็ทำการเสริมคำ เสริมเนื้อหา หรือบิดเบือนให้เกินจริง
ทำให้ผู้ถูกกล่าวถึงเสียหาย นี่ก็เป็นวิบากกรรม ทำกับคนธรรมดาไม่เท่าไร
แต่ทำกับคนมีศีลนะบาปหนัก คนที่อ่านแล้วหลงเชื่อก็พลอยได้รับวิบากกรรมไปด้วย
มหานรกขุม 4 คือสถานที่รองรับอย่างแท้จริง ตัวหนังสือที่เคยเขียนบิดเบือนเอาไว้
จะกลับมาทำร้ายตัวเราเอง
วาจาที่เคยถากถางเอาไว้ จะมีสิ่งที่มากระทำไม่ให้ได้พูดอะไรได้อีก ในมหานรกขุมที่ 4
เคยดูเคสนึงของหลวงพ่อท่านเล่าให้ฟัง และฉายภาพประมาณนี้ให้ดูน่ากลัวมากคะ
#7
โพสต์เมื่อ 09 August 2006 - 11:36 AM
#8
โพสต์เมื่อ 09 August 2006 - 11:39 AM
เหมือนกับท่านสาคร จำนวนมากครับ ถ้านับตั้งแต่ปี 2542 เป็นต้นมา
ผมขอชมเชยที่ท่านสาครได้มาเปิดประเด็นนี้ ในที่นี้ (ทีแรกๆ ผมกะว่าคงจะโดน ลบกระทู้ไปแล้ว)
ถ้าสิ่งที่ผมจะนำมา ให้อ่านต่อไปนี้ หมิ่นเหม่ต่อ กระบวนการใดๆ ที่จะทำให้สัมพันธภาพ ของปัจเจกชนในที่นี้สั่นคลอน
ก็ให้ท่าน แอดมิน ได้ลบไปเลยนะครับ
โดยธรรมชาติแล้ว คนไทยเป็นคนดี คิดอะไรก็ดีไปหมด เวลาใครมาพูดอะไรร้ายๆ
เราก็จะพยายามซักไซ้ว่า คิดมากไปหรือเปล่า ไม่น่าเป็นไปได้ ทุกศาสนาก็สอนให้เป็นคนดีทั้งนั้น
ใครเขาจะมาคิดร้ายอะไรกับเราทำไม
แต่ภัยที่กำลังคุกคามศาสนาในวันนี้ เป็นสิ่งที่น่าสยองขวัญอย่างยิ่ง ยิ่งกว่านิยายซับซ้อนของอาเกธา
คริสตี้ หรือเอียน เฟลมมิ่ง ผู้แต่งเจมบอนด์ 007
เพราะขบวนการอันแยบยล และเป็นเครือข่ายที่มีการทำงานอย่างเป็นระบบ
อย่างมืออาชีพระดับโลก มีกำลังเงินมหาศาล รู้จักฉวยโอกาส จากสถานการณ์อย่างใกล้ชิด อย่าได้กระพริบตาเป็นอันขาด
เพราะดูแล้วงานนี้ เป็นงานระดับโลก ฝีมือไม่ธรรมดา รู้จักใช้คนไทยให้หันปากกระบอกปืนเข้าหากันเอง
เรียกกว่าไทยฆ่าไทย พุทธฆ่าพุทธกันเอง คนอื่นไม่เกี่ยว ขอปรบมือให้ว่าเฉียบครับ นับถือจริงๆ แนบเนียนจริงๆ
ผมนึกถึงสมัย 14 ตุลาคม กับพฤษภาทมิฬ ที่ทหารผู้ไม่รู้อิโหน่อิเหน่ ถูกเก็บตัวไว้อย่างมิดชิด
ถูกกรอกหูทุกวันว่า พวกเดินขบวนทั้งหลาย คือผู้ก่อการร้าย เป็นนักศึกษาหัวรุนแรงคิดร้ายต่อชาติ
จะต้องกำจัด ถ้าจะต้องตายไม่กี่พัน พวกนี้ก็จะกลัวลนลาน สลายตัวไปเอง
แล้วปากกระบอกปืนของทหารผู้ถือวินัยกับคำสั่งผู้บังคับบัญชาเคร่งครัด ก็หันเข้าหานักศึกษา
กับคนไทยที่โบกแต่ธงชาติไร้อาวุธ แล้วก็ลั่นไก
ผมกำลังสงสารคนไทย คือคนไทยนับล้านที่กำลังรับสื่อข้างเดียว การกรอกหูทุกวัน
การลงข่าวยับเยิน ถึงความไม่ชอบมาพากลของวัดๆ แห่งหนึ่ง ที่มีคนศรัทธา
ไปนั่งสมาธิเป็นแสนคน ร่วมกันทำบุญอันยิ่งใหญ่ สร้างเจดีย์จากแรงศรัทธาค่าหลายพันล้านบาท
ผมไม่โทษนักข่าวตัวน้อยๆ ที่ทำข่าว เพราะข้อมูลที่เขาได้รับจากระดับสูงที่ได้มาจากแหล่งข่าว
ที่อ้างว่าเชื่อถือได้ และงานนี้ถ้าทำสำเร็จ น่าจะได้รางวัลพุลลิตเซอร์ เพราะเป็นการโค่นวัดใหญ่ที่ดังระดับโลก
และที่น่าสังเกตคือ ระบบข่าวกรองที่วางสายกันอย่างละเอียดยิบ มีการ
วางคนเข้าไปข้างในวัด ระบบดักฟังเสียง ระบบการค้นหาข้อมูลลึก ตามล่าบุคคลที่ผิดหวัง
เป็นศัตรูต่อวัด ไม่ว่าจะไปอยู่ที่ไหน ก็ตามตัวมาได้ ครบถ้วน
การวางข่าวก็วางแบบมืออาชีพ มีการสอดรับกันทั้งวิทยุ โทรทัศน์ นสพ.
