เขาว่าผมว่าทำบุญแบบ "เพี้ยนๆ"
#1
โพสต์เมื่อ 02 October 2006 - 07:47 AM
1.ก็คงต้องขายที่ หรือปล่อยให้ถูกยึด หากธนาคารทวงมา
2.ไม่มีที่อยู่ ไม่มีอาชีพที่จะหาเงินมาใช้หนี้
3.คงจะนั่ง(สมาธิ)คอยวาสนา คอยให้บุญช่วยจริงๆ
4.มีแม่ กับผมเท่านั้นที่เต็มใจทำ ส่วน แฟน ผม, พ่อ , พี่ชายและญาติพี่น้อง อาจจะไม่เห็นด้วยอย่างรุนแรง(รุมประนาม)
5.ทรัพย์ที่จะขอวงเงิน od ธนาคารครั้งนี้เป็นของแม่ผู้เดียว
ถึงแม้ผมจะดูบ้าบิ่น แต่ผมและแม่ ลุ้นการอนุมัติวงเงิน ครั้งนี้มาก เพื่อจะเอามาถวายหลวงพ่อ เพื่อบำรุงพระพุทธศาสนาตามความประสงค์ของหลวงพ่อธัมมชโย ให้หมดตัวจริงๆ
จึงอยากถามเพื่อนๆชาวDMC ว่า
1. ผมรู้ว่าไม่ถูกหลักวิชชาแน่นอน แต่ถ้าไม่ทำคราวนี้ และรอให้ถูกหลักวิชชา คงไม่มี เพราะไม่รู้ว่าในชีวิตจะได้สร้างมหาทานบารมีหรือไม่ อาจตายก่อน
2. ต้องทนถูก คนอื่นและญาติพี่น้องทั้งตระกูลต่อว่า เพี้ยน เพราะ ทำบุญจนหมดตัวจริงๆ คงเหลือติดตัวไม่ถึง 1 หมื่นบาท ที่จะเอาไว้ซื้ออาหาร ประทังชีวิต ในครอบครัวไม่ถึง 2 เดือน และคงไม่กล้าไปขอยืมใครมากิน (อาจจะมาขอข้าววัดกิน)
ผมตัดสินใจเกินล้าน%แล้วว่าถ้าธนาคารอนุมัติเงินมา ผมก็จะทำทันที โดยไม่สนใจเสียงใคร ที่ไม่เห็นด้วย
เพื่อนๆ ชาว DMC ว่าอย่างไรกันครับ
#2
โพสต์เมื่อ 02 October 2006 - 08:08 AM
โดนส่วนตัวแล้ว อยากให้คุณ เด็กใจใส ค่อยๆคิดนะคะ การทำบุญใหญ่นี่ ก็ดีค่ะ แต่ถ้าทำแล้ว มีคนเดือดร้อน ลองคิดเล่นๆ ดูนะคะ ว่า บ้านโดนยึดแน่ ไม่มีที่อยู่อาศัย เงินเหลือแค่ 1 หมื่น แล้วถ้าเกิดเจ็บไข้ได้ป่วยล่ะคะ คุณแม่ด้วย จะอยู่กันอย่างไร นอกเหนือจากนั้น เค้าก็อาจจะว่าหลวงพ่อ ว่าวัดอีก ตัวเค้าเอง ซึ่งก็ไม่ใช่ใครที่ไหน คุณพ่อของคุณ พี่น้องของคุณ ก็จะมีวิบากกรรม ถ้าคุณทำแล้วไม่เหลือเงินเอาไว้เพื่อรักษากายเนื้อไว้เพื่อสร้างบารมี แล้วจะมีประโยชน์อะไรเล่าคะ
ถ้าคุณจะกู้หนี้เพื่อการนี้ และตั้งใจจะทิ้งทุกอย่าง ไม่ต้องกู้ แล้วเอาตัวเองถวายไม่ดีหรือคะ ถวายทั้งชีวิตและจิตใจ น่าจะเป็นกุศลอันยิ่งใหญ่นะคะ
แด่
เธอ...ผู้นำแสงสว่างสู่...กลางใจ
#3
โพสต์เมื่อ 02 October 2006 - 08:16 AM
แต่ก็ขออนุโมทนากับท่านด้วยครับ
ไฟล์แนบ
และท่านก็ตรัสสรุป
ว่าทางเดียวที่จะรู้ตามท่าน
ตลอดจนหยุดตามท่าน
คือการมองเข้าข้างใน
และการหยั่งรู้สรรพสิ่งออกมาจากภายใน
คือสัญลักษณ์สำคัญของพุทธแท้
พุทธแท้จะรู้ว่าการพยายามมองออกข้างนอก
เป็นวิธีที่ไม่ทำให้รู้จักประโยชน์สูงสุด
อันพึงมีพึงได้จากความเป็นมนุษย์
#4
โพสต์เมื่อ 02 October 2006 - 08:22 AM
#5
โพสต์เมื่อ 02 October 2006 - 08:40 AM
1. ผมรู้ว่าไม่ถูกหลักวิชชาแน่นอน แต่ถ้าไม่ทำคราวนี้ และรอให้ถูกหลักวิชชา คงไม่มี เพราะไม่รู้ว่าในชีวิตจะได้สร้างมหาทานบารมีหรือไม่ อาจตายก่อน
มหาทานบารมีตามหลักวิชายังทำทางอื่นได้อีก อาทิ การให้วิทยาทาน ธรรมทาน ทานอุปบารมีอย่างบริจาคโลหิต หรือทานปรมัตถ์บารมีคืออุทิศชีวิตเข้าสู่เพศสมณะ ฯลฯ
โดยพื้นฐาน หากเรามีทรัพย์น้อยเราอาจเลือกทางอื่นได้ เช่น สละเวลา อุทิศแรงกายและใจ ฝึกเป็นคนใจใหญ่ หากมีทรัพย์เราควรถวายทานตามกำลังศรัทธาด้วยจิตอนุเคราะห์ ทำเต็มกำลัง ไม่ควรทำเกินกำลัง หลวงพ่อทัตตะเคยสอนไว้ว่า"ทำดี ต้อง ถูกดี ถึงดี และพอดี"คือทำไม่ขาดไม่เกินดี หลังทำแล้วไม่กังวลมีความสุขกาย สุขใจเมื่อตรึกนึกถึงบุญนี้ตลอดเวลา
ถ้าทรัพย์น้อยแต่ใจใหญ่ คงต้องขวนขวายหาทรัพย์ร่วมกับทำหน้าที่เป็นกัลยาณมิตรบอกบุญ แล้วเราจะบรรลุผลมหาทานบารมี คือ มีท้งทรัพย์และบริวาร
ยิ่งเราเพียรภาวนา สามารถรู้แจ้งถึงที่มาของเหตุ-อุปสรรค เราจะสามารถใช้ภาวนามยปัญญาที่ได้มาแก้ไขให้ถูกหลักวิชา
ผมตัดสินใจเกินล้าน%แล้วว่าถ้าธนาคารอนุมัติเงินมา ผมก็จะทำทันที โดยไม่สนใจเสียงใคร ที่ไม่เห็นด้วย
เพื่อนๆ ชาว DMC ว่าอย่างไรกันครับ
โดยความเห็น บุญนี้อาจมีภาวะแทรกซ้อนตามมา คือผลเสียอาจมากกว่าความคุ้มค่าในชาตินี้
