เพื่อนๆกัลยาณมิตรเว็บนี้มีคัยปราถนาพุทธภูมิบ้างหรอคับ
#31
โพสต์เมื่อ 01 January 2006 - 05:38 PM
พอ. . .แล้วกับความรู้สึกที่ว่าอยากมีอยากเป็น
One word will suffice.
#32
โพสต์เมื่อ 02 January 2006 - 03:23 PM
ถามว่าจะมีองค์ไหนเป็นภาคปราบโดยสมบูรณ์
ตอบ อจินไตยครับ
ไม่สั่นคลอน ใสเหมือนน้ำที่ปราศจากตะกอน
#33
โพสต์เมื่อ 02 January 2006 - 03:35 PM
หากต้องการทราบรายละเอียด
-ทางอ้อมรู้จากฝันในฝัน
-ทางตรงรู้จากจริงในจริง หยุดในหยุด คือต้องเข้าถึงพระธรรมกายภายในและต้องอยู่ในระดับเป็นเนื้อเป็นหนัง(ทุกอณู)กับพระธรรมกาย มิใช่เพียงเห็นองค์พระในตัว แล้วท่านจะทราบคำตอบอย่างที่ไร้ความลังเลสงสัยว่า
- ที่มาของฝ่ายบุญ-ฝ่ายบาป คือ ทำไมต้องมารบกันในภพ3
- ฝ่ายบุญภาคปราบ-ภาคโปรดเป็นอย่างไร มีกิจอย่างไร
- ทำไมฝ่ายบุญอยู่แดนนิพพานแล้วยังต้องถอยพืดลงมาในภพ3
- โลกันต์เป็นอย่างไร ฝ่ายบาป-หมู่มารอยู่กันอย่างไร เขาทำอะไรกับฝ่ายบุญ และฝ่ายบุญต้องทำวิชชาปราบอย่างไร อะไรเป็นตัวชี้วัดว่าแพ้หรือชนะกัน
- พระพุทธเจ้าพระองค์แรกในแดนอายตนะนิพพาน คือ....องค์ต่อๆไป...
- กายมหาบุรุษมีประโยชน์อะไร ทำอย่างไรจึงจะได้กายนี้ แล้วฝ่ายบาปมีกายแบบนี้หรือไม่
- วงบุญพิเศษเกิดได้อย่างไร มีการจัดผังเป็นอย่างไร ใครเป็นผู้นำวงบุญ... ทำไมต้องลงมาเกิดในภพมนุษย์ทุกกึ่งพุทธกาล
ขอให้ผู้ถามเข้าถึงพระธรรมกายในตัว หยั่งรู้คำตอบได้ด้วยตนเอง หมดความสงสัยในเร็ววันนะ
รูปของคุณธรรมจักร เคยเห็นที่วัดร่องขุน จ.เชียงราย วาดโดย อ.เฉลิมชัย
ไฟล์แนบ
แก้ไขโดย hmongkon 02 January 2006 - 11:08 PM
#34
*ผู้มาเยือน*
โพสต์เมื่อ 02 January 2006 - 10:07 PM
#35
โพสต์เมื่อ 03 January 2006 - 09:33 PM
1. พระพุทธเจ้าภาคปราบเป็นอย่างไร มีหน้าที่อย่างไร อยู่แดนนิพพานแล้วยังต้องตามปราบมารอีกหรือ และปราบอย่างไร
2. พระพุทธเจ้าภาคปราบมีองค์ใดบ้าง ยกตัวอย่างได้ไหม
3. กายมหาบุรุษมีประโยชน์อะไรในการเข้าถึงนิพพาน ไม่ใช่จิตที่เป็นผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบานหรอกหรือ ที่ทำให้ถึงซึ่งนิพพาน
ขอแสดงความคิดเห็นบ้างครับ :)
ตอบ 1. พระพุทธเจ้าเป็นทั้งภาคปราบ และ ภาคโปรด
ที่เป็น ภาคปราบ คือ ทรงปราบกิเลส (กิเลสมาร) ของพระองค์ให้หมดสิ้นไป เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าก่อน