ครบถ้วน มีข้อมูลของการวิจัย ที่แอบมาทำเป็นปี เป็นฐานข้อมูล บางอันเกินกว่า 10 ปี
ก็ยังเก็บรวบรวมมาได้ครบถ้วน การออกข่าวกระทำกันเป็นวันๆ และโจมตีพร้อมกันด้วยการสมานฉันท์
และประสานงานกัน อย่างดียิ่ง
เก่งอะไรปานนี้ เจ็บแค้นอะไรถึงขนาดนี้ อาฆาตพยาบาทอะไรกันมาถึงขนาดนี้
ไม่ใช่เรื่อง "ธรรมดา" แน่นอน
เพราะถ้าผมเป็นนักข่าว ผมก็คงต้องเคลิ้มไปกับข้อมูลเหล่านี้ เช่นเดียวกับทหารที่ถูกฝึกมาให้พร้อมรบ
เป็นอย่างดี ที่กระหายกลิ่นเลือด เสียงปืนและสงคราม ถ้าได้กระสุนและแผนรบที่ชัดเจน
ปืนทั้งหมดก็หันกระบอกเข้าใส่ชาววัดในชุดขาวที่มานั่งสมาธิด้วยใจบริสุทธิ์ ใสสะอาด
พระภิกษุสงฆ์ในจีวรเหลืองอร่าม กว่า 70 % จบปริญญาตรี หลายรูป จบเปรียญ 9
พระบริสุทธิ์ที่ตั้งใจบวชตลอดชีวิตนับร้อยๆ
ถ้าใครได้ดูหนัง SAVING PRIVATE RYAN คงจะนึกภาพได้ดี ที่ทหารที่ยกพลขึ้นบก
ถูกถล่มอย่างยับเยิน ไม่ลืมหูลืมตา ทั้งห่ากระสุน ทั้งปืนใหญ่ และรถถังเช่นเดียวกับงานนี้
ฝ่ายจู่โจมใช้สื่อทุกชนิดถล่มข้างเดียว ฝ่ายถูกถล่มมีแค่มือเปล่า ได้แต่ ยกมือไหว้ขอเมตตาธรรม
แน่นอนไปยิ่งกว่านั้น ก็มีการทำโพลขานรับสื่อ รู้สึกอย่างไรกับผลงานที่ใส่ร้ายป้ายสี
ให้ป่นปี้หมดทั้งวัด ทั้งพระ ทั้งคนมาวัด ไม่ว่าจะเป็น อินเตอร์เนตโพล หรือโพลที่ทำด้วยความไม่รู้ตื้นลึกหนาบาง
ก็แล้วแต่ ผลชัดเจนว่าการโจมตีทางอากาศครั้งนี้ ประสบความสำเร็จดีกับ บุคคลภายนอกที่ไม่เคยเข้าวัด
หรือมาอย่างผิวเผินทั้งหมด ได้ผลมากกับศัตรูหรือคนที่ไม่ชอบวัดนี้เป็นทุนอยู่แล้ว ทุกคนเห็นสอดคล้องกับ
การเสนอข่าวข้างเดียวนี้ อย่างภูมิใจ สำหรับผู้วางแผนเบื้องหลังทั้งหมด
การสร้างความดูหมิ่น เกลียดชัง หรืองานขั้นที่หนึ่งถือว่าประสบความสำเร็จ
แม้จะต้องทุ่มทุนกำลังอย่างมหาศาล อย่างที่ไม่เคยปรากฏ มาก่อนเลย แต่ถือได้ว่าเป็นชัยชนะอันงดงาม
ครับ ยอดเยี่ยม ยิ่งใหญ่ ยุทธศาสตร์พุทธฆ่าพุทธ ไทยฆ่าไทย ยุทธศาสตร์ที่ทำให้ประเทศเราต้องสูญเสียเมืองมาได้
ทุกยุคทุกสมัย ในประวัติศาสตร์การเปิดประตูเมือง ให้ข้าศึกเข้ามาเผาเมือง
การจับอาวุธต่อสู้กันเอง เพื่อหวังสินบน สวัสดิการ ในยามที่ข้าวยากหมากแพง
ในยามที่เศรษฐกิจตกต่ำที่สุด ยุคที่เงินเป็นพระเจ้าที่สามารถบันดาลได้ทุกสิ่ง
ยุคที่มนุษย์ไม่รู้จักคำว่าบาป จึงไม่กลัวบาป นรก เป็นเรื่องน่าขบขัน คนกลัวนรก
เป็นพวกหลงงมงาย คนทำบุญ คือพวกโง่เขลาเบาปัญญา การทำบุญ
ทำให้ครอบครัวแตกแยก การไปวัดนั่งสมาธิ แปลว่า พวกยึดติด หลงอิทธิปาฏิหาริย์
ขอโทษที ที่เขียนมาทั้งหมดนี้ คงไม่ต้องบอกก็รู้นะครับ ว่าเป็นกรณีศึกษาเรื่องศึกถล่มธรรมกาย
เพียงแต่ถึงวันนี้ ยังเปิดตัวว่า ใครเป็นผู้อำนวยการสร้าง ผู้กำกับ ที่เราเห็นทุกวันนี้ เป็นแต่ดารานำแสดง
ซึ่งปล่อยตัวมาครบแล้ว มีทั้งดาราและตัวประกอบครบครัน
ถ้าจะถามว่า ใครอยู่เบื้องหลัง ต้องการอะไร ปิดวัดพระธรรมกายได้ ใครจะได้อะไร
และเขาหยุดเพียงแค่นี้หรือไม่ แผนต่อไป เขาจะทำอะไร และที่ว่า ถ้าขุดรากถอนโคนได้ เขาจะขุดรากอะไรถอนโคนอะไร?
มันยังไม่จบแค่นี้หรอกครับท่านสาคร...เราต้องหนักแน่นและมั่นคงในคุณครูไม่ใหญ่ โดยการนั่งธรรมให้เข้าถึงวิชชาธรรมกาย ครับ
.......................
PS.ผมมีญาติที่อเมริกา เขาเคยทำงานกับ CIA ผมเคยสนทนากับเขา
มันซับซ้อนกว่าที่ผมนำมาให้อ่านมากกว่านี้หลายล้านเท่า ครับ
ในฐานะที่ข้าพเจ้าเรียนมาทางวิทยาศาสตร์ วิศวกรรมศาสตร์ กระทู้ต่างๆ ที่ข้าพเจ้าแสดงความเห็นใน DMC.tv นี้
ถึงจะเป็นตะเกียงดวงน้อยด้อยแสง แต่ไฟแรงจุดติดดวงอื่นได้
ไม่เสียดายให้แสงสว่างกับผู้ใด ชักนำใจให้สว่างเพียงแต่ธรรม
#9
โพสต์เมื่อ 09 August 2006 - 11:43 AM
#10
โพสต์เมื่อ 09 August 2006 - 12:18 PM
พระราชวิสุทธิกวี (พิจิตร ฐิตวัณโณ) เรียบเรียง
การทำลายล้างของ โมฮัมหมัด เบนกาซิม
ปลายพุทธศตวรรษที่ 12 ขุนพลมุสลิมชื่อ โมฮัมหมัด เบนกาซิม ได้ยกทัพ เข้ามาทางด้าน
ตะวันตกเฉียงเหนือ ของอินเดีย โจมตีแคว้นสินธุ และแคว้น มลตาน ได้, แล้วยึดครอง ตั้งราชวงศ์มุสลิมขึ้น.
ตลอดระยะเวลา อันยาวนานกว่า 3 ศตวรรษ ที่พระพุทธศาสนา ที่อยู่ในบริเวณนี้
ถูกพวกมุสลิม ทำลายลงจนสิ้น ซึ่งในบริเวณนี้ มีวัดวาอาราม ในพระพุทธศาสนา เป็นเรือนหมื่น ได้ถูกเผาผลาญ อย่างย่อยยับ
ปล้นสะดมภ์ เอาทรัพย์สมบัติไป ส่วนพระภิกษุสงฆ์ ต่างพากันหนีอพยพ ไปยังแคว้นมคธ และ แคว้นเบงกอล เป็นจำนวนแสน.
การทำลายล้างของ มหหมุด
กษัตริย์มุสลิม ชาวอาฟกานิสถานชื่อ มหหมุด ได้ยกทัพ รุกรานอินเดีย 17 ครั้ง
และได้ออกคำสั่งว่า จงไปลงโทษ พวกที่บูชารูปเคารพ จงทำลาย โบสถ์วิหารของมัน
จงให้มันกลับใจ มานับถือพระอัลลาห์.
กองทัพมุสลิม ไปถึงที่ไหน พระพุทธศาสนา และศาสนาพราหมณ์ ก็ย่อยยับที่นั่น
ประชาชนถูกบังคับ ให้ยอมรับนับถือ ศาสนาอิสลาม ถ้าไม่ยอม ก็ถูกประหารทิ้งสิ้น.
ฆาตกรรม ครั้งที่ใหญ่ที่สุดคือ เมื่อมหหมุดโจมตี เมืองกัญญากุพชะ ได้ฆ่าคน ในเมืองไป
ประมาณแสนคน จับเอาไปเป็นเชลย 8 หมื่นคน เชลยเหล่านี้ มหหมุดสั่งให้เอาไป
ขายเป็นทาส ราคาคนละ 2 รูปี เท่านั้น. นครกาบูล ในอาฟกานิสถาน ของมหหมุด จึงเป็นตลาดค้าทาส ที่ใหญ่ที่สุด.
การทำลายล้างของ บักตยาร์ ขัลจิ
ราชวงศ์ปาละ ในแคว้นมคธ และเบงกอล เป็นราชวงศ์สุดท้าย ในอินเดีย ที่นับถือพระพุทธศาสนา.
ในช่วงพุทธศตวรรษที่ 12-17 ซึ่งในขณะนั้น ได้มีมหาวิทยาลัย พระพุทธศาสนา
ในมคธ และเบงกอล หลายแห่ง คือ นาลันทา วิกรมศิลา โสมบุรี และอุทันตบุรี.