- ผลดี เป็นทานที่ทำโดยความมุ่งมั่นเด็ดเดี่ยว อาจให้ผลทันตาเห็นแต่ก็อาจต้องนำทรัพย์ไปปลดหนี้ เป็นวังวน
- ผลเสีย อาจกระทบกับครอบครัวและสังคม อาจเกิดความเดือดร้อนในภายหลัง โดยเฉพาะครอบครัวที่ทิฐิไม่เสมอกัน อาจเป็นชนวนให้เกิดความเข้าใจผิดว่า"วัดทำให้ครอบครัวเดือดร้อน แล้วพาลไปว่าพระเป็นต้นเหตุ"ลุกลามเป็นกระแสโจมตีวัดที่ใหญ่โต
#6
โพสต์เมื่อ 02 October 2006 - 08:52 AM
อืม ผมลืมบอกไปครับ หลวงพ่อทัตตะท่านว่า หากเป็นหนี้เขาแล้วไม่ใช้ จะมีวิบากกรรมต้องไปใช้หนี้เขาชาติล่ะสตางค์มันไม่คุ้มกันนะครับ
ที่ว่าชาติล่ะสตางค์หมายถึงเงินที่ยืมมาในชาตินี้1สตางค์เท่ากับ1ชาติที่เราจะต้องไปชดใช้เขานะครับถ้าคุณเจ้าของกระทู้ไปกู้เขามา1M 100สตางค์เท่ากับ1บาท ก็ต้องเอา100ไปคูณ1M ต้องใช้เขา100Mชาติ - -ล เป็นผมๆไม่ขอกู้เขาดีกว่า แทนที่ชาติต่อไปเราจะรวยกลายเป็นต้องไปทำงานใช้หนี้เขาเป็น100Mชาติ ไม่คุ้มกันเลยอ่ะ
2) พระศรัทธาธิกพุทธเจ้า สร้างบารมีรวม 40 อสงไขย กับอีก แสนมหากัป (รวมระยะเวลาสร้างบารมีหลังรับพุทธพยากรณ์ คือ 8 อสงไขย กับ แสนมหากัป) (อย่างน้อย)
3) พระวิริยาธิกพุทธเจ้า สร้างบารมีรวม 80 อสงไขย กับอีก แสนมหากัป (รวมระยะเวลาสร้างบารมีหลังรับพุทธพยากรณ์ คือ 16 อสงไขย กับ แสนมหากัป) เช่น พระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์ต่อไป คือ พระศรีอาริยเมตไตรยสัมมาสัมพุทธเจ้า (เป้าหมาย
#7
โพสต์เมื่อ 02 October 2006 - 09:07 AM
ชวนมาก็ได้ทรัพย์มาร่วมบุญมาก
แถมเป็นทรัพย์เย็นๆ ไม่เดือดร้อนตนเองและคนในบ้านค่ะ
#8
โพสต์เมื่อ 02 October 2006 - 09:22 AM
แล้วอย่านั่งรอบุญพาวาสนาส่ง เราไม่ใช่ผู้ทรงญาณ ไม่ทราบได้ว่า บุญจะมาเมื่อใด บาปจะส่งผลเมื่อใด ดังนั้นทำใจหยุดใจนิ่ง เร่งสร้าง ทาน ศีล ภาวนา ให้ยิ่งยวด อย่างมีสติ ไม่ใช่ขาดสติใคร่ครวญ
ขอตินิดๆ ที่บอกว่า (อาจจะมาขอข้าววัดกิน) นั้น ทำบุญหมดตัวแล้วหวังจะมาขอแบ่งส่วนแห่งบุญในภพชาติปัจจุบันเลยเหรอ
ลองกลับไปนั่งหยุดแล้วคิดดีๆๆ ว่าอะไรควรทำก่อน
ขอย้ำ ทาน ศีล ภาวนา ต้องไปด้วยกันทั้ง 3 หากขาดอย่างใดอย่างหนึ่ง มันก็จะพร่องเหมือนคนรวยไร้ปัญญา เหมือนคนบ้ามีเงินล้าน
ภพชาตินี้ลำบากมามากแล้วอย่าให้ภพชาติต่อไปได้มาลำบากอย่างนี้อีก ให้รวยบุญ รวยสติ รวยคุณธรรมนะ
ขอให้เจริญในธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสาธุ
#9
โพสต์เมื่อ 02 October 2006 - 10:24 AM
เดือดร้อนเรา เดือนร้อนเขา ไม่ควรทำ
เดือดร้อนเรา สบายเขา ไม่ควรทำ
เดือดร้อนเขา สบายเรา ไม่ควรทำ
สบายเรา สบายเขา ควรทำ
อ้ายที่อยากมันก็หลอก อ้ายที่หยอกมันก็ลวง ทำให้จิตเป็นห่วงเป็นใย.."
พระมงคลเทพมุนี (สด จันทสโร)
#10
โพสต์เมื่อ 02 October 2006 - 11:04 AM
จขกท. จะกู้เงินมาทำบุญเหรอคะ อืมมมม ถ้าในกรณีที่สามารถใช้คืนได้ ก็ว่าไปอย่าง แต่นี่ดูแล้ว ไม่เห็นหนทางหาเงินไปคืนแบงค์ได้เลย
-ทรัพย์ที่จะขอ od ธนาคารให้กู้เพียง 70 % ของราคาประเมินครับ ถ้าเขายึดแล้วนำขายทอดตลาด น่าจะหมดหนี้นะครับ ถ้าโชคดีคงมีเงินคืน เช่น
ราคาประเมิน 10 ล้าน ธนาคารจะให้เงินแค่ 7 ล้านครับ ถ้าถูกยึด แล้วนำไปขายทอดตลาด ถ้ามีคนมาซื้อ 9ล้าน หักดอกเบี้ย ค่าปรับ ค่าทนาย ค่าฟ้องจากธนาคารแล้ว น่าจะเหลือเงินนะครับ จากการคำนวนของผม แต่ผมก็ต้อง ติด black list ไปกู้เงินอีกไม่ได้แล้ว (และผมก็ไม่มีทรัพย์ไปขอกู้อีกด้วยครับ) และทำให้ผมไม่มีหนี้กับใครอีกต่อไปครับ
-ครอบครัวบ้านแตกไปแล้วครับ เป็นเพราะธุรกิจครับ ส่วนเรื่องทำบุญใหญ่ไม่มีใคร รู้นอกจาก แม่และผม
หากเอาเงินที่กู้มา มารักษาธุรกิจให้อยู่ต่อ ก็จะเป็นเหมือนเดิมครับ คืออยู่ได้ประมาณ 1-2 ปี หรืออาจน้อยกว่านั้น และเหลือเงินทำบุญไม่เกินเดือนละ 1 หมื่นบาท เหมือนปัจจุบันนี้
