ไปที่เนื้อหา


รูปภาพ
* * * * * 1 คะแนน

.... ความหมาย ของ อสงไขย , กัป , มหากัป ....


  • คุณไม่สามารถตั้งกระทู้ใหม่ได้
  • กรุณาลงชื่อเข้าใช้เพื่อตอบกระทู้
มี 12 โพสต์ตอบกลับกระทู้นี้

#1 foox

foox
  • Members
  • 41 โพสต์

โพสต์เมื่อ 03 November 2006 - 07:39 AM




nerd_smile.gif


ความหมาย ของ อสงไขย , กัป , มหากัป


( ๑ อันตรกัป เท่ากับระยะเวลาที่อายุของมนุษย์ ไขลงจากอสงไขยปีจนถึง ๑๐ ปี แล้ว
ไขขึ้นจาก ๑๐ ปี จนถึงอสงไขยปีอีก ครบ ๑ คู่ เรียกว่า ๑ อันตรกัป )
อสงไขยปีเท่ากับเลข ๑ ตามด้วยเลขศูนย์ ๑๔๐ ตัว


๑ มหากัปประกอบด้วย ๔ ช่วง ของจักรวาล


๑.๑ สังวัฏฏ (ช่วงที่กำลังถูกทำลาย ) เป็นเวลา ๖๔ อันตรกัป
๑.๒ สังวัฏฏฐายี ( เป็นช่วงเวลาที่มีแต่ความว่างเปล่า หลังจากจักรวาลถูกทำลาย ) เป็นเวลา ๖๔ อันตรกัป
๑.๓ วิวัฏฏ ( กำลังก่อตัวขึ้นของจักรวาล ) เป็นเวลา ๖๔ อันตรกัป
๑.๔ วิวัฏฏฐายี (จักรวาลที่ตั้งขึ้นใหม่เรียบร้อยเป็นปกติตามเดิม) เป็นเวลา ๖๔ อันตรกัป


..... ดังนั้น ๑ มหากัป จึงเท่ากับ ๒๕๖ อันตรกัป .....


เพราะฉะนั้น ๑ มหากัปจึงมีการทำลาย เพียง ๑ ครั้ง


นับตั้งแต่จักรวาลถูกทำลาย จนกระทั่งเกิดใหม่ และพินาศอีกครั้งจึงเป็น
เวลา ๔ อสงไขยกัป หรือ ๒๕๖ อันตรกัป นับเป็น ๑ มหากัป


สรุป

๑ รอบอสงไขยปี เป็น ๑ อันตรกัป
๖๔ อันตรกัป เป็น ๑ อสงไขยกัป
๔ อสงไขยกัป เป็น ๑ มหากัป


** ( อสงไขยปี กับ อสงไขยกัป จะต่างกันตามที่กล่าว ) **


...ส่วนคำว่า " กัป " หมายถึงเวลาที่ยาวนานนับประมาณไม่ได้ เปรียบเหมือน
มีภูเขาแท่งศิลาทึบ กว้าง ยาว สูง อย่างละ ๑ โยชน์ ( ประมาณ ๑๖ กิโลเมตร )
ครบร้อยทิพย์ปี มีเทวดาเอาผ้าทิพย์ที่บางเบาราวกับควันไฟมาลูบภูเขานี้ ๑ ครั้ง
เมื่อใดภูเขาสึกกร่อนจนเรียบเสมอพื้นดิน เรียกว่า ๑ กัป


คำว่า " กัป " กับ " มหากัป " ต่างกันดังที่กล่าว


ในมหากัปหนึ่งๆจะมีพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเกิดขึ้น ๑ พระองค์
๒ พระองค์ ๓ พระองค์บ้าง แต่ไม่เกิน ๕ พระองค์ มหากัปที่ไม่
มีพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเกิดขึ้นเลยก็มีเรียกว่า สุญกัป


มหากัปของเรานี้จะมีพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเกิดขึ้น ๕ พระองค์
เรียกว่า ภัทรกัป ซึ่งเป็นกัปที่เจริญที่สุด


พระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ทรงอุบัติขึ้นแล้วคือ

๑. สมเด็จพระกกุสันธะพุทธเจ้า
๒. สมเด็จพระโกนาคมนะพุทธเจ้า
๓. สมเด็จพระกัสสปะพุทธเจ้า
๔. สมเด็จพระสมณโคดมพุทธเจ้า
และจักเสด็จอบัติตรัสเป็นสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นองค์สุดท้าย
ในภัทรกัปนี้ ทรงพระนามว่า
๕.สมเด็จพระศรีอริยเมตไตรยพุทธเจ้า


