ทำยังไรดี
#1
โพสต์เมื่อ 20 June 2008 - 09:28 AM
แต่แม่เราไปชุมนุมกับ กลุ่ม........มิตร ด้วย
ควรบอกแม่อย่างไรดี
แนะนำหน่อยค่ะ
สาธุ
#2
โพสต์เมื่อ 20 June 2008 - 10:17 AM
ขอแนะนำว่า ยกเลิกสัญญา กับ ASTV แล้วหันมาติด DMC แทนค่ะ อิอิ
อ้ายที่อยากมันก็หลอก อ้ายที่หยอกมันก็ลวง ทำให้จิตเป็นห่วงเป็นใย.."
พระมงคลเทพมุนี (สด จันทสโร)
#3
โพสต์เมื่อ 20 June 2008 - 10:21 AM
คงต้องค่อยๆแนะนำคุณแม่ล่ะครับ ต่างคนต่างจิตใจ คิดต่างกัน แต่ถ้าดู DMC บ่อยๆ ก็จะไม่ได้ไปชุมนุมเพราะเวลาชุมนุมส่วนใหญ่จะค่ๆ ตรงกับโรงเรียนอนุบาลฝันในฝันพอดี...
#4
โพสต์เมื่อ 20 June 2008 - 10:53 AM
#5
โพสต์เมื่อ 20 June 2008 - 10:53 AM
เป็นเพราะสาเหตุ
๑ เรายังให้เหตุผลที่ดี ไม่มากพอ ท่านจึงยังไปอยู่
หรือ
๒ ไม่ว่าให้เหตุผลที่ดี มากมายอีกแค่ไหน ท่านก็ยังจะไป
ถ้าเป็นเพราะข้อ ๑ แบบนี้แก้ไขง่ายกว่า
เข้าใจว่าเจ้าของกระทู้
คงให้เหตุผลที่ดี เพื่อชี้คุณและโทษ ประโยชน์ ไม่ใช่ประโยชน์กับท่าน ไปแล้ว
ขอเสนอข้อคิดเพิ่มเติม เช่น
การร่วมชุมนุมเพื่อประท้วง อะไร ๆ ของมนุษย์ที่มีกิเลส
ก ) โดยมากเป็นเรื่องของผลประโยชน์ ทิฏฐิ อุดมการณ์
แค่เรื่องส่วนตัวของใครไม่กี่คน อย่างมากก็กับคนกลุ่มเดียว
ไม่ใช่ผลประโยชน์ของคนทั้งประเทศ
ไม่ใช่เพื่อสถาบันชาติ สถาบันกษัตริย์ อย่างภาพที่ถูกสร้างให้เข้าใจ
ซ้ำร้าย การร่วมชุมนุมเพื่อประท้วง จนรุนแรงเกินขอบเขตกฎหมาย และสามัญสำนึกที่ดีของมนุษย์
จะยิ่งทำร้ายและทำลาย สถาบันชาติ สถาบันกษัตริย์ เศรษฐกิจ การเมือง สังคม โดยรวมอีกด้วย
ข ) คนส่วนมากเป็นเพียงหมากเบี้ย เครื่องมือ เหยื่อล่อ
แต่มีคนเพียงไม่กี่คน คอยเดิน(เสี้ยม)หมากเกมส์นี้อยู่
เกมส์ที่มีแต่ สะสมความหมองใจ ก่อทั้งมโนกรรมและวีรกรรมที่เป็นอกุศล
เกมส์ที่ชนชั้นปกครองและนักการเมือง บงการชนชั้นล่าง
เกมส์ที่เสียทั้งเวลา สุขภาพกาย คุณภาพจิต
เกมส์ที่ทำลายทั้งระบบเศรษฐกิจ จิตสังคม
เกมส์ที่ คนไทยทั้งชาติแพ้
สำหรับคนเดินเกมส์ แม้เกิดความเสียหายต่อส่วนรวมมากแค่ไหน ก็ยากที่จะถอย
จึงยิ่งทำให้คนส่วนมากที่เป็นเพียงหมากเบี้ย เครื่องมือ เหยื่อล่อ ตกอยู่ในอันตรายมากเท่านั้น
ฯลฯ
สรุปว่า
- กิจกรรมการชุมนุมประท้วงและ สถานการณ์แบบนั้น ไม่เหมาะกับผู้สูงวัยอย่างแม่
สถานที่อโคจรอย่างนั้น ขนาดโค ยังไม่ไปเดินเลย คนดี ๆ อย่างแม่จะไปหรือจ๊ะ ?