ที่เป็น ภาคโปรด คือ แสดงธรรมสั่งสอนสัตว์ ชี้ทางให้สรรพสัตว์ ได้รู้ได้เข้าใจ ให้เป็นสัมมาทิฏฐิ (ความเห็นชอบ) คือ ทำให้หมู่สัตว์ทั้งหลาย รู้จักบุญ รู้จักบาป รู้จักคุณ รู้จักโทษ รู้จักประโยชน์ และรู้จักสิ่งที่ไม่ใช่ประโยชน์
ตลอดจนรู้จัก ทุกข์ (อันมาจาก ความเกิด แก่ เจ็บ ตาย ความพลัดพราก ความผิดหวัง)
รู้จัก สาเหตุแห่งทุกข์ (ตัณหา ความทะยานอยาก)
รู้จัก ทางดับทุกข์ (นิโรธ)
รู้จัก ทางที่ปฏิบัติไปสู่ความพ้นทุกข์ (มรรคมีองค์ 8 หรือ ศีล สมาธิ ปัญญา)
เมื่อพระพุทธเจ้าทรงโปรดหมู่สัตว์ให้เป็นสัมมาทิฏฐิ (ความเห็นชอบ) แล้ว ก็เท่ากับว่า พระองค์ทรงปราบมาร คือ กิเลสของหมู่สัตว์ให้เบาบางลงไปตามลำดับ เมื่อสรรพสัตว์เหล่านั้นมีความเห็นถูกตรง กิเลสเบาบางลง ก็เท่ากับได้ทรงเปลี่ยนมารทั้งหลาย ให้เป็นเทพ เป็นพรหม เป็นพระอริยเจ้าตามลำดับ
ถ้าชนเหล่านั้นสามารถตัดกิเลส (กิเลสมาร) ของตนได้หมด ก็เป็นพระอรหันต์ พ้นทุกข์ได้ในที่สุด
เมื่อพระพุทธเจ้าทรงปรินิพพาน เข้าสู่แดนพระนิพพานแล้ว พระธรรม จะเป็นตัวแทนของพระองค์ในการปราบมารของสรรพสัตว์ ให้พ้นทุกข์จากวัฏฏะสงสาร ให้พ้นทุกข์จากบ่วงของมารทั้งหลาย
พระพุทธเจ้าทรงตรัสไว้ว่า "ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเราพระตถาคต"
และก่อนพระองค์จะปรินิพพานทรงตรัสไว้ว่า "ธรรมและวินัยอันใด เราแสดงแล้ว บัญญัติแล้วแก่พวกเธอ ธรรมและวินัยอันนั้น จักเป็น ศาสดาของพวกเธอ"
(พระสุตตันตปิฎก เล่ม ๒ ทีฆนิกาย มหาวรรค - หน้าที่ 123)
ตอบ 2. พระพุทธเจ้าทุกๆ พระองค์ ล้วนทั้งปราบมาร (ขันธมาร กิเลสมาร อภิสังขารมาร มัจจุมาร เทวบุตรมาร ) เพราะทรงมุ่งหวัง สั่งสอนให้สรรพสัตว์พ้นจากทุกข์ พ้นจากวัฏฏะ พ้นจากบ่วงของมาร
บุคคลผู้ปรารถนาพุทธภูมิ ยอมเสียสละตนบำเพ็ญบารมีอย่างยิ่งยวด ก็เพราะต้องการขนถ่ายสัตว์ รื้อขนสัตว์ออกจากวัฏฏะสงสาร ให้ไปถึงพระนิพพาน
เมื่อบารมีเต็ม ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าแล้ว ก็ทรงปราบมาร ด้วยกันทั้งหมดทุกๆ พระองค์
จะปราบได้มากหรือน้อยก็ขึ้นอยู่กับกำลังบารมีของแต่ละพระองค์ครับ
เพราะการที่จะเป็นพระพุทธเจ้าภาคปราบโดยสมบูรณ์นั้นทุกพระองค์ก็ต้องผ่านการเป็นภาคโปรดไปในตัวด้วยอยู่แล้วครับ