-ครอบครัวของผม เป็นครอบครัว 1 สมอง 2 มือ ครับ ไม่สนใจเรื่อง สมาธิครับ รักษาศีลและให้ทาน ก็ตามอารมณ์ครับ ตอนนี้มีแต่แม่เท่านั้นที่เริ่มเห็นความสำคัญเรื่องบุญ และสมาธิมากครับ จึงยอมอนุมัติแผนการทำบุญใหญ่ของผม แม่ผมแก่แล้วครับ ท่านดู dmc แล้วท่านกลัวตายแล้ว หากท่านไม่ตกนรกและได้ไปเกิดบนสวรรค์จริงๆ แล้ว สมบัติ จะน้อยกว่าคนอื่น เหมือนหลวงพ่อเคยบอกครับ
-จริงๆแล้วมีที่ดิน อีก 2 ผืนอยู่ต่างจังหวัด ก็กำลังบอกขายอยู่ครับ ถ้าขายได้ก็ อาจจะเอามาทำบุญให้หมดครับ ท่านอยากช่วยงานของหลวงพ่อให้เสร็จเร็วๆครับ เพราะแม่แก่แล้วครับ ท่านบอกไม่อยากได้บุญ แบบอนุโมทนา และกลัวผมลืมทำบุญไปให้ท่าน ตอนท่านตายแล้ว
-ผมคิดวางแผนมาเกือบ 1 ปีแล้วครับ ตอนแรกกะว่า จะทำแค่ s ครับ แต่นั่งสมาธิ มากเข้าๆ ใจมันบอกให้หมดตัวครับ ไม่รู้เป็นเพราะอะไรครับ
-ผมได้บอกเรื่องแผนการทำบุญใหญ่นี้ ส่วนใหญ่ไม่มีใครเห็นด้วยเลยครับ แต่ใจมันอยากทำมากๆ
ขอตินิดๆ ที่บอกว่า (อาจจะมาขอข้าววัดกิน) นั้น ทำบุญหมดตัวแล้วหวังจะมาขอแบ่งส่วนแห่งบุญในภพชาติปัจจุบันเลยเหรอ
-ตั้งใจจะไปเช่าขับแท็กซี่ครับ ถ้าเหลือจากค่าเช่าก็คงมาทำบุญต่อครับ ก็ตั้งใจ ว่าจะมาทำบุญวันละ 100บาทขึ้นไป พร้อม พวงมาลัย ถวาย มหาธรรมกายเจดีย์ หลวงปู่และคุณยายทุกวันครับ
และว่างๆจะมาเป็น อาสาสมัครช่วยงานวัดครับ อย่างงี้ มาขอข้าววัดกิน คงไม่น่าเกลียดนะครับ (ข้าววัดอร่อยมาก ติดใจทุกครั้งที่กินนะครับ)
ใชวิธีชวนคนอื่นมาร่วมบุญกับเราก็ได้นะค่ะ
ชวนมาก็ได้ทรัพย์มาร่วมบุญมาก
แถมเป็นทรัพย์เย็นๆ ไม่เดือดร้อนตนเองและคนในบ้านค่ะ
-ตอนขับแท็กซี่จะลองทำดูครับ เพราะคงไม่เงินล้านไปทำอีกแล้วครับ
#11
โพสต์เมื่อ 02 October 2006 - 11:16 AM
ลองไปเข้าโรงเรียนอนุบาลวันไหนก็ได้นะครับ แล้วอยู่จนจบนั่งสมาธิ แล้วก็ไปกราบขอคำแนะนำจากท่านสิครับ ปกติท่านจะคุยกับสาธุชนหลังนำนั่งสมาธิเสร็จ แต่อาจจะดึกนิดนึงน่ะครับ ลองเล่าเหตุการณ์และความคิดที่จะทำให้บุญแบบนี้ให้ท่านฟัง ท่านน่าจะให้คำแนะนำที่ดีๆ ได้นะครับ
มหาวิหาร จรัสฟ้า ค่ายิ่งใหญ่
รูปทอง ผ่องผุด ดุจยองใย
สะท้อนถึง ห้วงดวงใจ สุดบูชา
*********************
ยอดเยี่ยม "ธรรมกาย" ผล ..... ผ่องแผ้ว
เลอเลิศล่วงกุศล ..... ใดอื่น
เชิญท่านถือเอาแก้ว ..... ก่องหล้าเรืองสกล
พระมงคลเทพมุนี (สด จนฺทสโร) ผู้ค้นพบวิชชาธรรมกาย
#12
โพสต์เมื่อ 02 October 2006 - 11:28 AM
#13
โพสต์เมื่อ 02 October 2006 - 12:11 PM
#14
โพสต์เมื่อ 02 October 2006 - 12:41 PM
และเห็นด้วยกับทุกคำแนะนำของเพื่อนทุกท่านที่ห่วงใย คุณเด็กใจใส
ขอเสนอให้คุณ เด็กใจใส ทบทวนเรื่องทางมาแห่งบุญ ,วัตถุประสงค์ของการบำเพ็ญทานและ
ศึกษาผลกระทบโดยรวมให้รอบด้านด้วยนะครับ
ก ) ทางมาแห่งบุญ โดยย่อ คือ ละการทำอกุศล สร้างกุศล กลั่นใจให้ใส ทางกาย วาจา ใจ
เช่น
- เว้นจากอกุศลกรรมบถ 10
- บำเพ็ญกุศลกรรมบถ 10
- บำเพ็ญบารมี 10 ทัส
- บุญกิริยาวัตถุ 10
ข ) วัตถุประสงค์ของการบำเพ็ญทาน ของแต่ละบุคคล ์มีหลายอย่างนะครับ เช่น
1 ) บำเพ็ญทาน เพื่อมุ่งกำจัดความตระหนี่ ความโลภ อาสวะกิเลส ในใจต้องตนเอง เป็นอันดับ 1
( เป็นหลัก ส่วนอย่างอื่นใจตนให้ความสำคัญเป็นเรื่องรองลงมา )
2 ) บำเพ็ญทาน เพื่อมุ่งบูชาธรรมพระรัตนตรัย เป็นอันดับ 1
3 ) บำเพ็ญทาน เพื่อมุ่งบูชาธรรมครูบาอาจารย์ทางธรรม ในวาระโอกาสสำคัญ เป็นอันดับ 1
4) บำเพ็ญทาน เพื่อมุ่งบูชาพระคุณหรืออุทิศกุศล ให้มารดา บิดา หรือผู้มีพระคุณต่อตน เป็นอันดับ 1
5) บำเพ็ญทาน เพื่อมุ่ง บูชาพระคุณหรืออุทิศ ให้ผู้มีพระคุณต่อชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ เป็นอันดับ 1
6 ) บำเพ็ญทาน เพื่อมุ่งอนุเคราะห์ หรือสงเคราะห์ เพื่อนมนุษย์และสรรพสัตว์ เป็นอันดับ 1
7 ) บำเพ็ญทาน เพื่อมุ่งโลกียสมบัติ เช่น มนุษย์สมบัติ หรือ ทิพยสมบัติ เป็นอันดับ 1
8 ) บำเพ็ญทาน เพื่อมุ่งโลกุตตรสมบัติ และมรรคผล นิพพาน ( นิพพานะ ปัจจโย โหตุ ) เป็นอันดับ 1
9 ) บำเพ็ญทาน ด้วยใจคิดว่า การบำเพ็ญทาน เป็นสิ่งที่ดี ประเสริฐ สมควรทำแล้วก็ทำ เป็นอันดับ 1