- ยิ่งอยู่ในยาม ไม้ใกล้ฝั่ง อยู่ใกล้ปรโลกเข้าไปทุกวัน ๆ
คนพาล เป็นที่พึ่ง ไม่ได้หรอก เขายังประมาทกันอยู่เลย
แม่ควรใช้เวลาและร่างกายที่ยังแข็งแรง ไว้ทำแต่กุศลเป็นที่พึ่งของตนเองเถิดนะจ๊ะ
แต่ถ้าเป็นเพราะข้อ ๒
ก็ต้องแนะนำอย่างอื่นให้ท่านทราบ เช่น
กฎปลอดภัยไว้ก่อน
แม่จ๋า หนูรักแม่มากนะจ๊ะ แม่ควรอยู่ห่าง ๆแนวหน้า เพราะจะอันตรายมาก หากมีการปะทะกัน
ระวังเรื่องสุขภาพกาย
แม่ต้องเตรียมยาประจำตัว ห่วงใยสุขภาพของแม่ ก่อนของใคร
เพื่อให้สุขภาพร่างกายแข็งแรง ไว้ใช้ทำแต่ความดี
i F, เป็นไปได้ ในวันที่ดูเหตุการณ์จะรุนแรง ควรไปดูแลแม่ ด้วยตนเอง
ถ้าสถานการณ์รุนแรง ต้องดึงแม่ออกมาจากจุดเกิดเหตุซะ โดยวิธีใด ๆ
เพื่อพาแม่ที่รักที่สุดกลับบ้านอย่างปลอดภัย
ข้อคิดส่งท้าย
มนุษย์เราก็เป็นแบบนี้ พอใจเป็นหุ่นให้เขาเชิด
สุดท้าย ดีหรือชั่ว
ตนเองนั่นแหละที่ต้องเสวยกรรมและชดใช้วิบากกรรม ด้วยตนเอง
ดังนั้น จะคิด จะพูด จะทำอะไร
ควรถามตนเองด้วยว่า
ทำตามพุทโธวาท หรือ ทำตามการบงการของมนุษย์กิเลสหนา
คิดสักนิด พิจารณาสักหน่อยว่า
สิ่งที่ตน คิด พูด ทำนั้น พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงสรรเสริญหรือ ติเตียน
สุภาษิตปิดท้าย
ตื่นนอน ทุกเช้า
อาราธนา พระพุทโธเจ้า มาประทับในใจ
จะคิด จะพูด จะทำอะไร ก็ปรึกษาพระพุทธองค์
***
ขอให้บุญรักษา พระคุ้มครองประชาชนคนไทยทุกท่าน
ให้เหตุร้าย กลายเป็นดี สามัคคีกันสร้างความสงบสุขในประเทศ
เพื่อเทิดไท้ องค์ราชัน มหาราชในดวงใจปวงชนชาวไทย
ด้วยความปรารถนาดีครับ
#6
โพสต์เมื่อ 20 June 2008 - 11:05 AM
(เราเพียงอยากเอาเรื่องที่เกิดกับตัวเองจริงๆ มาเป็นอุทาหรณ์ เพื่อเตือนสติเท่านั้นเอง)
ปัญญาจะเกิด เมื่อมีเวลาหยุดนิ่ง
ถ้าไม่หยุด ปัญญาก็ไม่เกิด
ประดุจ โจรองคุลีมาลย์ ผู้ไม่เคยหยุดนิ่ง วิ่งไล่ไขว่คว้า ฆ่าคนเป็นผักปลา..
ก็ด้วยเหตุอุบายของผู้เป็นอาจารย์ ใช้องคุลีมาลย์เป็นเครื่องมือ
ก็เพราะต้องการให้องคุลีมาลย์ไปตาย..
ต่อเมื่อได้พบพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ได้หยุดนิ่ง ปัญญาจึงเกิด..
ครั้งนึง..
เราเดินอยู่หลังรถของผู้นำการชุมนุมคนสำคัญในพฤษภาทมิฬ
หลังจากนั้นเหตุการณ์เลวร้ายอย่างคาดไม่ถึง.. เรากลับบ้านไม่ได้..
ต้องนอนหลบลูกกระสุน อยู่บนปืนใหญ่บนป้อมพระกาฬ
เช้าโดนสั่งให้หมอบราบบนพื้นถนน.. แต่เราแอบคลานต่ำออกมาจากที่นั้นได้
แอบหนีลัดเลาะมาขึ้นรถเมล์สาย 60 กลับมาถึงบ้านได้..
ทุกวันนี้.. เราผ่านไปแถวนั้นทีไร.. จะรู้สึกสะเทือนใจอย่างมาก
เพราะเพื่อนเราหลายคน ไม่สามารถกลับบ้านได้เหมือนเรา..