ครั้นต่อมา เมื่อมุสลิมเข้ารุกราน จนได้ยึดครองอินเดียแล้ว ก็มักจะทำลายล้าง ศาสนาอื่นๆ จนสิ้น
ดังกรณีของ ขุนทัพบักตยาร์ ขัลจิ ได้บุกเข้าทำลาย มหาวิทยาลัยนาลันทา ที่ใหญ่ที่สุด
เก่าแก่ที่สุด มีชื่อเสียงมากที่สุด มีนักศึกษา เป็นจำนวนหมื่น มีพระอาจารย์ บรรยาย 1500 รูป
มีห้องประชุม ขนาดใหญ่ ซึ่งบรรจุผู้ฟัง ได้ถึงพันคนขึ้นไป มี 8 ห้อง มีห้องเรียนกว่า 300 ห้อง
มีหอพักนักศึกษา ในมหาวิทยาลัย. พร้อมได้เผาตำราทั้งหมดทิ้ง ได้ฆ่าฟันทำลาย
ชีวิตพระภิกษุสงฆ์ ไปเป็นจำนวนมาก ส่วนพระสงฆ์ ที่รอดตาย ได้หนีเข้าในเนปาล และธิเบตแล้วมุสลิม
ได้ปล้นสดมภ์ ขนเอาทรัพย์ อันสมบัติอันมหาศาล ของชาวพุทธไป.
นอกจากนี้ มุสลิมยังได้ยกทัพ ทำลายมหาวิทยาลัย วิกรมศิลา ซึ่งตั้งอยู่ริมฝั่ง แม่น้ำคงคา เป็นที่รวมของวัด
108 วัด มีอาจารย์บรรยาย 800 ท่าน มีนักศึกษาจำนวนหมื่น.
พระพุทธศาสนาได้เสื่อมหายไปจากอินเดีย
นับจาก พุทธศตวรรษที่ 17 นี้ไป พระพุทธศาสนา จึงได้เสื่อมหายไป จากประเทศอินเดีย ซึ่งก่อให้เกิด ความสะเทือนใจ แก่ชาวพุทธทั้งหลาย เป็นอย่างยิ่ง และเป็นบทเรียน ที่มีค่ายิ่งสำหรับ ชาวพุทธทั่วโลก.
.........................
ความเห็นของอาจารย์เสถียร โพธินันทะ
เหตุที่ทำให้ พระพุทธศาสนา ในอินเดียเสื่อมไปหมด เพราะ
1) ในขณะที่ พระพุทธศาสนา รุ่งเรืองสูงสุด แม้ในสมัย พุทธกาลเอง ประชาชนชาวอินเดีย ก็นับถือศาสนาพราหมณ์ มั่นคงอยู่ ศาสนาพราหมณ์ ส่วนใหญ่ ยังไม่ได้เสื่อมไป.
2) ในสมัยหลังพุทธกาล แม้จะมีพระมหากษัตริย์ ที่เป็นองค์อุปถัมภ์ พระพุทธศาสนา เช่นพระเจ้าอโศกมหาราช ก็ตาม แต่ก็ไม่ได้เบียดเบียน ศาสนาอื่นๆ ไม่ได้มีวัตถุประสงค์ เพื่อการล้มล้าง ศาสนาพราหมณ์ หรือการใช้อำนาจ ทางการเมือง เพื่อฝังรากศาสนา ลงในใจของประชาชน ทั้งหมด.
แตกต่างจาก ศาสนาคริสเตียน หรือศาสนาอิสลาม แผ่ไปถึงไหน ก็ใช้อำนาจครอบงำ บังคับให้วัฒนธรรมเดิม ถูกถอนราก ถอนโคนออก แล้วบังคับให้ นับถือศาสนาของตนแทน.
ส่วนพุทธศาสนา ที่แผ่ไปถึงไหน ก็อะลุ้มอะล่วย ปรองดองกับ ศาสนาถิ่นเดิม เกลือกกลั้ว ผสมผสานกันได้.
3) หลักการ ในพระพุทธศาสนา ให้เสรีภาพแก่บุคคล มิได้มีการเรียกร้อง ความภักดีพลีชีวิต เพื่อศาสนาของตน ดังเช่นศาสนาอื่นๆ ความรู้สึก ของชาวพุทธ ในเรื่องการปกป้อง รักษา พระศาสนาของตนเอง จึงมิได้รุนแรง ไม่มากพอ เหมือนศาสนา ที่รบเร้าเรื่อง ความภักดีเป็นใหญ่.
4) ความเสื่อม ภายในคณะสงฆ์เอง มีการแตกแยกออก เป็นหลายหมู่ หลายเหล่า ต่างถือพวก ถือหมู่วิวาทกัน.
5) พระสัทธรรมดั้งเดิม ได้ถูกบรรดาคณาจารย์ ของนิกายต่างๆ ทั้งมหายาน และหินยาน อรรถาธิบาย ทำให้เป็นของยากขึ้น ทำให้เป็น อภิปรัชญามากขึ้น สำหรับการโต้เถียง ประเทืองปัญญา ตีโวหารกัน มากกว่า ใช้สำหรับปฏิบัติกันจริงๆ ในชีวิต.
พุทธศาสนา จึงกลายเป็นของยาก สำหรับสามัญชนไป กลายเป็นสมบัติ ของนักปราชญ์กลุ่มหนึ่ง ในกำแพงวัดเท่านั้น ชาวบ้านทั่วไป ไม่รู้ว่าพุทธศาสนาคืออะไร?
วัฒนธรรม ทางพระพุทธศาสนา มีอยู่เฉพาะ แต่ภายในวัดทั้งหลาย เท่านั้น ไม่ได้มีปฏิบัติการ เกี่ยวกับฆราวาสเลย
และเมื่อวัดเหล่านี้ ถูกรุกรานทำลาย หรือขาดราชูปถัมภ์ ก็จะถูกทอดทิ้ง ให้เสื่อมโทรมไป แล้วพระพุทธศาสนา ก็จะเสื่อมไปด้วย.
6) ในสมัยราชวงศ์คุปตะ พวกพราหมณ์ เห็นว่าจะเอาชนะพวกพุทธ โดยตรงไม่ได้ ก็ใช้วิธี การกลืนพุทธอย่างสุขุม โดยอ้างว่า พระพุทธเจ้า เป็นนารายณ์อวตาร ผู้นับถือพุทธ ก็คือผู้นับถือฮินดูนั่นเอง ส่วนผู้ที่นับถือฮินดูอยู่แล้ว ไม่ต้องไปเปลี่ยน เป็นศาสนาพุทธ ทำให้ฮินดูมีมากขึ้น ในขณะที่พุทธมีน้อยลง.
7) ชาวพุทธเองกลับยอม ลดคุณภาพของตน โดยไปเอาลัทธิฮินดู เข้ามาปฏิบัติ เกิดเป็นลัทธิมนตรยาน เป็นต้น เท่ากับเป็นการยอมแพ้ อย่างสิ้นเชิง.
8) เมื่อพ้นสมัยคุปตะแล้ว ฝ่ายฮินดู มีนักปราชญ์เก่งๆ เกิดขึ้นหลายคน ฝ่ายพุทธ ไม่มีผู้สามารถ โต้วาทีชนะได้ ฐานะของพุทธ จึงตกต่ำลงมาก.
9) ครั้นเมื่อ ศาสนาอิสลามรุกราน ได้ทำลายล้างทั้งชีวิต และทรัพย์สิน อย่างบ้าเลือดป่าเถื่อน จนไม่มีใครต้านทานได้ ต้องหลบหนี ออกจากอินเดียไปจนหมด.
10) พวกพราหมณ์ มีทั้งคฤหัสถ์ และบรรพชิต เป็นผู้รับถ่ายทอดความรู้ ทางพระเวท จึงสามารถสืบต่อ กันไปได้นาน ส่วนพระพุทธศาสนา ความรู้ทั้งหมด ไปอยู่กับพระภิกษุเท่านั้น เมื่อสถาบันสงฆ์ ถูกทำลาย
เช่นถูกห้ามไม่ให้บวช ถูกฆ่าตาย ความรู้ในทางศาสนา จึงไม่มีผู้สืบต่อ และหมดสิ้นลง ในระยะเวลาอันรวดเร็ว เพียงไม่กี่ชั่วคน.
เหตุผลทั้งหมดนี้ จึงทำให้พระพุทธศาสนา เสื่อมไปจากอินเดีย.
การป้องกันพระพุทธศาสนา ไม่ให้เสื่อมไปจากประเทศของตน
พุทธบริษัททั้งหลาย คงจะต้องหาทาง ป้องกันพระพุทธศาสนา ไม่ให้เสื่อมสูญ ไปจากประเทศของตน และต้องช่วยกันสืบต่อ พระสัทธรรมที่แท้จริง
โดยเพียรพยายาม ทำตนให้ได้รับคุณวิเศษ บรรลุมรรคผลนิพพาน ตามครรลองแห่ง พระสัทธรรมที่แท้จริง ที่สามารถดับทุกข์ได้จริง ตามกฏแห่งอริยสัจสี่ ไม่ต้องเป็นทาสของกิเลส ไม่ต้องเป็นทาส ของปัญญาจากผู้ใด
เมื่อนั้นพระพุทธศาสนา ไม่มีวันเสื่อมสูญ ไปจากโลกนี้ โดยเด็ดขาด.