10 ) บำเพ็ญทาน ด้วยใจคิดว่า ทำให้ตนได้รับสรรเสริญ หรือ อยากดัง ฯลฯ เป็นอันดับ 1 ก็มี
ค ) การบำเพ็ญทานของแต่ละบุคคล ในแต่ละสถานการณ์ มีหลายอย่างนะครับ เช่น
1 ) ในสถานการณ์ปกติ เช่น
- ส่วนรวม เหตุการณ์บ้านเมือง ( อาณาจักร)และ ศาสนจักร สงบเรียบร้อย
- ส่วนตัว มีศรัทธาบำเพ็ญทาน ( เจตนา ) +
มีทรัพย์ ไทยธรรม อามิสทาน ( วัตถุทาน ) +
มีผู้รับทาน เช่น สัตว์ มนุษย์ทุศีล มีศีล มีธรรม บรรลุธรรมในระดับต่างๆ ( ผู้รับ )
2 ) ในสถานการณ์ไม่ปกติ เช่น
- ส่วนรวม
อาณาจักรไม่สงบเรียบร้อย เช่น ข้าวยากหมากแพง หรือ ภัยพิบัติทางธรรมชาติ แผ่นดินไหว น้ำท่วม สงคราม เป็นต้น
ศาสนจักร ไม่สงบเรียบร้อย เช่น
ภัยภายนอก มีลัทธิอื่นคุกคาม เข่นฆ่าบรรพชิต
ภัยภายใน พุทธบริษัทแตกแยก ขาดสามัคคีธรรม ขาดเมตตาธรรมซึ่งกันและกัน เป็นต้น
- ส่วนตัว มีศรัทธายังไม่มั่นคง ขาดความมั่นใจในการบำเพ็ญทาน หรือ
มีผลกระทบจากคนรอบตัว หรือคนในสังคม ที่ต่อว่า ตำหนิ อย่างแรง
ง ) อย่างไรก็ตามธรรมชาติหรือสัจจธรรมในการบำเพ็ญทาน ให้ผลหรือมีอานิสงส์เหมือนกัน คือ
1 ) การบำเพ็ญทาน ส่งผลให้เกิดบุญธาตุไปชำระสะสาง กิเลสในตระกูลโลภะ
และตัดรอนวิบากปาปจากที่เคยผิดศีลข้อ อทินทาน ลัก ขโมย หลอกลวง เบียดบัง ฉ้อ โกง ในอดีต
2 ) การบำเพ็ญทาน มีอานิสงส์ให้เกิดทรัพย์สมบัติทั้งในโลกนี้ โลกหน้า
สมบัติในมนุษยโลก ,เทวโลก จนถึงมรรคผล นิพพาน
และมีอานิสงส์พิเศษตามแต่วัตถุทานที่ให้ เช่น
ผู้ให้อาหาร ย่อมมีกิน ไม่อดเรื่องอาหาร ได้อาหารปราณีต
ผู้ให้เครื่องนุ่งห่ม ย่อมไม่ขาดแคลนเครื่องนุ่งห่ม ได้เครื่องนุ่งห่มประณีต
ผู้ให้ที่อยู่อาศัย ย่อมไม่ขาดแคลนที่อยู่อาศัย ได้ที่อยู่อาศัยประณีต
ผู้ให้คิลานเภสัช ย่อมไม่ขาดแคลนยารักษาโรค มีโรคภัยไข้เจ็บน้อย ได้หมอดี ยาดี โรคหายไว
แต่ก็อีกนั่นแหละการบำเพ็ญทานแม้มีอานิสงส์เหมือนกัน ดังตัวอย่าง 2 ข้อข้างต้น แต่
คนให้ทานได้บุญไม่เท่ากัน ได้อานิสงส์ไม่เท่ากัน ให้ผลที่หยาบหรือประณีตต่างกัน
ทั้งนี้เพราะ
เจตนาบริสุทธิ์ไม่เท่ากัน +
วัตถุทานที่ให้บริสุทธิ์ไม่เท่ากัน / ปริมาณวัตถุที่ให้ไม่เสมอกัน / ความประณีตของวัตถุไม่เท่ากัน +
ผู้ให้มีศีล สมาธิ ปัญญา วิมุติ วิมุติญาณทัสสนะ บรรลุธรรมยังไม่เท่ากัน
ผู้รับมีศีล สมาธิ ปัญญา วิมุติ วิมุติญาณทัสสนะ บรรลุธรรมยังไม่เท่ากัน +
ผู้ให้ มีความปิติ ไม่เท่ากัน +
ผู้รับ มีความยินดีที่ได้รับทาน ไม่เท่ากัน
แต่ละสถานการณ์ของการบำเพ็ญทานต่างกัน คือ
ผู้ให้กำลังขาดแคลนไม่เท่ากัน ใช้กำลังใจในการตัดความตระหนี่ ไม่เท่ากัน
ผู้รับกำลังขาดแคลนไม่เท่ากัน เช่น สถานการณ์ปกติกับคราวเกิดภัยพิบัติทางธรรมชาติ แผ่นดินไหว น้ำท่วมและสงคราม
และเนื่องจากสถานการณ์ในแต่ละครอบครัว ต่างกัน ผลกระทบที่ตามมาย่อมแรงไม่เท่ากันด้วย
นอกจากความสะอาด บริสุทธิ์ทางกาย วาจา ใจและอามิสทาน ธรรมทาน ของผู้ให้และผู้รับ
ที่ส่งผลให้เกิดอานิสงส์หยาบหรือประณีต มากหรือน้อย ไม่เท่ากันแล้ว
ยังมีอีกเรื่องที่ควรศึกษาคือ
จ ) ผู้ให้ มีระดับของเป้าหมายชีวิต ไม่เท่ากัน
- ผู้ให้ในระดับสาวกภูมิ คือ มีเป้าหมายชีวิต ดำเนินชีวิตเพื่อบรรลุมรรค ผล นิพพาน แบบพุทธสาวก
- ผู้ให้ในระดับเอตัคทัคคะภูมิ คือ มีเป้าหมายชีวิต ดำเนินชีวิตเพื่อบรรลุมรรค ผล นิพพาน
แบบพระอรหันต์ที่มีความพิเศษต่างๆ เช่น
มีปัญญาเลิศ / มีฤทธิเป็นเลิศ / แสดงธรรมเป็นเลิศ / บรรลุธรรมเร็วเป็นเลิศ เป็นต้น
- ผู้ให้ในระดับปัจเจกพุทธภูมิ คือ ทรงตรัสรู้ธรรมด้วยบุญบารมีตนเอง เป็นพระปัจจเกพุทธเจ้า
แต่มิได้นำสัจธรรมที่ตรัสรู้ไปสั่งสอนผู้อื่น
- ผู้ให้ในระดับพุทธภูมิ คือ สร้างบารมีเพื่อมุ่งตรัสรู้ อนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณด้วนตนเอง
และนำสัจธรรมที่ตรัสรู้ไปสั่งสอนผู้อื่นให้บรรลุ มรรค ผล นิพพาน ได้ด้วย
ด้วยเหตุที่ระดับของเป้าหมายชีวิต ในการสร้างบารมีไม่เท่ากันนี่เอง
เพราะฉะนั้นความทุ่มเท และการอุทิศตนในการบำเพ็ญทานบารมี จึงต่างกัน