บางคราว.. เรารู้สึกเหมือนผิด.. ที่ทิ้งคนเหล่านั้นมา..
แต่บางคราว.. เรารู้สึกว่าเราโชคดี.. ที่หนีกลับมาสู่อ้อมกอดของแม่ได้..
เพราะต่อให้เราอยู่ต่อ.. อย่างมากก็เป็น "คนสาปสูญ" อีกคนนึงเท่านั้น..
หลังจากวันนั้นถึงวันนี้.. ผู้นำทั้ง 2 ฝ่ายล้วนลอยนวล..
แต่หลายๆคน หายสาปสูญ..
จากวันนั้นถึงวันนี้.. ใครจะชุมนุม.. เชิญ..
บอกคุณแม่ว่า อย่าเอาตัวไปเสี่ยงเลย
เพราะท่านผู้นำในครั้งนี้.. ก็คือคนเดียวกันกับที่เราเดินตามรถของท่านในครั้งนั้น..
พ่อแม่พี่น้องและหมู่ญาติของผู้ที่หายสาปสูญไป.. ร่ำไห้น้ำตาเป็นสายเลือด
แต่ท่านผู้นั้นช่วยอะไรได้บ้างเล่า.. ? เห็นๆกันอยู่..
คงได้แต่ลอยนวล.. หลบเร้นกายา.. รอสร้างเหตุการณ์ครั้งใหม่หรือ.. ?
อันนี้เราไม่รู้นะ.. เป็นแค่คำถามที่คงต้องคิดกันต่อเอง..
เอาเวลามาอยู่กับครอบครัวดีกว่า
ให้โอกาสตัวเองหยุดนิ่ง วางใจเป็นกลาง
แล้วลองหยุดศึกษาข้อมูลให้ละเอียดกว่านี้
แล้วจะไม่ตกเป็นเครื่องมือของใครง่ายๆ..
(บอกแล้วว่าเราอายุมาก เชื่อยัง.. อิอิ)
ที่สุดแห่งธรรมนั้นเป็นเป้าหมาย..
โลกจะสุขสันต์เมื่อท่านเข้าถึงธรรมกาย..
สว่างไสวทั่วทุกธาตุธรรม..
#7
โพสต์เมื่อ 20 June 2008 - 11:41 AM
#8
โพสต์เมื่อ 20 June 2008 - 11:46 AM
1. แม่จะอยู่ห่างจากเหตุการณ์ไปโดยอัตโนมัติ อย่างน้อย 7 วัน
2. แม่จะได้บุญจากการปฏิบัติธรรม
3. ใจของแม่จะเกาะเี่กี่ยวอยู่ในบุญ ทำให้จิตใจผ่องใส โปร่งเบาสบาย ลืมเรื่องร้ายๆ ไปเสีย
4. แม่อาจได้เข้าถึงธรรม หากกำลังบุญถึง เมื่อนั้น แม่จะเข้าใจทุกอย่างได้เอง
#9
โพสต์เมื่อ 20 June 2008 - 11:50 AM
ไม่แน่ใจว่าใช่คนเดียวกับที่ร้องเพลงในdmc รึป่าวครับ
ผมรู้สึกคุ้นๆว่าน่าจะใช่นะครับ กระทู้นี้ไม่มีประโยชน์อันใดแค่อยากรู้ว่าป็นคนเดียวกันรึป่าวครับ
ใครมีข้อมูลก็บอกหน่อยนะครับ
สาธุครับ
#10
โพสต์เมื่อ 20 June 2008 - 03:11 PM
#11
โพสต์เมื่อ 20 June 2008 - 04:27 PM
1. เรื่องอะไรก็ตามที่ทำแล้ว ร้อนทั้งเรา ร้อนทั้งเขา เรื่องนั้นไม่ควรทำ
2. เรื่องอะไรก็ตามที่ทำแล้ว เย็นเขา แต่ร้อนเรา เรื่องนั้นก็๋ไม่ควรทำ
3. เรื่องอะไรก็ตามที่ทำแล้ว เย็นเรา แต่ไปร้อนเขา เรื่องนั้นก็ไม่ควรทำ
4. เรื่องอะไรก็ตามที่เย็นทั้งเรา เย็นทั้งเขา เรื่องนั้นจึงจะควรทำครับ
#12
โพสต์เมื่อ 20 June 2008 - 04:34 PM
เรามาคุยเรื่องเย็นๆ สบายๆ น่าจะดีกว่าครับ
#13
โพสต์เมื่อ 20 June 2008 - 04:41 PM