**** จากความทรงจำความของผม เคยมีคำถามว่า
ทำไม วัดพระธรรมกายต้องเผยแผ่พระพุทธศาสนา วิชชาธรรมกาย ไปทั่วโลก เอาแค่ในประเทศไทยไม่พอหรือ
พระเดชพระคุณ พระภาวนาวิริยะคุณ ( หลวงพ่อ ทัตตชีโว ) เคยให้โอวาทไว้ว่า ( โดยความหมาย )
การเผยแผ่พระพุทธศาสนาในต่างแดนมีความจำเป็นมาก เพราะ ในโลกนี้ ไม่มีอะไรเที่ยงแท้ ยั่งยืนนาน
เกิดขึ้น ตั้งอยู่ แล้วก็เสื่อมสลายไป
ใครจะคิดว่า อินเดีย ซึ่งเป็นแดนกำเนิดพระพุทธศาสนา เพียงไม่ถึง 2,000 ปี พระพุทธศาสนาก็แทบอันตรธานไปจากอินเดีย
จนถึงปัจจุบันนี้ ชาวอินเดียมีมากกว่า 1,000 ล้านคน แต่มีพระสงฆ์ชาวอินเดียอยู่ไม่กี่รูป ศาสนทายาทของพระพุทธศาสนา คือ ภิกษุ อุบาสก อุบาสิกา ชาวอินเดียมีอยู่น้อยเหลือเกิน นอกนั้นก็มีพระไทย พระเวียดนาม พระศรีลังกา พระกัมพูชา
ใครจะคิดว่าพระพุทธศาสนาจะมาเจริญรุ่งเรืองนอกอินเดียได้ โดยเฉพาะในเขตสุวรรณภูมิ ซึ่งปัจจุบันเป็นที่ยอมรับกันว่า ประเทศไทย เป็นประเทศที่มีพระพุทธศาสนา มั่นคง และเจริญรุ่งเรืองที่สุด มีศาสนทายาทและพุทธศาสนสถานอยู่ทั่วประเทศไทย
มีศาสนพิธี ประเพณี วัฒนธรรมชาวพุทธอยู่ในวิถีชีวิตของชาวไทยทั่วประเทศ
แต่ลูกเอ๊ย วันนี้ชาวไทยมีชีวิตที่สงบสุข ร่มเย็น ได้อยู่ในร่มเงาพระพุทธศาสนา ได้สร้างบารมี มีเส้นทางชีวิตในทางธรรมที่เราสามารถพัฒนาคุณภาพจิตใจให้สะอาด บริสุทธิ์ ผ่องใส มีความสุขในโลกนี้ได้ และยังหวังถึงโลกหน้าได้ ก็เพราะ
มีการเผยแผ่พระพุทธศาสนา จากบรรพชนในอดีต ทั้งพระอริยสงฆ์ สมมุติสงฆ์ อุบาสก อุบาสิกา และปู่ ย่า ตา ยาย รักษา สืบพระศาสนา โดยเอาชีวิตเป็นเดิมพัน
พวกเรารู้ว่า พระพุทธศาสนา มีคุณประโยชน์ต่อมนุษย์ทั่วโลกทั้ง ประโยชน์ในโลกนี้และในโลกหน้า จนถึงชาติสุดท้ายของชีวิตที่มนุษย์แต่ละคนได้บรรลุ มรรคผล นิพพาน
แต่เราไม่รู้หรอกว่า พระพุทธศาสนาจะเจริญมั่นคงในประเทศไทยได้อีกนานแค่ไหน เพราะ ในโลกนี้ ไม่มีอะไรเที่ยงแท้ ยั่งยืนนาน เกิดขึ้น ตั้งอยู่ แล้วก็เสื่อมสลายไป
โลกจำเป็นต้องมีพระธรรม คำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่มีอยู่ในพระพุทธศาสนา คอยคุ้มครอง
ดังนั้นเพื่อประโยชน์สุข ของอนุชนรุ่นหลัง ไม่เฉพาะชาวไทย แต่รวมถึงมนุษย์ทั่วทั้งโลก
เราจึงจำเป็นต้องเผยแผ่พระพุทธศาสนา วิชชาธรรมกายไปทั่วโลกให้ได้ในยุคของเรา
ไม่แน่ว่า ในอนาคตที่พระพุทธศาสนา สูญหายไปจากประเทศไทย ก็อาจมีลูกหลาน เหลน โหลนของชาวอเมริกัน หรือ ชาวจีน ชาวเยอรมัน ( หมายถึงคนชาติอื่นๆ ) นำพระพุทธศาสนา กลับมาเผยแผ่ให้ ลูก หลาน เหลน โหลน ชาวไทย ในอนาคตก็เป็นได้
เหมือนอย่างที่พระศรีลังกา พระไทย ต่างก็ผลัดกันสืบทอด บวชภิกษุให้กัน ในคราวที่เกิดภัยในประเทศของตน
จาก ลังกาวงศ์ มาให้ สยามวงศ์ จากสยามวงศ์ ไปลังกาวงศ์ เป็นต้น
ป.ล. 1
*** ( โดยความหมายนะครับ ) หลวงพ่อเอง ก่อนบวช เคยอธิษฐานว่า ให้ได้เกิดเป็นคนไทยอีกเพราะคิดว่า จะได้อยู่ในร่มเงาพระพุทธศาสนาแต่คุณยาย เคยทักว่า
คุณต้องอธิษฐานว่า ให้ได้เกิดในประเทศที่มีพระพุทธศาสนา เจริญรุ่งเรือง เพราะในอนาคตประเทศไทย
อาจไม่มีพระพุทธศาสนาแล้วก็ได้
ป.ล. 2
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ความรู้เกี่ยวกับวิชชาธรรมกาย เกี่ยวกับหมู่คณะของเรา จำเป็นต้องเผยแผ่
เพราะนอกจากประโยชน์สุขในปัจจุบันแล้ว ไม่แน่ว่า ในอนาคต หากพวกเราเกิดมาสร้างบารมีต่อ จะได้ต่อยอดความรู้เดิมได้ไว จากหลักฐานเดิมและศาสนทายาท ไม่เสียเวลาค้นหา ความรู้ เกี่ยวกับวิชชาธรรมกายและศูนย์กลางกายฐานที่ 7 อีก
ป.ล. 3
ยุคนี้เป็นยุคสมัยที่เอื้ออำนวยต่อการเผยแผ่พระพุทธศาสนา-วิชชาธรรมกาย ไปทั่วโลกได้ไว เพราะว่า
- พร้อมด้วยเทคโนโลยี การสื่อสารไร้พรมแดน
- พร้อมด้วยความเป็นสากล เพราะในมหานครใหญ่ๆทั่วโลก มีคนหลากหลายเชื้อชาติ
มีการสมรสระหว่างเชื้อชาติ เป็นสังคมแบบ multi-calture ; multi-nation
- พร้อมด้วยนักสร้างแบบพวกเรา ที่สำคัญพวกเรายังมีมหาปูชนียาจารย์ อยู่เป็นผู้นำการสร้างบารมี
ป.ล. 4
ข้อมูลย่อประเทศอินเดีย คัดลอกมาจาก CIA Country Factfiles updated on 23 October, 2003
Country name : conventional long form: Republic of India
conventional short form: India
Area : total: 3,287,590 sq km
land: 2,973,190 sq km / water: 314,400 sq km
Land boundaries : total: 14,103 km
border countries: Bangladesh 4,053 km, Bhutan 605 km,
Burma 1,463 km, China 3,380 km, Nepal 1,690 km, Pakistan 2,912 km
Population : 1,049,700,118 (July 2003 est.)
Age structure : 0-14 years: 32.2% (male 173,973,350; female 163,979,116)
15-64 years: 63% (male 342,620,712; female 319,259,867)
65 years and over: 4.8% (male 25,281,756; female 24,585,317)
(2003 est.)