ตอบ 3. ใช่อยู่ที่ว่า "จิตที่เป็นผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน เป็นจิตที่ถึงซึ่งพระนิพพาน"
แต่ กายมหาบุรุษ เป็นผลมาจากการบำเพ็ญบารมีอันยิ่งใหญ่ ต้องเคยผ่านการบำเพ็ญบารมีจนถึงขั้นปรมัตถบารมี คือ สละชีวิตได้โดยไม่เสียดายมาแล้ว
กายมหาบุรุษ มีประโยชน์มาก ทำให้มีโอกาสในการบำเพ็ญบารมีให้ยิ่งๆ ขึ้นไป เพราะเปรียบเหมือน บุคคลที่แข็งแรง สุขภาพดี มีปัญญาเฉลียวฉลาด แคล่วคล่องว่องไว ย่อมสามารถทำการงานได้มากกว่า ดีกว่า มีประสิทธิภาพกว่า บุคคลผู้พิกลพิการ หรือบุคคลผู้ไม่แข็งแรง อ่อนแอเจ็บป่วย
นอกจากนี้ กายมหาบุรุษ ทำให้บุคคลเลื่อมใสได้ง่ายกว่า สามารถชักนำ ชักจูงบุคคลให้ศรัทธา ให้ประพฤติปฏิบัติตามได้ง่ายกว่า บุคคลผู้มีกายทราม คือ รูปร่างน่ารังเกียจ พิกลพิการ
ดังเช่น พระพุทธเจ้าของเรา เพราะแค่อาศัย รูป กายของท่าน ที่มีความงดงาม น่าเลื่อมใส แค่บุคคลผู้อาศัยรูปของพระองค์ ติดอยู่ในรูปของพระองค์ ถ้าตายลงในขณะนั้นสามารถไปจุติบนสวรรค์
หรือไม่ว่าจะเป็น เสียง อันไพเราะของพระองค์ บุคคลผู้อาศัยเสียงของพระองค์ ติดอยู่ในเสียงของพระองค์ ถ้าตายลงในขณะนั้น ก็สามารถไปจุติบนสวรรค์ได้เช่นกัน
เพราะอาศัยที่พระองค์เป็นบุคคลอัปมาโณ คือ คุณอันยิ่งใหญ่ มีบารมีอันบำเพ็ญมามากแล้ว
กายมหาบุรุษ ล้วนเป็นเหตุให้คนที่เลื่อมใสศรัทธาในพระองค์เข้าถึงซึ่งพระธรรมได้ง่าย เป็นเหตุให้คนเราบำเพ็ญบารมีตามที่พระองค์สั่งสอนได้ง่ายขึ้น
นั้นก็ได้ชื่อว่า กายมหาบุรุษเป็นประโยชน์ในการเข้าถึงพระนิพพาน ทั้งตนและสรรพสัตว์ทั้งหลาย โดยแท้จริง
#36
โพสต์เมื่อ 03 January 2006 - 10:23 PM
ปล.ไม่ควรเลย ที่ท่านจะนำมาตั้งเป็นประเด็นสนทนาอย่างเปิดเผย ในที่สาธารณะเช่นนี้
#37
โพสต์เมื่อ 04 January 2006 - 01:01 AM
หากวิชาขั้นสูง ไม่มีการบันทึกเป็นตำรับตำรา ต่อไปในภายภาคหน้าวิชชาเหล่านี้จะสูญสลายหายไปได้ครับ การที่มีคนรู้เห็นหรืออ่านไปพบ หรือได้ยินเรื่องราวมากเท่าใดก็เท่ากับว่าเขาเหล่านั้นได้รู้เหลี่ยมคูของมารด้วยปัญญามนุษย์บ้างแล้ว เมื่อคนทั้งหลายทราบถึงความร้ายกาจของมาร 5 ฝูงมากเท่าใดก็จะได้เริ่มปฏิบัติตนเพื่อก้าวเข้าสู่การปราบมารที่แท้จริงในอนาคตครับ และถ้าแม้นว่ายุคใดจะไม่มีคนเข้าใจในวิชาขั้นสูง แต่ก็จะเป็นประโยชน์ให้กับอนุชนคนรุ่นหลังๆ ที่มีบารมีพอจะได้ศึกษาค้นคว้าต่อยอดต่อไปครับ