ตอนนี้เราอยู่ในช่วงที่เรียกว่า กัปไขยลง คือทุก ๑๐๐ ปี อายุมนุษย์จะลด
ลง ๑ ปี อายุของพวกเราจะลดลงเรื่อยจนไปถึง ๑๐ ปี แล้วสูงขึ้นเรื่อยๆ
ใหม่ จนกระทั่งอายุมนุษย์มีกำหนด ๘ หมื่นปี สตรีมี่อายุ ๕๐๐ ปี จึงมี
ครอบครัว

เวลานั้นมีความทุกข์เรื่องโรคภัยไข้เจ็บอยู่เพียง ๓ อย่าง คือ ความหิว
ความง่วง และความแก่ ผู้คนยังทำความดีเพิ่มขึ้น อายุยิ่งทวีตาม จนกระ
ทั่งอายุอสงไขยปี

ในสมัยมนุษย์มีอายุอสงไขยปี มองเห็นความแก่ความตายได้ยาก ความ
เจ็บไม่มี เลยทำให้เกิดความประมาท ทิฎฐิมานะก็เกิดอีก เวียนเป็นวัฎฎ
จักรของมนุษย์ในยุคต้นกัปใหม่ เมื่อมีกิเลสเกิด อายุมนุษย์ก็เริ่มลดลงกระ
ทั่งเหลือ ๘ หมื่นปี เมื่อนั้นพระศรีอริยเมตไตรยสัมมาสัมพุทธเจ้าจะเสด็จ
มาอุบัติขึ้นในโลก อันเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าองค์ที่ ๕ องค์สุดท้ายใน
ภัทรกัปนี้

.......ช่วงระยะเวลาระหว่างพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์หนึ่งไปยัง
พระสัมมาสัมพุทธเจ้าอีกพระองค์หนึ่งเรียกว่า หนึ่งพุทธธันดร

wacko.gif

ไฟล์แนบ

  • แนบไฟล์  peak_227.jpg   6.61K   17 ดาวน์โหลด


#2 Peacefulness ™

Peacefulness ™
  • Members
  • 1145 โพสต์
  • Gender:Male
  • Location:On the planet Earth.
  • Interests:Almost everything that helps me to become better and better; especially, the Grestest Dharma of the Lord Buddha

โพสต์เมื่อ 03 November 2006 - 08:06 AM


QUOTE
...๑ อันตรกัป เท่ากับ ระยะเวลาที่ อายุของมนุษย์ ไขลงจากอสงไขยปีจนถึง ๑๐ ปี แล้ว ไขขึ้นจาก ๑๐ ปี จนถึงอสงไขยปีอีก ครบ ๑ คู่ เรียกว่า ๑ อันตรกัป...___By ท่าน 'foox'
นานๆที ข้าพเจ้าถึงจะได้เห็น ท่าน foox ได้โพสท์ตั้งกระทู้นะครับ happy.gif smile.gif laugh.gif

ตามที่ข้าพเจ้าได้เคยศึกษาจากหนังสืออยู่บ้าง (ความสำเร็จที่มาจาก พระพุทธเจ้า โดย ท่านอาจารย์ ศิริพงษ์ อัครศรีประยุกต์ คลิ๊กที่นี้) ข้าพเจ้าได้เข้าใจว่า 1 กัลป์ จะเท่ากับ 6,420 ล้านปี (ในภพภูมิโลกมนุษย์เรา)

ข้าพเจ้า ใคร่ขออนุญาต ท่าน foox ในการเพิ่มเติมข้อมูลจากกระทู้ก่อนหน้านี้นะครับ เผื่อจะได้เป็นประโยชน์แก่ท่านผู้สนใจ ไม่มากก็น้อยจ้า smile.gif laugh.gif happy.gif

QUOTE
อสงไขย เป็น หน่วยนับ อย่างที่ทางวิทยาศาตร์ใช้ กิโล เมกะ กิกะ ฯลฯ
ตามความหมายของคุณ 10^140 (10 ยกกำลัง 140 หรือ 1 กับ จำนวนศูษย์อีก 140 ตัว )

กัลป์ ก็คือ อสงไขยกัลป์ นั้นเองครับ ดังนั้น อสงไขย ไม่ใช่หน่วยเวลา เป็นเพียง prefix (คำที่ถูกใช้เติมหน้าคำนามต่างๆ ซึ้งตรงกันข้ามกับ suffix ซึ้งก็คือคำที่ถูกใช้เติมหลังคำนามต่างๆ โดยทั้งนี้ เพื่อเปลี่ยนหรือเพิ่มเติมความหมายของคำนามนั้นๆ said me!!!) ที่นำมาใช้เท่านั้น___By ท่าน 'yasavanso'หมายเหตุ ข้าพเจ้าได้แก้ไขเพิ่มเติมเพียงเล็กน้อยเท่านั้นครับ
ที่มา: คลิ๊กที่นี้ ความคิดเห็นที่ 3

[attachmentid=10039]