สำหรับผู้ที่สร้างบารมี ปรารถนาพุทธภูมิ
จำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องบำเพ็ญบารมี 10 ทัสให้ยิ่งยวดกว่าสาวกภูมิทั่วไป
กำลังใจและเป้าหมายชีวิตระดับนั้น
จึงสามารถนาสละ บริจาคะ ได้ทั้งทรัพย์แบบหมดตัวไม่เหลือเศษ
ทั้งอวัยวะ และชีวิต พระองค์ทรงสละมามากมาย
และเช่นกัน การบำเพ็ญทานบารมีแบบนี้ ต้องมีคนที่ไม่เห็นด้วยมากมาย
แม้แต่เทวดา เช่น เทวดาที่เฝ้าซุ้มคฤหาสน์ของท่านอนาถบิณฑิกะมหาเศรษฐี
ยังไม่เข้าใจการบำเพ็ญทานในระดับของพระโสดาบันเลย
ก็เป็นธรรมดาที่มนุษย์ที่มีระดับของสัมมาทิฎฐิ ศรัทธา ศีล จาคะ ปัญญา ไม่เท่ากัน
จะไม่เข้าใจ คัดค้านการบำเพ็ญบารมีแบบพระโพธิสัตว์
ขนาดว่าสร้างบารมี 30 ทัสจะเต็มเปี่ยม
ในพระชาติที่เกิดเป็นพระเวสสันดร
บารมีมากขนาดนั้น ยังไม่วายมีข้อครหา ตำหนิ ติเตียนจากชาวเมืองมากมาย
ทั้งนี้เพราะ
ระดับความคิดและเป้าหมายชีวิต ของมนุษย์
ระดับของสัมมาทิฎฐิ ศรัทธา จาคะ ศีล สมาธิ ปัญญา ไม่เท่ากัน
ระดับของการหลุดพ้นจากกรอบ กิเลส ตัณหา อวิชชา
ของแต่ละคน
เทวดาแต่ละตน
แม้แต่พรหมแต่ละตน ยังไม่เท่ากันเลยครับ
บทสรุป
คุณต้องถามตนเองก่อนว่า
1 ) มีเป้าหมายชีวิตในระดับใด ผมไม่ได้เจตนาแบ่งชนชั้นนะครับ
แต่เพื่อชี้ให้เห็นว่า ระดับของเป้าหมายชีวิตที่ต่างกัน
กำลังใจของนักสร้างบารมีที่ต่างกัน
ทำให้การบำเพ็ญบารมีของแต่ละคน เข้มข้น ทุ่มเท ต่างกัน
พอจำได้ว่ามีชาดกเรื่องหนึ่ง ผู้ให้ก็ขัดสน ขาดแคลน
พระเถระ ท่านก็ทราบจึงรับอาหารเพียงส่วนเดียว แล้วปิดฝาบาตร
แต่ท่านผู้นั้นกลับ อ้อนวอนพระเถระทำนองว่า
ขอพระคุณเจ้า อย่าได้เป็นที่พึ่งแก่กระผมเพียงชาตินี้เลยขอรับ
( คือพระเถระไม่ยอมรับอาหารทั้งหมด เกรงว่าท่านผู้นี้จะอดอาหารตายซะก่อน )
ขอพระคุณเจ้า ได้โปรดเป็นที่พึ่งแก่กระผมตลอดกาลในอนาคตด้วยเถิดขอรับ
พระเถระเห็นความตั้งใจจริง และอยากให้ท่านผู้มีได้บุญเต็มที่
ชาติต่อๆไปจะๆได้ไม่ขัดสน ขาดแคลนเหมือนชาตินี้ ท่านจึงเปิดฝาบาตรอีกครั้ง
แล้วชายท่านนั้นก็ได้นำอาหารที่มีทั้งหมด บรรจงใส่บาตร .. สา ธุ
หรืออีกเรื่องที่บิดาอยากทำทานมากๆ ต้องกู้เงินเศรษฐีมาซื้ออาหาร
และให้ธิดา ทำงานขัดดอกที่เรือนเศรษฐี ธิดาก็แสนดี ยินดีการทำทานของบิดา
และยอมทำงานในเรือนเศรษฐีด้วย
ผ่านหลายปี บิดาไปต่างเมือง ขยันทำงาน ออมทรัพย์ไว้จนครบ
ขณะเดินทางไปไถ่ตัวธิดา เจอภิกษุยังเป็นเสขะบุคคล ยังไม่บรรลุธรรม
กำลังเดินทางและไม่มีภัตตาหาร
ตนเองมีแต่ทรัพย์ ต้องขอซื้ออาหาร เพียง 1 ห่อกับคนเดินทางอีกคนที่ใจร้ายมาก
โก่งราคาอาหาร 1 ห่อด้วยราคาทรัพย์ทั้งหมดที่มี
แต่ใจท่าน น่ายกย่องสรรเสริญเหลือเกิน
ท่านยอมซื้ออาหาร 1 ห่อด้วยจำนวนทรัพย์ทั้งหมดที่มี
เพื่อนำมาเป็นภัตตาหาร อังคาสพระ สาธุ
แน่นอนว่าการขยันทำงานหลายปี ต้องเริ่มนับ 1 อีก
เมื่อภิกษุฉันแล้วได้สนทนากับผู้ใจบุญท่านนี้ ถามไปมา
ทราบความเป็นมาของผู้มีบุญท่านนี้ ถึงกับสลดใจอย่างแรง
คิดว่า ถ้าตนเองฉันภัตตาหารมื้อนี้แล้ว ไม่บำเพ็ญสมณธรรมให้บรรลุมรรค ผล นิพพาน
อาหารเพียง 1 ห่อ 1 อิ่ม 1 ชีวิต
ที่แลกมาด้วยความยากลำบาก และกลโกงของคนเดินทางอีกคน
ชาติต่อไป ท่านคงต้องเกิดเป็นข้ารับใช้ผู้ใจบุญท่านนั้นแน่นอน
เมื่อแยกย้ายกันเดินทาง คือ
ชายผู้ใจบุญ ต้องเดินกลับทางเดิม ไปขยันทำงานเก็บทรัพย์อีกหลายปี
ส่วนภิกษุ เดินทางต่อไปหาที่วิเวก เร่งบำเพ็ญสมณธรรม ด้วยใจตั้งมั่น
ในที่สุดท่านก็ได้บรรลุธรรม
ยังให้ภัตตาหารมื้อสำคัญของชายผู้ใจบุญ เป็นมหาทาน มหากุศล
สมค่าแก่ความยากลำบาก
สมค่าแก่ผู้ใจบุญแบบนี้ ที่หาได้ยากมาก ๆๆ ในโลก
เฮ้อ ตื้นตันและซาบซึ้งใจจริงๆครับ กับนักสร้างบารมีแบบนี้
2 ) ถ้าคุณยังจะบำเพ็ญทานแบบที่คุณตั้งใจไว้
- วัตถุประสงค์หลักของการบำเพ็ญทานในครั้งนี่ ที่เด่นชัดที่สุดของคุณ คืออะไร
- คุณคาดว่า ยังรักษาสามารถความปลื้ม ปิติ ยินดี ได้ทั้งก่อนทำ ขณะทำและหลังทำ หรือ ?