ที่สำคัญถ้าวิชาขั้นสูง หรือเรื่องของพระพุทธเจ้าเป็นความลับจริงในระดับพระอริยเจ้าแล้วผมเชื่อว่าพวกเราทุกคนคงไม่มีโอกาสได้ยินได้ฟังคำสอนเหล่านี้แน่นอนครับ แต่การที่พวกเรายังได้ยินได้ฟังกันอยู่ก็เพราะพระอริยเจ้าทั้งหลายท่านต้องการเอาชนะอวิชชาคือความไม่รู้ ต้องการให้สัตว์โลกทั้งหลายได้รู้ได้เห็นธรรม ได้เห็นภัยในสังสารวัฏ และได้เห็นลู่ทางหรือหนทางที่พอจะเป็นไปได้ในการรื้อวัฏฏะสงสารครับ ดังนั้นท่านใดที่ปรารถนาบำเพ็ญบารมีระดับใดก็ตามผมขอยินดีโมทนาด้วยคนครับ หากธรรมใดที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงค้นพบขอธรรมนั้นจงบังเกิดกับผู้ที่ปรารถนาสาวกภูมิ และพุทธภูมิในอนาคตกาลเทอญ
ไม่สั่นคลอน ใสเหมือนน้ำที่ปราศจากตะกอน
#38
โพสต์เมื่อ 04 January 2006 - 09:11 AM
#39
โพสต์เมื่อ 04 January 2006 - 04:01 PM
จะมีใครบ้างได้รู้จักหลวงปู่สด จะมีใครบ้างได้รู้จักวิชชาธรรมกาย และจะมีใครบ้างได้ฝึกสมาธิทำใจให้ใสได้ถ้าไม่มีพุทธะผู้รู้ คอยบอก ชี้แนะ
ถ้าคนรู้จริงนิ่งเป็นใบ้ ในความหมายของคุณก้องฯ ผมคิดว่าน่าจะหมายถึงปัจเจกบุคคล มากกว่าครับ ถ้าคุณก้องฯปรารถนาปัจเจกบุคคล ก็ตามแต่อัธยาศัยเถอะครับ สาธุโมทนาด้วยครับ
ไม่สั่นคลอน ใสเหมือนน้ำที่ปราศจากตะกอน
#40
*ผู้มาเยือน*
โพสต์เมื่อ 04 January 2006 - 05:40 PM
#41
โพสต์เมื่อ 04 January 2006 - 05:59 PM
ปล.ทีหลังถ้าไม่เข้าใจความเห็นของผม ผมอนุญาตให้พี่ถามมาตรงๆ ก่อนเลยก็ได้ ไม่ว่ากันครับ
#42
โพสต์เมื่อ 05 January 2006 - 12:42 AM
#43
โพสต์เมื่อ 07 January 2006 - 03:25 PM
#44
โพสต์เมื่อ 07 January 2006 - 04:39 PM
#45
โพสต์เมื่อ 08 January 2006 - 12:42 PM
พอ. . .แล้วกับความรู้สึกที่ว่าอยากมีอยากเป็น
One word will suffice.
#46
โพสต์เมื่อ 28 January 2006 - 11:38 PM
1. อดีตที่ผิดพลาด ลืมให้หมด 2. บาปทุกชนิดไม่ทำเพิ่มเด็ดขาด 3. หมั่นนึกถึงบุญอย่างสม่ำเสมอ
4. บุญทุกบุญทำให้เข้มข้นทับทวี 5. ปฏิบัติธรรมให้เข้าถึงพระธรรมกาย
ขออนุโมทนาบุญด้วยนะค่ะ _/|\_ สาธุ สาธุ สาธุ

#47
โพสต์เมื่อ 28 January 2006 - 11:55 PM

แค่นี้ยังทำไม่ได้ แล้วจะไปปราบมารได้ไง