QUOTE
...สำหรับระยะเวลาหนึ่งกัปนั้น อุปมาว่า มี ภูเขาศิลาแท่งทึบ กว้าง 1 โยชน์ ยาว 1 โยชน์ สูง 1 โยชน์ 1 โยชน์ประมาณเท่ากับ 16 กิโลเมตร ทุกๆ ร้อยปี เทวดานำผ้าที่บางราวกับควันไฟมาลูบที่ยอดเขานี้ครั้งหนึ่ง กระทำเช่นนี้เรื่อยไป ตราบจนภูเขาศิลานี้ราบเรียบเสมอผิวดิน เมื่อนั้นนับเป็น เวลา 1 กัป
ที่มา: คลิ๊กที่นี้

หน่วยต่างๆ ที่ควรทราบ คลิ๊กที่นี้

กำหนดให้ (กำหนดให้เป็นดังนี้ เพื่อสะดวกแก่การคำนวนต่อไปจากนี้) 1 กัลป์ = 6,420 ล้านปี และ
1 อสงไขยกัลป์ = 1 กับ จำนวนศูษย์อีก 140 ตัว กัลป์

และจากที่ ข้าพเจ้าได้ลองพยายามที่จะ ศึกษา เรียนรู้ และสังเกตุ จากเหล่า ท่านกัลยาณมิตรทั้งหลายๆ ส่วนมากแล้ว จะเห็นหลายท่านนิยมเขียนเพียงแต่ อสงไขย เท่านั้น จะไม่นิยมเขียน อสงไขยกัลป์

ดังนั้น (ตามความเข้าใจของข้าพเจ้าเองแล้ว)

1 อสงไขย (กัลป์) = 6,420 ล้านปี กับ จำนวนศูษย์อีก 140 ตัว หรือ
1 อสงไขย (กัลป์) = 642 กับ จำนวนศูษย์อีก 147 ตัว ปี (642 * 10^147 หรือ 642 คูณ 10 ยกกำลัง 147) หรือ
1 อสงไขย (กัลป์) = 642 * 10^147 ปี

เพราะฉะนั้นแล้ว

4 อสงไขยกัลป์ = 4* (642 กับ จำนวนศูษย์อีก 147 ตัว) = 2,568 กับ จำนวนศูษย์อีก 147 ตัว หรือ
4 อสงไขยกัลป์ = 2,568 * 10^147 ปี

4 อสงไขย กับอีก หนึ่งแสนกัป = { (2,568 * 10^147) + [ 100,000 * (6,420) ] } ปี หรือ
4 อสงไขย กับอีก หนึ่งแสนกัป = { (2,568 * 10^147) + (642 * 10^6) } ปี หรือ
4 อสงไขย กับอีก หนึ่งแสนกัป = มากกว่าจำนวน 2,568 * 10^147 ปี กับอีก 642 * 10^6 ปี

8 อสงไขย กับอีก หนึ่งแสนกัป = 2 * { (2,568 * 10^147) + [ 100,000 * (6,420) ] } ปี หรือ
8 อสงไขย กับอีก หนึ่งแสนกัป = 2 * { (2,568 * 10^147) + (642 * 10^6) } ปี หรือ
8 อสงไขย กับอีก หนึ่งแสนกัป = มากกว่าจำนวน 2,568 * 10^147 ปี กับอีก 642 * 10^6 ปี ถึง สองเท่า

..4 อสงไขย กับอีก หนึ่งแสนกัป = 4 * { (2,568 * 10^147) + [ 100,000 * (6,420) ] } ปี หรือ
16 อสงไขย กับอีก หนึ่งแสนกัป = 4 * { (2,568 * 10^147) + (642 * 10^6) } ปี หรือ
16 อสงไขย กับอีก หนึ่งแสนกัป = มากกว่าจำนวน 2,568 * 10^147 ปี กับอีก 642 * 10^6 ปี ถึง สี่เท่า


QUOTE
QUOTE
1) อยากทราบว่า กัป แบ่งเป็น 2 ประเภท มีอะไรบ้าง แตกต่างกันอย่างไร
สุญญกัป คือ มหากัปที่ไม่มีองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามาเสด็จอุบัติแม้แต่พระองค์เดียว
อสุญญกัป คือ มหากัปที่มีองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามาเสด็จอุบัติ

QUOTE
2) กัปที่มีพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบังเกิดขึ้น มีกี่ชนิด ชื่อว่าอะไรบ้าง แตกต่างกันอย่างไร
1. สารกัป มีพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จอุบัติ เพียง 1 พระองค์
2. มัณฑกัป มีพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จอุบัติ 2 พระองค์
3. วรกัป มีพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จอุบัติ 3 พระองค์
4. สารมัณฑกัป มีพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จอุบัติ 4 พระองค์
5. ภัทรกัป (ภัททกัป) มีพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จอุบัติ 5 พระองค์...___By ท่าน 'MiraclE...DrEaM' (I cAn AlwayS MakE U SmilE)
ที่มา: คลิ๊กที่นี้ ความคิดเห็นที่ 15