Ethnic groups : Indo-Aryan 72%, Dravidian 25%, Mongoloid and other 3%
(2000)
Religions : Hindu 81.3%, Muslim 12%, Christian 2.3%, Sikh 1.9%,
other groups including Buddhist, Jain, Parsi 2.5% (2000)
Languages : English enjoys associate status but is the most important language
for national,political, and commercial communication; Hindi is the
national language and primary tongue of 30% of the people; there
are 14 other official languages : Bengali, Telugu, Marathi, Tamil,
Urdu, Gujarati, Malayalam, Kannada, Oriya, Punjabi, Assamese,
Kashmiri, Sindhi, and Sanskrit; Hindustani is a popular variant
of Hindi/Urdu spoken widely throughout northern India but is not an
official language
ในฐานะที่ข้าพเจ้าเรียนมาทางวิทยาศาสตร์ วิศวกรรมศาสตร์ กระทู้ต่างๆ ที่ข้าพเจ้าแสดงความเห็นใน DMC.tv นี้
ถึงจะเป็นตะเกียงดวงน้อยด้อยแสง แต่ไฟแรงจุดติดดวงอื่นได้
ไม่เสียดายให้แสงสว่างกับผู้ใด ชักนำใจให้สว่างเพียงแต่ธรรม
#11
โพสต์เมื่อ 09 August 2006 - 12:58 PM
#12
โพสต์เมื่อ 09 August 2006 - 01:05 PM
#13
โพสต์เมื่อ 09 August 2006 - 01:48 PM
และชาวเว็บบอร์ด DMC ทุกท่านที่ช่วยกันตอบกระทู้ และให้ข้อมูลนะคะ
สาธุค่ะ
เรื่องดีๆเกิดขึ้นได้ทุกวัน
#14
โพสต์เมื่อ 09 August 2006 - 03:27 PM
ผมว่าคุณเถลิงเกียรติลองไปบอร์ดพันทิบดูจะดีมากๆเลยครับ เพราะว่าบอร์ดพันทิบพวกมิจฉาทิฏฏิเยอะเหลือเกิน บางครั้งคุณเถลิงเกียรติสามารถพอเป็นแสงสว่างให้พวกเค้าเหล่านั้นได้นะครับ ผมว่าจะช่วยให้คนที่ไม่เข้าใจวัดนั้นเปลี่ยนมาเข้าใจวัดมากขึ้นได้นะครับ
www.######.com/cafe/religious/
#15
โพสต์เมื่อ 09 August 2006 - 03:47 PM
#16
โพสต์เมื่อ 09 August 2006 - 03:57 PM
เรื่องเหตุการณ์ใส่ร้ายป้ายสีวัด ไม่อยากจะนึกถึงให้แปลบ ๆ ใจ ครั้งที่เราวิ่งหน้าตาตื่นมาเฝ้าหลวงพ่อ หรือภาพที่เรา ๆ เห็นหลวงพ่อต้องขึ้นโรงขึ้นศาลกับเรื่องไม่เป็นเรื่อง ผมคิดว่าเป็นการรดื้อด้านจะเอาชนะของอีกฝ่ายที่ไม่เห็นด้วยอย่างรุนแรง โดยพยายามทุกวิถีทางเพื่อหามวลชน
และสื่อเป็นข้างตัวเอง สุดท้ายก็ไม่รู้ว่าทำร้ายวัดเพราะอะไร แค่ความสะใจของผู้ใหญ่ใจแคบครับ อย่าไปพูดถึงเลย ตั้งใจทำงานแนวรุกมาก ๆ ขึ้นไป ทำให้ดูดีกว่าอู้ให้ฟัง สุด ๆ ไปเลย
#17
โพสต์เมื่อ 09 August 2006 - 04:11 PM
คุณสาคร คงต้องทำหน้าที่กัลยาณมิตรโดยใช้ปัญญาอย่างเต็มกำลังนะครับ
#18
โพสต์เมื่อ 09 August 2006 - 04:49 PM
#19
โพสต์เมื่อ 09 August 2006 - 05:40 PM
ขออนุโมทนาบุญและขอขอบคุณ คุณเถลิงเกียรติ เป็นอย่างมาก ที่ให้ข้อความที่เป็นที่กระจ่างใจ แก่ใครๆอีกมากๆ ที่เริ่มกลับเข้ามาแต่ก็ยังไม่รู้ ไม่เข้าใจว่า ในวันที่ตนเองเดินออกไปจากหมู่คณะ พร้อมกับความเกลียดชังและรังเกียจหมู่คณะของตนเองนั้น
อะไรที่ทำให้เกิดอะไรๆขึ้นกับเขา จนต้องมานั่งเสียใจกับการกระทำของตนในวันนั้น
#20
โพสต์เมื่อ 09 August 2006 - 06:03 PM
#21
โพสต์เมื่อ 09 August 2006 - 06:11 PM
.....................
ครับผมก็เข้าไปทุกครั้งที่มีโอกาส ที่พันธ์ทิพย์
และไปใหนมาใหนผมก็ไม่อายที่จะบอกว่าผมคือกัลยาณมิตรวัดพระธรรมกาย
แม้ที่ทำงานผมจะเหน็บแนมว่าทำบุญหมดตัวหรือยังสาวกจานบิน
หลากหลายที่เขาจะสรรหาคำพูด
แต่พอเขาพูดมาทีไรผมเห็นแต่หน้าครูไม่ใหญ่แจ่มขึ้นทุกวัน
อาการจะโกรธเคือง ไม่มีครับ อาจจะมีในระยะ Initial
แต่พอเห็นครูไม่ใหญ่ อาการโกรธก็จะหายไป รอยยิ้มก็จะมาแทน ครับ
และคำสอนครูไม่ใหญก็จะมาแทนที่หน่วยความจำนั้นว่า
เราต้องปรับปรุงตัวเราเอง ถ้าเราไม่สามารถอธิบายให้เขาเข้าใจได้ อย่าไปโกรธเขา ประมาณนี้ครับ
ในฐานะที่ข้าพเจ้าเรียนมาทางวิทยาศาสตร์ วิศวกรรมศาสตร์ กระทู้ต่างๆ ที่ข้าพเจ้าแสดงความเห็นใน DMC.tv นี้
ถึงจะเป็นตะเกียงดวงน้อยด้อยแสง แต่ไฟแรงจุดติดดวงอื่นได้
ไม่เสียดายให้แสงสว่างกับผู้ใด ชักนำใจให้สว่างเพียงแต่ธรรม
#22
โพสต์เมื่อ 09 August 2006 - 06:52 PM
ยินดีต้อนรับกลับบ้านนะครับ
สาธุ
ปล. อย่าลืมโทรบอก คุณ อิ๋ว ด้วยนะครับ ที่คุณจะกลับมา คุณอิ๋วเธอคงจะดีใจ จนพูดไม่หยุดตามแบบฉบับของเธอล่ะครับ
#23
โพสต์เมื่อ 09 August 2006 - 10:25 PM
ปล. ข้อมูลของพี่เถลิงเกียรติ มีประโยชน์มากครับ
#24
โพสต์เมื่อ 09 August 2006 - 10:34 PM
ทำให้ผมคิดถึง ปรากฏการณ์ อัศจรรย์ตะวันแก้ว
โดยส่วนตัว ผมก็เคยเห็นปรากฏการณ์ อัศจรรย์ตะวันแก้ว มากกว่า 3 ครั้ง
รายละเอียดสิ่งที่ผมเห็นบนฟ้า ก็มีทั้งคล้ายและแตกต่างบ้างกับของเพื่อนสมาชิกในกระทู้ของ ครูอุ๋ย
http://www.dmc.tv/fo...?showtopic=5830
ผมมาได้คิด เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. 2542 ผมได้อ่าน GM magazine ฉบับที่ 222 เดือน มกราคม 2542
จึงได้ข้อคิดว่า
ทำไมปรากฏการณ์ อัศจรรย์ตะวันแก้ว
ที่ร่ำลือตามหน้าหนังสือพิมพ์เดือน กันยายน – ตุลาคม พ.ศ.2542
มาเกี่ยวพันกับกรณีศึกษาเรื่องศึกถล่มวัดพระธรรมกาย ได้ถูกช่วงเวลา
ขอคัดลอกบางส่วนเฉพาะที่เกี่ยวกับ ปรากฏการณ์ อัศจรรย์ตะวันแก้ว กับกรณีศึกษาเรื่องศึกถล่มวัดพระธรรมกาย
ใน diary ของผมมาขยายความ สักนิดนะครับ
diary : วันอังคารที่ 2 กุมภาพันธ์ ปีพุทธศักราชที่ 2542
.............................................