(๒) "ข้างใน" "หลังฉาก" พวกผู้นำทั้งสองฝ่ายก็ชนแก้วแชมเปญกัน และกำลังต่อรองผลประโยชน์(ตัดแบ่งเค็ก)กันว่าใครจะได้มากน้อยกว่ากัน ตามสถานการณ์ได้เปรียบเสียเปรียบเพลี้ยงพลั้งของบริวารทั้งสองฝ่าย ที่กำลังฆ่ากันตายอยู่ในแนวหน้า
(๓) ศึกษาประวัติศาสตร์โลก แล้วจะไม่เป็น "เหยื่อซ้ำซาก" , เหมือนกันทุกยุคสมัย
(๔) จงจำไว้ว่า ผู้นำทั่วโลกทุกยุคสมัยทุกฝ่าย "ไม่เคยรัก" บริวารประชาชน , พวกเขาแค่ "หลอกใช้"
(๕) บอกแม่ว่า "จงรักตนเอง ทำพระนิพพานให้แจ้ง" และ "จงรักครอบครัวดีกว่า"
(๖) อันกำกง กำเกวียน ย่อมเวียนผัน
หมุนตามกัน เป็นวง อย่าสงสัย
ชีวิตคน วนเวียน ย่อมเปลี่ยนไป
อุปมัย กำเกวียน ที่เวียนวน
"แต่ตัวเรา เป็นคน ไม่ใช่เกวียน
อย่าวนเวียน วัฏฏะ จะหมองกมล"
(๗) พิมพ์ความเห็นทุกคนใส่กระดาษให้แม่อ่าน แล้วแม่จะรู้ว่า ขนาดคนอื่นยังห่วงแม่มากขนาดนี้ แล้วลูกจะห่วงแม่มากขนาดไหน
(๘) ขอให้ได้แม่คนดีคนเดิมกลับบ้านโดยปลอดภัย
(๙) "อุดมการ มารหลอกใช้ ใส่มายา
ต้องข้าวปลา ลูกสามี สิของจริง"
(๑๐) ทำทีวีข้างล่างให้เสีย แม่จะไม่ได้ดูข่าวการเมือง ส่วนหลานก็ไปดู DMC ที่ห้องนอน และงดรับหนังสือพิมพ์
จบข่าว DNN. รายงานข่าวโดย ลุงDJ.
(ปล. ช่วยแก้ไขหัวข้อกระทู้
จะเอา "ยังไง" หรือ "อย่างไร" ก็ได้
ภาษาไทยไม่มี "ยังไร")
#14
โพสต์เมื่อ 20 June 2008 - 05:41 PM
#15
โพสต์เมื่อ 20 June 2008 - 06:20 PM
แต่เสนอ อริยะขัดขืน ฟังแล้วงงๆ
#16
โพสต์เมื่อ 20 June 2008 - 06:30 PM
#17
โพสต์เมื่อ 21 June 2008 - 12:12 PM
#18
โพสต์เมื่อ 24 June 2008 - 06:41 AM
ไม่รบก็ไม่ได้ ไม่รบก็ปกครองกันไม่ได้ ปกครองกันไม่ได้็ก็้ทำมาหากินไม่ได้
ทำมาหากินไม่ได้ ก็ไม่มีอาหารหล่อเลี้ยงกายมนุษย์
ไม่มีอาหาร กายมนุษย์ก็แตกดับ สร้างบารมีไม่ได้
หากผู้มีมิจฉาทิฏฐิชนะคนไทยจะ"เศร้า"ไป 1000 ปี
หากผู้มีสัมมาทิฏฐิชนะคนไทยจะ"สุข" ไป 1000 ปี
ศึกนี้สำคัญนัก เพราะ ตัดสินชะตากรรมของเราและลูกหลาน
ว่าจะอยู่เป็น"ไท" รึ "ทาส" ตลอดไป
พวกเราอยู่ท่ามกลางสงครามกัน แต่เราไม่เคยรู้ตัวกันเลย
เป็นสงครามที่ไร้ศาสตราวุธ
มันเป็นสงครามน้ำลาย สงครามข้อมูลข่าวสาร และสงครามจิตวิทยา
เพราะบุญกุศลที่พวกเราทำมาข้ามภพข้ามชาติ ทำให้เราเกิดมาไม่ต้องไปทำปาณาติบาตกันอีก
แต่"โลกไม่เคยว่างเว้นจากสงคราม" เขาปราบปรามกันอยู่
หากเรารู้สึกรำคาญรึเดือดร้อนก็คิดซะว่า ดีกว่าที่เราจะต้องไปรบในสงครามจริงๆ(เหมือนกับที่ทำมาทุกชาติ)