แบบทดสอบเรื่อง กัป โพสต์กระทู้โดย By ท่าน 'MiraclE...DrEaM' (I cAn AlwayS MakE U SmilE) คลิ๊กที่นี้

ที่มา: คลิ๊กที่นี้ ความคิดเห็นที่ 6

QUOTE
สัมมาสัมพุทธเจ้ามี 3 ประเภท ตามระยะเวลาการบำเพ็ญบารมี คือ
1. พระพุทธเจ้าผู้เป็น ปัญญาธิกะ บำเพ็ญบารมี 4 อสงไขย กับอีก หนึ่งแสนกัป
2. พระพุทธเจ้าผู้เป็น สัทธาธิกะ บำเพ็ญบารมี 8 อสงไขย กับอีก หนึ่งแสนกัป
3. พระพุทธเจ้าผู้เป็น วิริยาธิกะ บำเพ็ญบารมี 16 อสงไขย กับอีก หนึ่งแสนกัป

ถูกต้องแล้ว ระยะเวลานี้เป็นระยะเวลานับตั้งแต่ได้รับพุทธพยากรณ์ ดัง พระสัมมาสัมพุทธเจ้าของเรา ในพระสูตร ทีปังกรณ์พุทธวงศ์ ขณะนั้นพระองค์เป็น สุเมธดาบสโพธิสัตว์ ได้รับพุทธพยากรณ์ในสมัย พระทีปังกรณ์พุทธเจ้า เป็นพระชาติแรกที่ได้รับพยากรณ์เป็น นิยตโพธิสัตว์ นับแต่นั้น มาจนกระทั่งมาตรัสรู้เป็น พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ใช้เวลา 4 อสงไขย กับอีก หนึ่งแสนกัป

แต่ ถ้ารวม การสร้างบารมีของพระโพธิสัตว์เพื่อเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ตั้งแต่ตั้ง ความปราถนาในใจ เปล่งวาจา แล้วจึงได้รับพุทธพยากรณ์ใช้ระยะเวลาดังนี้


1. ปัญญาธิกพุทธเจ้า: ปราถนาในใจ ...7 อสงไขย เปล่งวาจา ...9 อสงไขย จนกระทั้ง ได้รับพยากรณ์ต้องให้ครบอีก 4 อสงไขย กับอีก หนึ่งแสนกัป :
[รวมทั้งหมดเป็น 20 อสงไขย กับอีก หนึ่งแสนกัป]

2. สัทธาธิกะพุทธเจ้า: ปรารถนาในใจ 14 อสงไขย เปล่งวาจา 18 อสงไขย จนกระทั้ง ได้รับพยากรณ์ต้องให้ครบอีก 8 อสงไขย กับอีก หนึ่งแสนกัป :
[รวมทั้งหมดเป็น 40 อสงไขย กับอีก หนึ่งแสนกัป]

3. วิริยาธิกะพุทธเจ้า: ปรารถนาในใจ 28 อสงไขย เปล่งวาจา 36 อสงไขย จนกระทั้ง ได้รับพยากรณ์ต้องให้ครบอีก 16 อสงไขย กับอีก หนึ่งแสนกัป :
[รวมทั้งหมดเป็น 80 อสงไขย กับอีก หนึ่งแสนกัป]

อ้างอิงจาก คำสอนเรื่องการสร้างบารมีของวัดพระธรรมกาย .หน้าที่ 28

ช่วงแรกยังเป็น อนิยตโพธิสัตว์ ต่อเมื่อได้รับพุทธพยากรณ์ จากพระพุทธเจ้าพระองค์ใดพระองค์หนึ่ง จึงเปลี่ยนเป็น นิยตโพธิสัตว์___By ท่าน 'ศูนย์กลางกาย' หมายเหตุ ข้าพเจ้าได้แก้ไขเพิ่มเติมเพียงเล็กน้อยเท่านั้นครับ
ที่มา: คลิ๊กที่นี้ ความคิดเห็นที่ 8