....... ( วันนี้ ) อ่าน GM 222 : GM Interview คุณ สนธิ สารธรรม มัคคุเทศก์นำกรุ๊ปทัวร์คริสต์ชน
ไปแสวงบุญที่ อิสราเอล ท่านนี้ใช้ภาษาได้ทั้ง อังกฤษ + ละติน + สเปน + อิตาลี
และเป็นผู้ที่ศึกษา ทั้ง Old Testament & New Testament
ท่านนี้เชื่อคำพยากรณ์ หลายทฤษฎีที่ปรากฏในคัมภร์ …
แต่ที่น่าสนใจมาก คือ เรื่อง Juddgment day น่าจะเกี่ยวข้องกับพระพุทธศาสนามากกว่านะ
( ได้คิดหลังพบประสบการณ์ ปรากฏการณ์ อัศจรรย์ตะวันแก้ว )
ท่านนี้อธิบายว่า
Juddgment day ( วันพิพากษา , วันล้างโลก ) ไม่ใช่วันสิ้นโลกหรือวันที่มนุษย์ตายหมดโลก ดังที่ใครๆเข้าใจ
แต่
Juddgment day เป็น วันสิ้นยุค
คือ สิ้นยุคของซาตาน
คือ วันนั้น พระเจ้าจะปรากฏบนฟ้า พร้อมหมู่เทพ และจะเปล่งแสงธรรมในจิตมนุษย์
เมื่อนั้น มนุษย์จะรู้ด้วยตัวเองว่า
พระเจ้าที่แท้จริง เป็นอย่างไร
พระเจ้าที่แท้จริงจะลงมาปราบซาตาน เก็บขังหมู่ซาตานไว้ 1,000 ปี
ในระยะเวลา 1,000 ปีนี้พระองค์จะทรงแพร่ธรรม ( Evagelization )
ยุคนั้นจะเป็นยุคแห่ง สันติสุขแท้จริง
*** พออ่านมาถึงตรงนี้ ผมรู้นึกถึง
- ปรากฏการณ์ อัศจรรย์ตะวันแก้ว การปรากฏกายทิพย์ บนฟ้าของ ผู้ค้นพบวิชชาธรรมกาย
( หลังปรากฏการณ์ อัศจรรย์ตะวันแก้ว จึงเกิด ปรากฏการณ์
กรณีศึกษาเรื่องศึกถล่มวัดพระธรรมกาย ดังที่ พี่เถลิงเกียรติ กรุณาเล่าให้ฟังบ้าง
- ตัวเลข 1,000 ปี โจทย์ของวิศวกรโครงสร้าง โครงการ มหาธรรมกายเจดีย์ +
- การเผยแผ่พระธรรม ของหมู่คณะ world wild ไปทั่วโลก เพราะเทคโนโลยีพัฒนาไปมาก
( ณ ตอนนั้น ยังไม่มี DMC , www.dmc.tv ; ect. )
……….
และผมจึงคิดเอง เออเองว่า
ถ้านักบวชในเทวนิยม ผู้เชื่อมั่นในคำพยากรณ์ ในคัมภีร์เก่า
ทราบข่าวเรื่อง มีเทพมาปรากฏบนฟ้า ณ อำเภอ คลองหลวง จังหวัด ปทุมธานี
ความศรัทธาดั้งเดิม ในจิตใจผู้เชื่อมั่นในคำพยากรณ์ ในคัมภีร์เก่า จะสั่นคลอน หวั่นไหวขนาดไหน
ขนาดทำให้แผ่นดินในทวีปตะวันตกหวั่นไหว
หรือ
ขนาดทำให้เกิด ปรากฏการณ์ พายุ สื่อสารมวลชน ที่ทวีปเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
เพื่อ ขุดรากแก้ว ฐานตั้งมั่นของ ศรัทธาใหม่ ตามที่ อาจารย์ ศจ.ดร. เจริญ วรรธณะสิน เคยตั้งข้อสังเกตไว้
ป.ล. แค่บังเอิญ คือ ผมอ่านความเห็นของพี่ เถลิงเกียรติ แล้วจึงนึกถึงบางเรื่องได้ จึงนำมาฝากไว้
แต่เนื่องจาก เนื้อหาไม่เกี่ยวโดยตรงกับ ชื่อกระทู้ ก็ขออภัยทาน คุณสาครและทุกท่านด้วยครับ
และถ้าผู้ดูแลระบบ จะลบก็ได้นะครับ
ด้วยความนับถือ
ไฟล์แนบ
#25
โพสต์เมื่อ 09 August 2006 - 11:00 PM
#26
โพสต์เมื่อ 09 August 2006 - 11:41 PM
เขา man ดี
ด้ายเส้นเดียว .........ไม่เป็นผืนผ้า
อิฐก้อนเดียว .... ไม่เป็นบ้านเรือน
ทำบุญคนเดียว ...ไม่เป็นกัลยาณมิตร
#27
โพสต์เมื่อ 10 August 2006 - 12:07 AM
เพื่อ ขุดรากแก้ว ฐานตั้งมั่นของ ศรัทธาใหม่ ตามที่ อาจารย์ ศจ.ดร. เจริญ วรรธณะสิน เคยตั้งข้อสังเกตไว้
...........................
ผมก็ขออนุญาติ ท่านผู้ดูแลระบบ นำบทความของอาจารย์ ศจ.ดร.เจริญ วรรธนสิน มาให้อ่านอีกครังนะครับ
ก่อน อื่นผมยังไม่เคยเล่าให้ พี่ๆ น้องๆ หรือใครๆฟังในนี้เลยเรื่องของผม เข้ามาวัดพระธรรมกายได้อย่างไร
เอาคร่าวๆ นะครับ
คือเมื่อประมาณปี 2542 ชีวิตผมตกอับมาก แต่ไม่ถึงย่ำแย่
มีวันหนึ่งผมเก็บกระดาษใบหนึ่งได้ พอพลิกขึ้นมาดู
ก็เป็นรูปพระองค์หนึ่ง ผมทราบแต่เพียงว่าเป็นหลวงปู่สด วัดปากน้ำ
ผมก็เอารูปท่านเหน็บไว้บนศรีษะที่ในรถ
เวลารถจอดติดไฟแดงหรือว่างๆ ก็หยิบมาดูรู้สึกแปลกๆมาก (ช่วงนั้น)
และช่วงนั้นวัดพระธรรมกายก็ถูกโจมตี ผมก็ฝันเห็นวัดพระธรรมกายหลายครั้ง
คนที่ทำงานก็ก่นด่าว่าวัด ต่างๆนาๆ ผมก็รู้สึกแย่ๆ กับคนพวกนั้น
ทั้งที่ผมไม่เคยไปวัดพระธรรมกายเลย
ช่วงนั้นวังวนผมสาละวนอยู่แต่กับการตีกอล์ฟ ...
หลังจากนั้นมาผมก็ถูกโดดเดี่ยว ผมก็วางแผนชีวิตว่าจะไปอยู่ที่อเมริกา
แต่ประมาณปี 2545..ผมก็มารู้จักกับคุณหมอท่านหนึ่งโดยบังเอิญ (แบบพูดให้ใครฟังก็ไม่มีใครเชื่อ)
คุณหมอท่านนั้นก็พาผมมาที่วัดพระธรรมกาย งานแรกคือเป็นประธานบูชามหาธรรมกายเจดีย์ ตอนเย็น ครับ
พอผมเข้ามาในวัด ด้านหน้ามหาธรรมกายเจดีย์ ผมตะลึงเลยครับ กับรูปหลวงปู่สด (ขออนุญาติไม่เล่าต่อครับ)
แล้วชีวิตผมก็ได้เริ่มต้น แสวงบุญ สร้างบารมีมาจนถึงทุกวันนี้ครับ แล้วชีวิตผมก็พลิกจากย่ำแย่ เป็นยอดเยี่ยมครับ
ได้รู้เป้าหมายของชีวิต มีแนวทางที่ชัดเจน ตามคำสอนของครูไม่ใหญ่ ครับ
จากนั้นมาปี 2548 ผมก็ได้บวชธรรมทายาทรุ่นเข้าพรรษารุ่น 18 ได้ไปวัดปากน้ำ
จนวันนี้ก็ครบ 1 ปี ผมไปวัดทีไรเห็นหลวงพี่ที่บวชพร้อมกัน น้ำตาจะไหล อยากจะไปบวชอีก..