เราไม่ต้องไปถืออาวุธรบกับใครอีกแล้ว เป็นผู้ที่มีมืออันไม่แปดเปื้อนอีกต่อไป
ที่เป็นเช่นนี้ได้ก็เพราะหนี้บุญคุณขององค์มหาปูชนียาจารย์ท่านนั่นแหล่ะครับ
แค่หล่อด้วยทองคำมันยังน้อยไปซะด้วยซ้ำ
แต่นี่ไม่ใช่สงครามที่แท้จริง สงครามที่แท้จริงอยู่ภายในจิตใจของเราต่างหาก
หากเราชนะสงครามภายในได้ ย่อมมีผลกระทบต่อสงครามภายนอกแน่นอน
กระแสของการแผ่เมตตาย่อมไปกระทบกับกระแสแห่งความเกลียดชังได้อย่างแน่นอน
หากเราอยากรู้ว่าฝ่ายใดนำอยู่อย่างได้เปรียบ
ก็ลองถามตัวคุณเองสิครับว่า ตัวเราชนะใจเราสักกี่ครั้งเชียว
#19
โพสต์เมื่อ 24 June 2008 - 07:28 AM
หากคุณอยากชวนคุณแม่ของคุณไม่ให้ไปร่วมกับม็อบ
คุณก็ต้องใช้อาวุธที่เขาใช้กันในสงครามนี้สิครับ นั่นคือ
ในส่วยหยาบ
-น้ำลาย(คารม)ของตัวคุณเอง ปิยวาจา พูดกรอกหูทุกวัน ใช้ปัญญาประกอบบนพื้นฐานของสมดุลแห่งเมตตาและอุเบกขาธรรม ดังคำที่ว่า คนฉลาดพูดหนึ่งคำก็ฆ่าคนได้ พูดอีกคำยังช่วยคนได้เลย "ฉลาดพูด"
-ข้อมูลข่าวสาร ที่ถูกต้อง (เน้น) ดังพุทธพจน์ ที่ว่า พึงชนะคนพูดเท็จด้วยความจริง หาข้อมูลมาหักล้างข้อมูล ทุกข่าวสารมีเหตุที่มาของมันและมีผลที่จะตามมาเสมอ เราควรไปศึกษาค้นคว้ามา
-จิตวิทยา คิดว่า จขกท คงไม่มีข้อนี้ ไม่งั้นคงชนะไปแล้ว
การที่คุณแม่ของเราท่านไปไฮปาร์คที่นั่นได้ก้เพราะ น้ำลายจำนวนมาก ข้อมูลที่กรอกหูท่าน และกระแสจิตวิทยามวลชนชั้นสูง เมื่อเราเข้าใจ เราก็แก้ได้
การที่เราต้องมาเจอแบบนี้ก็เพราะ ปัญญาบารมีเรายังน้อย ลองคิดสิ ิมโหสถบัณฑิตเป็นใคร พูดแล้วพระราชายังต้องฟังเลย เราจะได้ขยันสั่งสมปัญญาบารมี ขยันเรียนให้เก่งๆ ไม่เกียจคร้าน รู้จักช่างสังเกต จับผิดคนพูดเท็จได้ ถ้าเราฉลาด ช่วยตัวเองได้ยังช่วยคนรอบข้างได้เลย
ถ้าจะให้ดี เราก็จบปริญญาเอกรัฐศาสตร์ นิติศาสตร์ จิตวิทยามวลชนฯ ด้วยเลยรับรอง ถึงท่านไม่เชื่อเราแต่ท่านก็้ฟังเราบ้างแน่ๆ อย่างน้อยก็เกรงใจล่ะ
ในส่วนละเอียด
ชวนท่านไปรบที่สงครามภายใน ไม่ดีกว่ารึครับ
ท่านเองก็เป็นผู้มีบุญญาธิการอยู่แล้ว ให้บุญในตัวท่านสอนท่านเองเลย
แค่ขยันชวนท่านแผ่เมตตาให้บ่อยครั้งขึ้น ถี่ขึ้น กระแสความรักเพื่อนมนุษย์ในตัวของท่านก็จะไปขัดเกลากระแสแห่งความเกลียดชังเอง
ถึงอย่างไร ไม่ว่าฝ่ายไหนมันก็คนไทยด้วยกัน ร่วมทุกข์เกิด แก่ เจ็บ ตาย ด้วยกันแท้ๆ
หมั่นชวนท่านไปทำความดี ท่านจะได้ไม่เอาเวลาไปทำอย่างอื่นไง
ชิงช่วงก่อนที่จะถูกช่วงชิง
#20
โพสต์เมื่อ 30 June 2008 - 08:55 AM