QUOTE
พุทธะ ปัจเจกพุทธะ อนุพุทธะ

อันหมายความว่า คำว่า พุทธะ นั้น มิได้มีเฉพาะ พระพุทธเจ้าผู้พระบรมศาสดา ของเราทั้งหลายเพียงองค์เดียว เพราะฉะนั้น จึงได้มีแสดงถึงพระพุทธเจ้าทั้งหลายในอดีตเป็นอันมากในกัปกัลป์นั้นๆ และแม้ว่า พระสาวกคือศิษย์ของพระพุทธเจ้า ซึ่งได้ฟังธรรมะที่พระพุทธเจ้าตรัสสั่งสอน และได้รู้ตาม ละกิเลสกองทุกข์ได้ตาม ก็เรียกว่า อนุพุทธะ แปลว่าพระผู้ตรัสรู้ตาม และ ได้มีแสดงถึงพระพุทธเจ้าในสมัย ว่างศาสนา ที่ท่านได้ค้นคว้าปฏิบัติธรรม ได้พบทางที่เป็น มัชฌิมาปฏิปทา และได้ตรัสรู้อริยสัจจ์ทั้ง ๔ นี้ ทำกิเลสและกองทุกข์ให้สิ้นไป ด้วยองค์ท่านเองไม่ได้ฟังจากใคร แต่ว่า เมื่อตรัสรู้แล้วก็ไม่ได้สอนใคร จึงไม่เกิดเป็นศาสนาของท่านขึ้น เรียกว่าท่านไม่ตั้งศาสนาขึ้น ซึ่งเรียกว่า ปัจเจกพุทธะ หรือเราเรียกกันว่า พระปัจเจกโพธิ์ คือพระผู้ตรัสรู้เพียงพระองค์เดียว คือจำเพาะพระองค์ ไม่สอนใครไม่ตั้งศาสนาขึ้น ก็เป็นพระพุทธะอีกจำพวกหนึ่ง

จึงรวมพระพุทธะได้ ๓ จำพวก

พระสัมมาสัมพุทธะ คือ พระพุทธะผู้ตรัสรู้เองชอบแล้ว สั่งสอนผู้อื่นให้รู้ตาม ตั้งพุทธศาสนา และพุทธบริษัทขึ้นในโลก ดังเช่นพระพุทธเจ้าผู้พระบรมศาสดาของเราทั้งหลาย
พระปัจเจกพุทธะ คือ พระพุทธะผู้ตรัสรู้เฉพาะพระองค์เดียว ไม่สั่งสอนใคร ไม่ตั้งพุทธศาสนา และพุทธบริษัทขึ้น
พระอนุพุทธะ คือ พระสาวกของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าซึ่งเป็นจำพวกที่ ๑ ซึ่งได้ฟังธรรมของพระองค์แล้วได้ตรัสรู้ตาม ทำกิเลสและกองทุกข์ให้สิ้นไปตาม
ที่มา: คลิ๊กที่นี้


QUOTE
ตามตำราที่บันทึกไว้ในพระไตรปิฎก
พระโพธิสัตว์คือใคร
หมู่สัตว์ใดที่
1) มุ่งหวังจะตรัสรู้ บรรลุธรรมด้วยตนเอง และ
2) เป็นผู้นำมหาชนข้ามพ้นวัฎสงสาร หมู่สัตว์นั้นจะได้รับการขนานนามว่า "พระโพธิสัตว์"

โดย พระโพธิสัตว์แบ่งเป็น 2 ประเภท คือ


1) นิยตโพธิสัตว์ คือ พระโพธิสัตว์ ผู้ที่ได้รับการพยากรณ์ จากพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์ใด พระองค์หนึ่งว่า ในอนาคตเบื้องหน้าจะได้ ตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าองค์หนึ่ง อย่างแน่นอน
2) อนิยตโพธิสัตว์ คือ พระโพธิสัตว์ ผู้ที่กำลังสร้างบารมีและยังไม่ได้รับการพยากรณ์ จากพระสัมมาสัมพุทธเจ้าองค์ใดเลย อาจจะ เปลี่ยนใจล้มเลิก หรือ เป้าหมายเบี่ยงเบน เสียกลางครัน กลับกลายมาเป็น ปุถุชนธรรมดา หรือ ตัดใจเลิกสร้างบารมี และ ขอเป็นพระอรหันต์ธรรมดา แทน เช่น พระมหากัจจายนะ เป็นต้น

สรุปเป็นขั้นตอนคือ

สัตว์โลก (ปรารถนาโพธิญาณ) ---> อนิยตโพธิสัตว์
(ได้รับพยากรณ์)---> นิยตโพธิสัตว์

พระโพธิสัตว์ต้องทำอย่างไรเพื่อให้ได้บรรลุโพธิญาณ
พระโพธิสัตว์จะต้องสร้าง บารมี 10 อย่าง เรียกว่า "พุทธการกธรรม" มี

1) ทานบารมี
2) ศีลบารมี
3) เนกขัมบารมี
4) ปัญญาบารมี
5) วิริยะบารมี
6) ขันติบารมี
7) สัจจะบารมี
8) อธิษฐานบารมี
9) เมตตาบารมี
10) อุเบกขาบารมี

โดย บารมีทั้ง 10 อย่างนี้ แบ่ง ความเข้มข้น ความยาก ของการสร้าง เป็น 3 ระดับ มี
1) บารมี คือ การสร้างบารมีระดับธรรมดาที่สละทรัพย์สิน เงินทองธรรมดา
2) อุปบารมี คือ การสร้างบารมีระดับที่เอา อวัยวะ เลือดเนื้อ เป็นเดิมพัน
3) ปรมัตถบารมี คือ การสร้างบารมีในระดับที่เอาชีวิต เป็นเดิมพัน ตายไม่ว่า