แต่......
.............................................
ผมก็ขออนุญาติท่านผู้ดูแลระบบอีกครั้งนะครับ เพราะผมอ่านบทความนี้ทีไร
ศรัทธาผมที่มีต่อหลวงปู่เป็นที่เคารพ พอกพูนขึ้นมาก นั่งธรรมะก็ใจสบายครับ
ผมขออนุญาติ นำมาให้ พี่ๆ น้องๆเพื่อนๆ ในที่นี่อ่านอีกครั้งครับ (ผมเคยเอามาโพส หลายครั้งแล้วครับ)
ถ้าไม่เหมาะไม่ควรประการใด ก็ให้ท่านผู้ดูแลระบบพิจารณาตามสมควรนะครับ
.......................................................................................
ในโคลงบทที่ ซ. 10 ค. 75 และ ซ. 2 ค. 29
นอสตราดามุสได้ทิ้งเงื่อนงำของ "ศรัทธาใหม่" โดยพรรณาไว้ดังนี้
"
He will appear in Asia at home in Europe
One who is issued from great Hermes "
"ท่านจะปรากฏกายในเอเชีย ตั้งถิ่นฐานในยุโรป
ผู้ซึ่งเป็นผลมาจากองค์เทพผู้ยิ่งใหญ่ " (ซ. 10 ค. 75)
"The man from the East will come out of his seat,
Passing across the Apentines to see France,
He will fly through the sky, the rains and snows,
And strike everyone with the rod."
"บุรุษจากตะวันออกจะลุกออกจากที่ประทับ
เดินทางผ่าน(เทือกเขา) อาเพนไนส์เข้าสู่ฝรั่งเศส
เขาจะบินมาบนท้องฟ้า ฝ่าสายฝน และหิมะ
และตีกระทบด้วยไม้วิเศษ"
โคลงทั้งสองบทข้างต้น ชี้ชัดว่าผู้นำแห่งศรัทธาใหม่
จะต้องมาจากเอเชียแน่นอน แต่อาจจะต้องเดินทางไกลเพื่อเผยแผ่สัจจธรรมจนมีถิ่นฐานในยุโรป
และเป็นอัครสาวกขององค์เทพผู้ยิ่งใหญ่ คำว่า "Hermes"
เดิมเป็นชื่อเทพเจ้าของชาวกรีกโบราณ จะเป็นไปได้หรือไม่ว่า
ผู้นำของ "ศรัทธาใหม่" จะเป็น สาวกของพระพุทธเจ้า
ในโคลงบทที่ ซ. 3 ค. 31 นอสตราดามุสบันทึกคำทำนายไว้ดังนี้
"The moon in the middle of the night
The young sage alone with his mind has seen it.
His disciples invite him to become immortal
His body in the fire "
"ดวงจันทร์ลอยเด่นยามราตรี
หนุ่มคงแก่เรียนผู้สันโดษมองเห็นภาพในดวงจิต
เหล่าสาวกจะอัญเชิญท่านไปสู่ความเป็นอมตะ
ร่างของท่านอยู่ในเพลิง"
นอสตราดามุสระบุถึงพระจันทร์ในคืนวันเพ็ญ มี
"หนุ่มคงแก่เรียน" "เห็นภาพในดวงจิต" "ไปสู่ความเป็นอมตะ" และ
"ร่างของท่านอยู่ในเพลิง" ผู้นำของศรัทธาใหม่น่าจะเป็นพระสงฆ์ "เห็นภาพในดวงจิต"
น่าจะหมายถึง การเห็นภาพในสมาธิ เพราะมีโคลงบทอื่นๆ ที่ระบุว่า
"เห็นสัจจธรรมด้วยดวงตาที่ปิด" หรือ "เปล่งวาจาด้วยปากที่ปิดแน่น"
หรือ "การมองเห็นภาพลักษณ์ในความสงบของผืนทะเลสาบ" เป็นต้น
"ศรัทธาใหม่" ของสังคมโลก ท่านได้พาดพิงไปถึง "พระจันทร์" หรือ "ดวงจันทร์"
หรือแม้แต่ "แสงจันทร์" คลายครั้งหลายคราระบุแม้กระทั่งว่า ผู้นำของ "ศรัทธาใหม่"
ของโลกนี้ จะมีชื่อเกี่ยวกับ "พระจันทร์" หรือ The Moon
เห็นได้จากโคลงทำนาย ซ. 2 ค. 28 ข้างล่างนี้
หลวงพ่อวัดปากน้ำฯในวัยหนุ่ม
"Second to the last of the prophet's name,
Will take Diana's day(The moon's day) as his day of silent rest
He will travel far and wide in his drive to infuriate,
delivering a great people from subjection."
"พยางค์ที่สองของนามศาสดาพยากรณ์
จะใช้วันแห่งพระจันทร์เป็นวันสำหรับพักในความเงียบ
เขาจะเดินทางกว้างและไกล ส่งแรงขับทำให้ผู้คนสะดุดใจ
และนำพามหาชนให้หลุดพ้นจากความเป็นข้า(ของบ่วงกรรม?)" ซ. 2 ค. 28
ประโยคที่บอกว่า "พักในความเงียบ" และ "วันแห่งพระจันทร์"
ถ้ามาเชื่อมกับโคลงที่พรรณาว่า "หนุ่มคงแก่เรียนผู้สันโดษเห็นภาพในดวงจิต"
จะเป็นไปได้มากทีเดียวว่า นอสตราดามุสมองเห็นภาพการนั่งวิปัสสนากรรมฐาน
ในวันพระจันทร์เต็มดวง เพราะมีอีกโคลงที่พรรณาว่า
"They see the truth with eye closed,
Speak the fact with closed mount
Then at the time of need the awaited one will come late "
"พวกเขาเห็นสัจจธรรมด้วยดวงตาที่ปิด
เปล่งสัจจวาจาด้วยปากที่ปิดแน่น
บุคคลอันเป็นที่พึ่งยามต้องการจะมาถึงช้า " (ซ. 5 ค. 96)
โคลงทำนายบทนี้ยิ่งชี้ได้ชัดเจนยิ่งขึ้นว่า
ศรัทธาใหม่ของโลกมนุษญ์จะสัมพันธ์กับการนั่งสมาธิวิปัสสนากรรมฐานอย่างแน่นอน
การมองเห็นสัจจธรรมด้วยดวงตาที่ปิด และเปล่งสัจจวาจาด้วยวาจาที่ปิดแน่น
จะเป็นสิ่งอื่นไปไม่ได้ นอกจากการนั่งสมาธิจนถึง ธรรมะ ภายใน มองเห็นดวงธรรม
เห็นกายในกาย เห็น ธรรมกาย
ยังมีโคลงทำนายที่น่าจะตีความได้ว่าเป็นการบ่งบอกถึงการนั่งวิปัสสนากรรมฐานกับความหมายที่เกี่ยวกับ
"พระจันทร์" อีกโคลงคือ
"the great amount of silver of Diana (Moon) and Mercury (Hermes)
The images will be seen in the lake (the mind of meditation)
the sculptor looking for new clay,
He and his followers will be soaked in Gold."