เพราะมีผลว่า การทุ่มเทครั้งนี้คุณได้บุญเต็มๆ ไม่มีเชื้อวิบัติติดมา
เพราะ ใจไม่ใส หรือเสียดายภายหลัง
- คุณพร้อมแค่ไหน
ถ้าในระยะสั้น คือ ภายในเดือน / ปี หรือทั้งชาตินี้ บุญในครั้งนี้ยังส่งผลนิดๆ
และเพราะใจใสนิดๆ ยังกังวลหน่อยๆ หรือ วิบากเก่ายังแรง
ทำให้คนในครอบครัวไม่เข้าใจและตำหนิคุณ
- คุณมีวิธีแก้ไข รับมือกับสถานการณ์ที่ยังไม่แน่นอนในชีวิต ได้ดีแค่ไหนแล้ว
3 ) ถ้าคุณยังจะบำเพ็ญทานแบบที่คุณตั้งใจไว้ และทำถูกต้องตามหลักวิชาของพระพุทธเจ้า
แน่นอนว่า การบำเพ็ญทานบารมีในภาวะที่ดูวิกฤต ของคุณและมารดา
ย่อมเกิดบุญมหาศาล ได้ผลดีต่อคุณในระยะยาว อย่างแน่นอน
ด้านประโยชน์ส่วนรวม
การบริจาค 1 บาท นำไปใช้ให้เกิดประโยชน์ต่อส่วนรวม ได้น้อยกว่าการบริจาค 1 ล้านบาท
เพราะทรัพย์จำนวนมาก ถ้ามีไว้ใช้เป็นประโยชน์ในบุญเขต ทำนุบำรุงพระพุทธศาสนา
ศาสนกิจ ก็สำเร็จได้ไว จัดเป็นประโยชน์ส่วนรวมโดยแท้
แต่ด้านประโยชน์ส่วนตัว
คนที่บริจาค 1 บาทก็สามารถ
อาจได้บุญเสมอกันหรือมากกว่าคนบริจาค 1 ล้านบาทก็ได้
ขึ้นอยู่กับใครทำถูกต้องตามหลักวิชาของพระพุทธเจ้าแค่ไหน
ป.ล. 1
ผมเคยทราบมาบ้างว่า
เคยมีเจ้าภาพที่ใจเต็มร้อย แต่อุปสรรคก็เป็นร้อย
พระเดชพระคุณหลวงพ่อ ท่านก็ทราบ จึงรับปัจจัยเพียงส่วนเดียว
แม้ผู้ให้เต็มใจให้ทั้งหมดและเตรียมพร้อมรับ สถานการณ์ที่ยังไม่แน่นอนในอนาคตก็ตาม
ป.ล. 2
สร้างบารมีแบบ happy บารมีเต็มไว
แม้ทรัพย์มีน้อย แต่ใจใส บุญใหญ่ก็ไหลเร็ว
ป.ล. 3
ชีวิต สิ่งลิขิตของใคร ใครตอบได้ไหม ชีวิตมากมาย อยากได้คำตอบจากใครสักคน
( ธเนศ วรากุลนุเคราะห์ )
ชีวิต สิ่งลิขิตของคน
มีอยู่มากล้น คนมากมาย
ที่ได้ออกแบบ ชีวิตของตน.
*** ไม่ว่าคุณเลือกแบบไหน ก็โมทนา สาธุด้วยนะครับ
#15
โพสต์เมื่อ 02 October 2006 - 12:43 PM
การทำบุญที่เอาชีวิตเป็นเดิมพันเป็นสิ่งดีมากๆ แต่ก็ยังต้องใช้ปัญญาเป็นตัวกำกับ ถึงจะสามารถสร้างบารมีได้ถูกต้องและตรงตามทางมรรคผล และสร้างบารมีได้ตลอดไป
ใจเย็นๆ นะครับ ก่อนอื่นให้นั่งสมาธิมากๆ ไปปฏิบัติธรรมคอร์สยาวๆ ฟังธรรมะมากๆ นะครับ
#16
โพสต์เมื่อ 02 October 2006 - 12:50 PM
ผมแนะนำให้ บวชครับ
เป็นพุทธบุตร เมื่อตั้งใจปฏิบัติธรรม ได้บุญบารมีมากกว่าการเป็นฆราวาสครับ
เรื่องอื่นๆ ไม่มีความเห็นครับ
ถ้าอยากส้รางบุญบารมี บวชเท่านั้นครับ ยิ่งไม่สึกนี่ยิ่งดี
#17
โพสต์เมื่อ 02 October 2006 - 01:30 PM
อนุโมทนาบุญกับความคิดอันยิ่งใหญ่
อ่านแล้วคิดว่า คุณเด็กใจใส มีคำตอบที่ต้องการแล้ว
แต่ก็อยากให้ลองปรึกษาพระอาจารย์ดูก่อน
และหวังว่าคุณเด็กใจใสคงมีอาชีพที่คิดว่าจะหาเลี้ยงตัวเองและคุณแม่ได้ต่อไป
#18
โพสต์เมื่อ 02 October 2006 - 01:35 PM
--------------------------------- งงๆกะอันนี้ มาแปลก
เลือกเอา ใจใสๆ
#19
โพสต์เมื่อ 02 October 2006 - 02:52 PM
#20
โพสต์เมื่อ 02 October 2006 - 03:39 PM
และผมคงจะเข้ามาแสดงความคิดเห็นส่วนตัวเป็นครั้งสุดท้าย และจะไปนั่งสมาธิ ให้มากๆยิ่งขึ้นครับ (ปกติจะนั่งวันละ 30-1 ชั่วโมงไม่เคยขาดครับ)
ก็รู้สึกท้อใจเหมือนกันนะที่โดนทั้ง คนรอบตัว และเพื่อนชาว Dmc.tv แต่เหมือนยิ่งห้ามผม ผมกลับยิ่งชอบแถมเหมือนเร่งให้ผมได้ทำเร็วขึ้น
-ตั้งแต่เห็นหลวงพ่อ ธัมมชโยใน vcd เมื่อปี 2548 ที่พี่ชายซื้อมาจากห้าง กว่าผมจะได้ดู ต้องอ้อนวอนขอยืมดูจากพี่ชาย
-กว่าจะมาวัดพระธรรมกายได้ ต้องหลงทางเข้าวัดอยู่หลายครั้ง และขับรถเลยทุกครั้ง ไม่รู้มันเป็นยังไง
-เข้ามาวัดครั้ง แรก ก็มาทะเลาะกับครอบครัวกันเรื่องวัดพระธรรมกาย จนรถเกือบรถแตก
-กว่าผมจะได้มาเห็นตัวจริงของหลวงพ่อ ธัมมชโย ที่บ้านยาย ก็เหนื่อยมาก ยากมากจริงๆไม่รู้มันเป็นยังไง และ
นั้นแหละสงครามในครอบครัวรวมถึงตัวผมเองก็ได้เริ่มขึ้นทันที จนถึงวันนี้
-ผมอยากบวชอีกครั้งมากครับ ตอนนี้กำลังฝึกใจตัวเองให้หยุดนิ่งเพื่อเข้าถึงพระภายใน จะได้มาบวชเป็นพระแท้ครับ ในโลกนี้ มีสมมุติสงฆ์ มีมากเหลือเกินครับ ก็เคยเป็นมาแล้ว ถ้าบุญถึง จึงอยากลองเป็นพระแท้ดูบ้าง คงจะดีมากๆ
-ตอนบวชครั้งแรกพ่อ แม่ ญาติพี่น้อง และแฟน ก็มาบอกว่า บวชแล้วทำให้คนอื่นใจหมอง ไม่ละอายตัวเองบ้างหรือ? ถ้าตายตอนนี้ใจหมองคงตกนรกแน่ แล้วจะบวชทำไม ?
แรกๆก็ดื้อ หลังๆก็ละอายครับเลยสึกออกไป เพราะไม่อยากให้พวกเขาใจหมอง
-ก็เหนื่อยมากจริงๆ ก่อนบวช บวช และหลังบวช ไม่มีใครสักคน ที่จะเห็นด้วย ก็จะมีพระอาจารย์ พระพี่เลี้ยงบางท่านเท่านั้น ที่เข้าใจผม แต่ตอนนั้นผมโดนรุม หลายทางก็เลยต้องยอมศึก เพราะผมไปเปิดศึกหลายด้านรวมถึงศึกของตัวเองก็ยังแก้ไขไม่ได้ บุญที่ทำมาน้อย แถมใช้บุญไม่เป็น และ เพิ่งเข้าวัดด้วย เลยถอยก่อนดีกว่า ..