ดังนั้น เมื่อ บารมี มี 10 อย่าง และ มี 3 ระดับ ดังนั้น ถ้าจะจำแนกโดยละเอียด คือ พระโพธิสัตว์ต้องบำเพ็ญบารมี รวม 30 อย่าง นั่นเอง และที่สำคัญ พระโพธิสัตว์ผู้หวังโพธิญาณ (อนิยตโพธิสัตว์) จะต้องได้มี การทำทานชนิดที่ทำได้ยากยิ่ง คือ การบริจาคชีวิตของตน รวมไปถึงบริจาค ภรรยา และ บุตร ธิดา ของตน อีกด้วย และ เมื่อบารมีมากถึงจุดๆ หนึ่ง ก็จะได้รับการพยากรณ์ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์ใด พระองค์หนึ่ง นั่นเอง (นิยตโพธิสัตว์)

พระสัมมาสัมพุทธเจ้ามีกี่ประเภท

เมื่อพระโพธิสัตว์สร้างบารมีจนเต็มเปี่ยมและได้ตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้ว ยังสามารถจำแนก พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ เป็น 3 ประเภท ตามระยะเวลาการบำเพ็ญบารมี คือ

1) พระปัญญาธิกพุทธเจ้า สร้างบารมีรวม 20 อสงไขย กับอีก แสนมหากัป (รวม ระยะเวลาสร้างบารมีหลังรับพุทธพยากรณ์ คือ 4 อสงไขย กับ แสนมหากัป) เช่น พระสัมมาพุทธเจ้าองค์ปัจจุบัน คือ พระสมณโคมสัมมาสัมพุทธเจ้า

2) พระศรัทธาธิกพุทธเจ้า สร้างบารมีรวม 40 อสงไขย กับอีก แสนมหากัป (รวม ระยะเวลาสร้างบารมีหลังรับพุทธพยากรณ์ คือ 8 อสงไขย กับ แสนมหากัป)

3) พระวิริยาธิกพุทธเจ้า สร้างบารมีรวม 80 อสงไขย กับอีก แสนมหากัป (รวม ระยะเวลาสร้างบารมีหลังรับพุทธพยากรณ์ คือ 16 อสงไขย กับ แสนมหากัป) เช่น พระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์ต่อไป คือ พระศรีอาริยเมตไตรยสัมมาสัมพุทธเจ้า

ข้อมูลเพิ่มเติมดูที่ลิงค์
www.dharma-gateway.com/buddha/buddha-misc/bd-misc-12.htm

นอกจากนี้ยังสามารถหาหนังสืออ่านเพิ่มเติมได้ โดยชื่อ หนังสือ คือ
ต้องเป็นให้ได้ (ดั่งเช่นพระพุทธเจ้า) โดย อุบาสิกาถวิล (บุญทรง) วัติรางกูล ครับ___By ท่าน 'MiraclE...DrEaM' (I cAn AlwayS MakE U SmilE) หมายเหตุ ข้าพเจ้าได้แก้ไขเพิ่มเติมเพียงเล็กน้อยเท่านั้นครับ
ที่มา: คลิ๊กที่นี้ ความคิดเห็นที่ 2

ข้าพเจ้าใคร่ ขอขอบคุณ และ อนุโมธนาบุญ (อย่างน้อยๆ ที่ได้ทำให้ข้าพเจ้าได้ เข้าใจและตระหนัก ถึงพระมหากรุณาธิคุณที่เป็นที่สุดของทุกๆที่สุด ของ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทุกๆพระองค์ มากยิ่งๆ ขึ้นไปอีก) กับ ท่าน foox (เจ้าของกระทู้นี้) และ ท่าน MiraclE...DrEaM, ท่าน ศูนย์กลางกาย และ ท่านอื่นๆ smile.gif laugh.gif happy.gif สำหรับ การให้ความเข้าใจในเรื่องราวเหล่านี้ ด้วยจ้า (ยอดเยี่ยมมาก เลยครับ laugh.gif happy.gif laugh.gif ) ซึ่งสามารถทำให้ข้าพเจ้า ได้ตระหนักเป็นอย่างยิ่งเลยว่า การบังเกิดของ พระสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่ละพระองค์ นั้น ช่างเป็นสิ่งที่ต้องใช้เวลา สะสม บำเพ็ญ บมบารมี นานแสนๆนาน มากๆ เลยที่เดียวนะครับ ohmy.gif ohmy.gif ohmy.gif

สาธุ...สาธุ...สาธุ...ครับ happy.gif happy.gif happy.gif


ปล. รวมภาพของ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า และ อื่นๆ(บ้าง) คลิ๊กที่นี้

ไฟล์แนบ

  • แนบไฟล์  kub.jpg   37.74K   168 ดาวน์โหลด

ขอเชิญร่วม อนุโมทนาบุญ งานบุญกฐินพระราชทาน ที่ วัดปากน้ำภาษีเจริญ คลิ๊กที่นี้
ขอเชิญร่วม อนุโมทนาบุญ งานบุญกฐินพระราชทาน ที่ วัดพระราม ๙ กาญจนาภิเษก คลิ๊กที่นี้
.