"รัศมีสีเงินของแสงจันทร์กับบารมีแห่งองค์เทพแผ่กระจายกว้าง
ภาพลักษณ์ที่ปรากฏในความสงบของผืนทะเลสาบ
ประติมากรเสาะหาดินปั้นใหม่
ร่างของท่านกับผู้ติดตาม (สาวก) จะถูกฉาบ (หล่อ) ด้วยทองคำ" (ซ. 9 ค. 12)
คำว่า Diana ในภาษาฝรั่งเศสหมายถึงพระจันทร์
การออกเสียงแบบฝรั่งเศสยังตรงกับคำว่า Dhyana หรือ ฌาณ
อันหมายถึงการนั่งวิปัสสนา ประโยคที่ว่า "ภาพลักษณ์ที่ปรากฏในความสงบของผืนทะเลสาบ"
หมายถึงการเข้าฌาณจากการนั่งวิปัสสนาอย่างชัดเจน
ประโยคใน ซ. 9 ค. 12 ที่บอกว่า "ประติมากรเสาะหาดินปั้นใหม่"
น่าจะตีความได้ว่า สาวกของผู้นำศรัทธาใหม่นี้ จะต้องพยายามค้นหาสูตรหรือ
มรรควิธีที่จะนำพาผู้ติดตามไปสู่แนวทางแห่งแสงสว่างแห่งสัจธรรม
เป็นทางออกใหม่ หรือ ทางเลือกใหม่ หรือที่พึ่งใหม่ทางจิตวิญญาณที่หิวกระหายสัจธรรมของมนุษย์
สำหรับในประเทศไทย ที่วัดพระธรรมกาย จังหวัดปทุมธานี
จะมีมหาชนหลั่งไหลมาจากทุกทิศของประเทศ รวมทั้งชาวต่างประเทศ
มาปฏิบัติธรรมนั่งสมาธิวิปัสสนากรรมฐาน โดยการปฏิบัติของที่นี่ใช้
"วิชชาธรรมกาย" ของพระมงคลเทพมุนี (สด จันทสโร) หรือที่รู้จักกันในนาม
"หลวงพ่อวัดปากน้ำฯ" เป็นฐานของคำสอน
ในขณะที่ศึกษาต้นกำเนิดของวัดพระธรรมกาย ก็ได้พบปรากฏการณ์
ที่น่าตื่นเต้นแห่งศรรตวรรษโดยบังเอิญ เพราะหลวงพ่อวัดปากน้ำ
มีฉายาทางพระว่า "สด จนฺทสโร" ชื่อในพยางค์ที่สองของท่าน
มีความหมายตรงกับคำว่า "พระจันทร์" พ้องกับคำทำนายของนอสตราดามุสอย่างชัดเจน
จากจุดเริ่มต้นนี้เอง ความลี้ลับของโคลงทำนายของนอสตราดามุส จึงได้ถูกไขออกเป็นข้อๆ
จากการศึกษาชีวประวัติของหลวงพ่อวัดปากน้ำ "สด จันทสโร"
พบว่า ตลอดชีวิตท่าน เป็นพระที่เคร่งครัดต่อพระธรรมวินัยและธรรมปฏิบัติ
จนค้นพบมรรควิธีเจริญทางธรรมะบรรลุถึง "วิชชาธรรมกาย"
ที่สูญหายไปจากโลกนี้แล้วกว่าสองพันปี เผยแผ่พระธรรมคำสอนจนกระทั่งมรณะภาพ
ในปี พ.ศ. 2502 คงเหลือไว้แต่วิชชาธรรมกายไว้เป็นมรดกของโลก
เมื่อเห็นวันเพ็ญขึ้น 15 ค่ำ เดือน 10 ปี พ. ศ. 2460 เป็นวันที่หลวงปู่สด จนฺทสโร
บรรลุถึง "วิชชาธรรมกาย" ทำให้โคลงทำนายของนอสตราดามุสทุกบทที่พรรณนาถึง
"ศรัทธาใหม่" ของโลกเด่นชัดขึ้นมาฉับพลัน เข้าใจถึงเหตุผลทำไมนอสตราดามุสถึงได้พร่ำเอ่ยถึง
"พระจันทร์" กับ "ดวงจันทร์" มากมายผิดปกติ
พระมงคลเทพมุนี ได้เคยเทศนาส่วนที่เกี่ยวกับ "วิชชาธรรมกาย"
ไว้ว่า "ธรรมจะต้องชนะอธรรมเสมอ เราไม่เดือดร้อนใจ
เพราะธรรมกายของพระพุทธศาสนาเป็นของแท้ ไม่ใช่ของเก๊ หรือของเทียม
ธรรมกายจะปรากฏเป็นจริงแก่ผู้เข้าถึง"
โดยการตั้งข้อสันนิฐานจากตัวท่านเป็นแกนนำไปสู่ข้อพิสูจน์อื่นๆ
แยกเป็นประเด็นๆ เพื่อความเข้าใจที่ชัดเจนดังนี้
การค้นพบวิชชาธรรมกาย คือ การค้นพบศรัทธาใหม่ของโลกจากเอเชียหรือ
The New Faith
พระมงคลเทพมุนี คือสาวกแห่งศาสดาผู้ยิ่งใหญ่ในเอเชีย
(Issued from the great Hermes)
หนุ่มคงแก่เรียนผู้สันโดษเห็นภาพในดวงจิต
(The young sage alone with his mind has seen it.)
ด้วยวัยเพียง 32 ปีของภิกษุสด จนฺทสโร เป็นผู้ค้นพบวิชชาธรรมกาย
กายที่ห่มด้วยจีวรสีเพลิง (His body in the fire)
ร่างของท่านอยู่ในเพลิง มือที่ถือไม้ชี้
(He strikes everyone with the rod)
ตีทุกคนด้วยแขนงไม้ วันที่เข้าถึง "ธรรมกาย"
คือวันขึ้น 15 ค่ำ พระจันทร์เต็มดวง ตรงกับ
"พระจันทร์ลอยเด่นยามราตรี" ท่านนั่งวิปัสสนากรรมฐาน "จนสามารถเห็นภาพในดวงจิต"
"ภาพลักษณ์ปรากฏในความสงบของผืนทะเลสาบ"
เห็นธรรมกายจาก "การเห็นสัจธรรมด้วยดวงตาที่ปิด"
และเปล่งสัจวาจาด้วยปากที่ปิดแน่น" และ
"ประติมากรเสาะหาดินปั้นใหม่" คือวิธีการพบสัจธรรมวิธีใหม่
พยางค์ที่สองของนามศาสดาพยากรณ์ที่มีความหมายตรงกับพระจันทร์
ตรงกับชื่อพยางค์ที่สองของหลวงปู่พระมงคลเทพมุนี คือ สด จนฺทสโร
"เหล่าสาวกจะอัญเชิญท่านไปสู่ความเป็นอมตะ ร่างของท่านอยู่ในเพลิง"
(ความเห็นของผมเอง เข้าใจว่า ร่างของหลวงพ่อวัดปากน้ำ เหล่าสานุศิษย์ ที่ยังไม่ได้เผา
(ยังเก็บรักษาไว้ที่วัดปากน้ำ)
จึงอาจตีความได้ว่า ร่างท่านยังเป็นอมตะอยู่ในจีวรสีเพลิง
"ร่างของท่านกับผู้ติดตาม(สาวก)จะถูกฉาบหรือหล่อด้วยทองคำ"
วัดพระธรรมกายได้มีการหล่อรูปเหมือนหลวงพ่อวัดปากน้ำเป็นทองคำ
ตามด้วยหล่อรูปเหมือนอุบาสิกาจันทร์ ขนนกยูง (ลูกศิษย์ หรือ ผู้ติดตาม) เป็นทองคำเช่นเดียวกัน
.......................................................................................................
จากหนังสือ "นอสตราดามุส" โดยศาสตราจารย์เจริญ วรรธนะสิน พิมพ์ครั้งที่ 8 สำนักพิมพ์ คู่แข่ง
.......................................................................................................
ในฐานะที่ข้าพเจ้าเรียนมาทางวิทยาศาสตร์ วิศวกรรมศาสตร์ กระทู้ต่างๆ ที่ข้าพเจ้าแสดงความเห็นใน DMC.tv นี้
ถึงจะเป็นตะเกียงดวงน้อยด้อยแสง แต่ไฟแรงจุดติดดวงอื่นได้
ไม่เสียดายให้แสงสว่างกับผู้ใด ชักนำใจให้สว่างเพียงแต่ธรรม
#28
โพสต์เมื่อ 10 August 2006 - 12:32 AM
#29
โพสต์เมื่อ 10 August 2006 - 08:49 AM
ขอขอบคุณ คุณเถลิงเกียรติที่มีความรู้ รายละเอียดมาให้อ่านเพียบเลยค่ะ
อนุโมทนาบุญกับทั้งสองท่านนะคะ สาธุ สาธุ สาธุ
#30
โพสต์เมื่อ 10 August 2006 - 08:54 AM