- แต่ตอนนี้ ได้แม่มาเป็นพวกเดียวกันแล้ว จากที่ Home alone อยู่คนเดียว หลังจากที่ทะเลาะกันเกือบทุกวันเพราะแม่ดื้อเหมือนผมมากๆ แต่ตอนนี้แม่และผมรักกันมากที่สุดเลยครับ เพราะเราสนใจในเป้าหมายชีวิตแบบเดียวกันแล้ว
-และสำคัญที่สุดคือผมไม่อยากบวชให้เสียผ้าเหลืองแบบที่เคยเป็นครับ กลัวมากที่จะทำให้หลวงพ่อและหมู่คณะ เสียชื่อเสียงครับ
-เพราะได้มาศึกษาประวัติ ความเป็นมาของหมู่คณะตั้งแต่หลวงปู่สด จนถึงหลวงพ่อ ธัมมชโย ผมมาลองจินตนาการดูแล้ว ยากมาก หรือเป็นไปไม่ได้ สำหรับบุคคลพิเศษในโลกนี้ทั่วไป เพราะเคยคิดว่าคนที่เก่งที่สุดในโลก ก็คือคนที่ประสบความสำเร็จทางโลกมากที่สุด ยิ่งเป็นพระหรือนักบวช ไม่ได้อยู่ในความคิดในครั้งนั้นเลยครับ
-แต่ตอนนี้ได้เข้าใจแบบจินตนาการ หรือคิดเอาเองเป็นส่วนตัวว่า ทางธรรมะ ยากกว่า แบบไม่รู้จะอธิบายยังไง มันเข้าใจเอง โดยยากจะพูดให้คนธรรมดาเข้าใจ
และยากมากที่สุดสำหรับ ธรรมมะของศาสนาพุทธในปัจจุบันนี้ ถ้าเป็นศาสนาอื่นยังง่ายกว่าเพราะ เขารักกัน และมีวินัยเป็นทุนเดิม เช่นศาสนาอิสลาม เนี่ยผมทึ่งมากๆ เขารักกันมาก เห็นใจกันมาก และก็เคร่งครัดกันมากๆ
-เพราะศาสนาพุทธตั้งแต่ยุคหลวงปู่ ต้องมาสร้างกันใหม่เลย เหมือน คนป่วยใกล้ตายแล้วต้องมารักษา ให้กลายเป็นคนแข็งแรงที่สุดและต้องฝึกให้มีพลังพิเศษที่สามารถเอาชนะคนทั่วไปได้ จึงเป็นสิ่งที่มหัศจรรย์อย่างแท้จริง ถ้าทำได้สำเร็จ แต่ดูๆแล้ว ก็น่าจะเป็นไปได้นะครับ ผมก็จะขออนุญาติ มาร่วมด้วยคน ถึงจะมา ตอนใกล้จะเสร็จแล้ว ก็ดีกว่าไม่ได้มาใช่ไหมครับ
-เวลาหลวงพ่อ บอกว่า บารมี ต้องทำกันเต็มกำลังนะ ถึงจะเรียกว่า เกิดมาสร้างบารมี
ผมก็เป็นอะไรก็ไม่รู้ จะต้องรู้สึก อย่างเดียวว่า ทำหมดตัว เหมือนประสาทการได้ยินการรับรู้ มันแปลเป็นอย่างอื่นไม่ได้ และจะไม่สบายใจเลย ถ้าไม่ได้ทำหมดตัว แล้วถ้าได้ทำจนหมดตัวแล้วก็จะโดนคนรอบตัว ทุกครั้งเลย (เขาจึงว่าผมเพี้ยนกัน ) และผมก็ไม่เคยจนสักครั้งเลย มีแต่ยังไม่รวยเท่านั้นเอง
แต่ก็มีบ้างที่เฉพาะพระอาจารย์บางรูปเท่านั้นพอได้ยินผมบอกว่า ผมทำหมดตัวเลยนะหลวงพี่ ท่านก็สาธุกับผม ไม่รู้ว่า ท่านสาธุการ ไปอย่างงั้นเองรึเปล่า แต่ผมก็ไม่สนใจอะไร ก็ผมเป็นของผมอย่างนี้ ไม่รู้จะแก้กันอย่างไร(เหมือนคน ดิ้อด้าน ที่สอนตัวเองเรื่องนี้ไม่ได้)
-และผมกลัวมากครับ ที่จะไม่ได้ธรรมมะ เพราะ หลวงพ่อ บอกว่าผู้ที่เข้าถึงธรรมไม่ได้คือคนตายและบ้า(ไม่รู้ว่าบ้าแบบผมด้วยไหมที่เข้าถึงธรรมไม่ได้) ก็ต้องลองนั่งสมาธิจนกว่าจะ แก่ตาย หรือตายก่อนแก่ แล้วก็ค่อยสรุปกับตัวเอง ว่าผมเพี้ยนหรือไม่
-ผมก็เคยทำบุญแบบนี้มาครั้งหนึ่งแล้ว แต่แค่หลัก หมื่น-เกือบแสน โดยกด บัตรเครดิต ก็ยังไม่เห็นจนสักครั้ง
-และผมไม่กล้าไปถามหลวงพ่อหรอกครับ เพราะไม่กล้ารบกวนท่าน ตัวของผมก็ไม่ได้เป็นคนสำคัญอะไร ที่สำคัญเรื่องนี้ ผมชอบลองผิดลองถูก มันดูปิติใจมากๆครับ
-สุดท้ายนี้ผมขอทำบุญอย่างที่ตั้งใจมาแน่นอนครับ และจะรีบทำเรื่องการกู้เงินให้เร็วยิ่งขึ้น เพราะรู้สึกเหมือนฝันมานานแสนนาน อยากช่วยศาสนาพุทธและวิชชาธรรมกายมากๆ โดยให้หมดใจสุดๆกับมหาปูชนียจารย์ เท่านั้น
และเมื่อขายที่ดินได้ ก็จะทำทันที ไม่มีข้อแม้และเงื่อนไขใดๆ ครับ แม้รู้ตัวว่าจะเปิดศึกสงครามกับตัวเองและคนในบ้านครั้งใหญ่ที่สุดก็ตาม
-เพราะสงครามทางธุรกิจในครอบครัว และตัวผมเอง ก็ผ่านมาเกือบ 10 ปีแล้ว ก็ยังไม่ยอมจะเลิกรากัน และเริ่มรุนแรงขึ้น เหมือนสงครามในโลกนี้เลยที่ทะเลาะกันทุกวัน
-ผมจึงขอปิดสงครามด้วยการทำบุญ สะบั่นหั่นแหลก ครั้งนี้
ก็ขอแบ่งบุญล่วงหน้า ให้กับทุกๆคน ทั้งที่ไม่เห็นด้วยและเห็นด้วย นะครับ
สาธุ ..