Who am I?__>>> CLick Here <<< to see my answer Post # 7

--------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

For any inquiries please

.

รวมภาพองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า:
คลิ๊กที่นี้
คลิ๊กที่นี้ เพื่อ ได้รับ ภาพทั้งหมดของ คำสอนคุณยาย ฉบับรวมเล่ม และภาพ (ฉบับสมบรูณ์)
คลิ๊กที่นี้ เพื่อ D/L 157 files, 557.61 MB, ธรรมมะเทศนา มงคล 38 โดย พระภาวนาวิริยคุณ (เผด็จ ทตฺตชีโว)
คลิ๊กที่นี้ เพื่อ D/L 58 files, 120.99 MB, for easy listening dharmas.
คลิ๊กที่นี้ เพื่อ D/L 121 really-good-to-read e-books, 295.67 MB.
คลิ๊กที่นี้ เพื่อ Download โปรแกรม Free Download Manager ช่วย Download ไฟล์ใหญ่ๆ ต่างๆ ฟรีครับฟรี
คลิ๊กที่นี้ เพื่อ Download โปรแกรม Acrobat Reader V.5
.
ที่มา: คลิ๊กที่นี้ ปล. สืบเนื้องมาจาก กระทู้นี้ โพสต์โดย ท่าน ฟ้าร้าง
.
เรื่อง การสร้างบารมีของพระโพติสัตว์ เข้าใจได้ไม่ยาก โปรดลอง คลิ๊กที่นี้
.
สนใจอ่าน

The basic knowledge of Buddhism to become a better buddhist Edition 2 คลิ๊กที่นี้

(With some english explanation)

-----------------------------------------------------------------------------------------------------------

"Do not confuse having a career with having a life"
-= Hillary Clinton =-.... >>>>>>>
CLicK HeRe <<<<<< To Be wisher, To Be smarter, and To Know Better !!!
Lastest Revised: 16/12/2006 | 08:43 PM

#3 koonpatt

koonpatt
  • Members
  • 616 โพสต์
  • Gender:Female

โพสต์เมื่อ 03 November 2006 - 09:30 AM

อสงไขย [ ADJ ] countless
[ English ]incalculable; innumerable; infinite [ Syn ] นับไม่ถ้วน [ Def ] มากจนนับไม่ถ้วน, ไม่รู้จบ, ไม่มีที่สิ้นสุด

อสงไขย [ N ] number followed by 140 ciphers
[ English ]one followed by 140 zeros; highest of the numerals [ Def ] ชื่อมาตรานับจำนวนใหญ่ที่สุด คือ โกฏิยกกำลัง 20

โกฏิ ชื่อมาตรานับ เท่ากับสิบล้าน

....................................................................................................................................................

บรรดาบทมาติกาทั้งหลายเหล่านั้น บทว่า อสงฺเขยฺยา มีความว่า นับไม่ได้.

ที่ชื่อว่า อสงไขย เพราะอรรถว่า ไม่ควรนับ.

คือเริ่มนับตั้งแต่ ๑ เป็นต้นไปกระทั้งถึงจำนวนที่ยังพอประมาณได้ ชื่อว่า อสงไขย. เลยจากนั้นไป กระทั้งกำหนดลักษณะหรือประมาณไม่ได้ ก็ชื่อว่า อสงไขย. ก็อสงไขย นั้น มี ๒ อย่าง คือ สุญอสงไขย และ อสุญอสงไขย. เมื่อว่าโดยชื่อของตนแล้ว อสงไขยก็มีหลายอย่าง. บรรดาสุญอสงไขยและอสุญอสงไขย ๒ อย่างนั้น เป็นอย่างไร ฯ

คือ ในเวลาใด พระผู้มีพระภาคเจ้าของเราทั้งหลาย ทรงบำเพ็ญบารมีตลอด ๒๐ อสงไขยกำไรแสนกัป จวบกระทั่งได้สำเร็จเป็นพระพุทธเจ้า. ในระหว่างนี้ พึงทราบว่าเป็นทั้งสุญอสงไขย และอสุญอสงไขย. สมจริงดังคำที่พระโบราณาจารย์กล่าวไว้ว่า “อสงไขย ๒ อย่าง คือ สุญอสงไขย และอสุญอสงไขย” พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงประกาศไว้แล้ว และ อสุญอสงไขย มากไปด้วยการอุบัติแห่งพระพุทธเจ้าทั้งหลาย คือ ท่านผู้มีฤทธิ์ทั้งหลาย เช่น พระพุทธเจ้า พระปัจเจกพุทธเจ้า พระสาวก และพระเจ้าจักรพรรดิทั้งหลาย ทรงอุบัติในอสุญอสงไขยแล. อสงไขยแต่ละอย่าง (นอกจากที่กล่าวถึงนี้) ก็พึงทราบเช่นเดียวกันนี้ ฯ