( เป็นการกระทำส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญานในการอ่านบทความนี้ด้วยนะครับ )
#21
โพสต์เมื่อ 02 October 2006 - 04:51 PM
การจะทำบุญ จนหมดตัว มันไม่ใช่เรื่องใหญ่ สำหรับคนที่มีใจใหญ่ครับ ถ้าคุณได้อ่านในพระไตรปิฏก คนที่ทำบุญยิ่งกว่าคุณ มันก็เคยมีมาแล้ว ไม่ว่า จะเป็นอดีตพระโพธิสัตว์ ที่เกิดเป็นเศรษฐี ทำบุญมากจนพระอินทร์มาแกล้งให้สมบัติหายไป เพราะกลัวว่า จะไปแย่งตำแหน่งพระอินทร์ แต่แม้สมบัติท่านจะอันตรธานไปหมด ท่านก็ยังสร้างทานบารมี โดยไปรับจ้างตัดหญ้าหาเงินเพื่อถวายทาน หรือพระโพธิสัตว์ ที่กำลังจะถวายทาน แล้วมาร มาบันดารให้เกิดหลุมถ่านเพลิง ดักอยู่ข้างหน้า แต่ท่านก็ไม่กลัวต่อมรณะภัย แม้ต้องตกในหลุมถ่านเพลิง
หรือตัวอย่างของอดีตชาติของ เมณฑกะเศรษฐี ที่ถวายอาหารมื้อสุดท้าย
หรือตัวอย่างของนายติณบาลที่ขายเสื้อผ้าชุดสุดท้ายเพื่อนำมาถวายทาน จนต้องนุ่งใบไม้
ผมจึงไม่กล้าจะห้ามการสร้างทานบารมีของคุณล่ะครับ เพราะผมไม่อาจคาดเดาถึงกำลังใจของคุณได้ ผมบอกได้แค่ว่า คุณทำถูกเนื้อนาบุญแน่นอน ขอให้การสร้างมหาทานครั้งนี้ ทำให้คุณปิติใจไปตลอดชีวิต และไม่เสียใจในภายหลัง แล้วคุณจะได้บุญใหญ่ติดตัวไป แม้ว่าจะต้องเจออุปสรรคอะไรอีกมากมายตามมาก็ตาม
ไม่งั้นมันจะไม่คุ้มกับทานที่ทำไป แต่ถ้ารักษาความปิติใจได้ แม้จะต้องเจออุปสรรคแม้ชีวิต เวลาบุญนี้ส่งผล คุณก็จะได้รับอานิสงส์ไม่ต่างจาก บุคคลในอดีตตามที่ผมกล่าวมาข้างต้น
และถ้าคุณทำจริง ผมขออนุโมทนาบุญกับมหาทานของคุณในครั้งนี้ด้วยครับ
และทั้งก่อนทำ กำลังทำ และหลังทำ ต้องใจใสอย่างเดียวครับ อย่าหงุดหงิด และอย่าไปทะเลาะกับใครให้ใจขุ่นเด็ดขาดครับ ถ้าทำได้ เอาเลยครับ
#22
โพสต์เมื่อ 02 October 2006 - 05:00 PM
(ผมจะได้มีพวกรุ่นพี่เยอะๆ )
ขอสาธุการครับ ไปนั่งสมาธิแล้วครับ บายๆ
#23
โพสต์เมื่อ 02 October 2006 - 05:03 PM
ขอให้เป็นได้ดังนี้แล สาธุ
#24
โพสต์เมื่อ 02 October 2006 - 05:24 PM
ไม่ควรทำความเดือดร้อนให้ตนเองและผู้อื่น ไม่ว่ากรณีใดๆ
#25
โพสต์เมื่อ 02 October 2006 - 05:38 PM
#26
โพสต์เมื่อ 02 October 2006 - 05:39 PM
#27
โพสต์เมื่อ 02 October 2006 - 06:01 PM
ต้องรู้จักประมาณตน ซิค่ะ
ถ้าคุณอยากได้บุญ ก้อนั่งหลับตาเบาๆๆ ผ่อนคลายสบายๆ ดีกว่า ค่ะ แล้วทรัพย์ก้อจะเกิดขึ้นเอง
(อย่างน้อยก้ออริยทรัพย์ภายในก็จะเกิด ปัญญาก้อจะเกิดค่ะ คราวนี้คุณอาจจะพบสิ่งดีๆๆ จากการหลับตานะค่ะ)
อย่ากู้เลยนะค่ะ มีเท่าไรก้อทำเท่านั้น
รู้สึกเป็นห่วงคุณจังเลย
[email protected]
#28
โพสต์เมื่อ 02 October 2006 - 08:19 PM
#29
โพสต์เมื่อ 02 October 2006 - 08:38 PM
การทำบุญย่อมได้บุญ แต่พึงระลึกเสมอว่า บางครั้งบุญที่เราทุ่มเทลงไปด้วยชีวิตอาจจะยังไม่ส่งผลในภพชาตินี้นะครับ เปรียบเหมือนอะไร
ถ้าเปรียบเทียบการทำบุญใหญ่เหมือนการเติมน้ำ ถ้าคนที่คิดจะทำบุญทุ่มลงไปทั้งชีวิต มีน้ำแค่ก้นแก้ว แม้จะทำบุญที่เดิมพันด้วยชีวิตแล้ว น้ำที่เติมลงไปในครั้งนี้ก็อาจจะยังไม่เต็มแก้ว หรือ ก็คือบุญยังไม่มากพอถึงจุดที่จะส่งผลปัจจุบันทันตาเห็น
ถ้าจะนำกรณีนี้ไปเทียบกับเรื่องราวของบุคคลสมัยพุทธกาลที่ทำบุญแล้วบุญส่งผลทันตา อาจจะยังเทียบกันไม่ได้ เพราะ คนสมัยพุทธกาลมีบุญมากในระดับที่มีบุญได้เจอพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ในขณะที่พระองค์ยังมีพระชนมชีพอยู่ ถ้าจะว่าไปคนที่เกิดในสมัยพุทธกาลมีต้นทุนบุญเก่ามากในระดับนึงทีเดียว ถ้าเป็นน้ำก็อาจจะเป็นน้ำค่อนแก้ว หรือ เกือบเต็มแก้ว เลยทีเดียว พอทำบุญที่ทุ่มลงไปด้วยชีวิต น้ำก็ล้นแก้ว ถึงจุดที่บุญส่งผลในปัจจุบันทันตาเห็นได้
ที่พูดแบบนี้ เจตนาเพื่อให้เจ้าของกระทู้ต้องรักษาใจให้ใสเสมอ ถ้าบุญที่คุณจะทุ่มลงไปด้วยชีวิตในครั้งนี้ ยังไม่ส่งผลในปัจจุบันทันตาเห็น ก็อย่าตีโพยตีพาย เพราะเราไม่รู้ว่า ตัวเรามีต้นทุนบุญเก่ามามากน้อยแค่ไหนนั่นเอง แต่ที่แน่ๆ ทำบุญย่อมได้บุญ ครับ แต่ก็ต้องเป็นไปตามหลักวิชาที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านให้ไว้ คือ
1) ผู้ให้บริสุทธิ์
2) วัตถุบริสุทธิ์
3) ผู้รับบริสุทธิ์
4) เจตนาบริสุทธิ์
ใจต้องใสทั้งก่อนทำ ขณะทำ และ หลังทำ ไม่มีความเสียดายทรัพย์ หรือ ตีโพยตีพาย ในภายหลังครับ
มหาวิหาร จรัสฟ้า ค่ายิ่งใหญ่
รูปทอง ผ่องผุด ดุจยองใย
สะท้อนถึง ห้วงดวงใจ สุดบูชา
*********************
ยอดเยี่ยม "ธรรมกาย" ผล ..... ผ่องแผ้ว
เลอเลิศล่วงกุศล ..... ใดอื่น
เชิญท่านถือเอาแก้ว ..... ก่องหล้าเรืองสกล
พระมงคลเทพมุนี (สด จนฺทสโร) ผู้ค้นพบวิชชาธรรมกาย
#30
โพสต์เมื่อ 02 October 2006 - 08:46 PM
ยังค่ะยัง ใจเย็นๆค่ะ koonpatt ก็ยังเข้าไม่ถึงธรรม แต่ก็ยังไม่บ้า และยังไม่ตายนะคะ
ขอเป็นกำลังใจให้เจอทางออกที่ดี และเหมาะสมที่สุดสำหรับตัวคุณเองนะคะ สา...ธุค่ะ
แด่
เธอ...ผู้นำแสงสว่างสู่...กลางใจ