พระอานนท์เถระ ได้ทูลถามพระพุทธเจ้าว่า “พระเจ้าข้า กัปหนึ่ง มีระยะเวลายาวเพียงไร” พระพุทธเจ้าตรัสวิสัชนาว่า “อานนท์ กัปหนึ่ง มีระยะเวลายาวมาก”. พระอานนท์เถระทูลถามอีกว่า “พวกข้าพระองค์ทั้งหลายจะพึงทราบได้อย่างไร ขอพระองค์ทรงโปรดยกอุปมาด้วย พระเจ้าข้า” ฯ

พระพุทธเจ้า จึงตรัสว่า “อานนท์ ถ้าอย่างนั้น เธอจงตั้งใจฟัง” ดังนี้แล้ว ตรัสพระคาถา ดังนี้ว่า


๑๐ สิบ..............เป็น....................หนึ่งร้อย
๑๐ ร้อย.............เป็น....................หนึ่งพัน
๑๐ พัน..............เป็น....................หนึ่งหมื่น
๑๐ หมื่น............เป็น....................หนึ่งแสน
๑๐ แสน............เป็น....................หนึ่งล้าน
๑๐ ล้าน ............เป็น....................หนึ่งโกฏิ
๑๐ โกฏิ.............เป็น....................หนึ่งปโกฏิ
๑๐ ปโกฏิ...........เป็น....................หนึ่งโกฏิปโกฏิ
๑๐ โกฏิปโกฏิ......เป็น....................หนึ่งนหุต
๑๐ นหุต............เป็น....................หนึ่งนินนหุต
๑๐ นินิหุต..........เป็น.....................หนึ่งอักโขภินี
๑๐ อักโขภินี.......เป็น.....................หนึ่งพินทุ
๑๐ พินทุ............เป็น.....................หนึ่งอัพภุทะ
๑๐ อัพภุทะ.........เป็น.....................หนึ่งนิรัพภุทะ
๑๐ นิรัพภุทะ........เป็น.....................หนึ่งอหหะ
๑๐ อหหะ...........เป็น.....................หนึ่งอัฏฏะ
๑๐ อัฎฎะ ..........เป็น.....................หนึ่งอัพภัพพะ
๑๐ อัพภัพพะ.......เป็น.....................หนึ่งโสคันธิกะ
๑๐ โสคันธิกะ ......เป็น....................หนึ่งอุปละ
๑๐ อุปละ............เป็น....................หนึ่งกุมุทะ
๑๐ กุมุทะ............เป็น....................หนึ่งปทุมะ
๑๐ ปทุมะ ............เป็น...................หนึ่งปุณฑริกะ
๑๐ ปุณฑริกะ.........เป็น...................หนึ่งกถานัง
๑๐ กถานัง ...........เป็น...................หนึ่งมหากถานัง
๑๐ มหากถานัง.......เป็น...................หนึ่งอสงไขย

นักปราชญ์ผู้มีปัญญาเห็นแจ้ง ท่านนับไว้อย่างนี้แล ฯ

อสงไขยมี ๒๐ คือ
1. นันทอสงไขย
2. สุนันทอสงไขย
3. ปฐวีอสงไขย
4. มัณฑอสงไขย
5. ธรณีอสงไขย
6. สาครอสงไขย
7. ปุณฑริกอสงไขย
8. สัพพภัททอสงไขย
9. สัพพผุลลอสงไขย
10. สัพพรัตนอสงไขย
11. สภักขันธอสงไขย
12. มานิภัททอสงไขย
13. ปทุมอสงไขย
14. อุสภอสงไขย
15. ขันธุตตมอสงไขย
16. สัพพผาลอสงไขย
17. เสลอสงไขย
18. ภาสอสงไขย
19. ไชยอสงไขย
20. รูปิยอสงไขย ดังนี้
จึงยังคง เชื่อมั่นและศรัทธาใน "รัก" เหมือนอย่างที่เคย...เสมอมา...และจะตลอดไป
แด่
เธอ...ผู้นำแสงสว่างสู่...กลางใจ

#4 น้ำฝน มัชฌิมหญิงรุ่น14

น้ำฝน มัชฌิมหญิงรุ่น14

    เราคือ นักรบกล้าอาสาสมัคร กองทัพธรรม

  • Members
  • 1961 โพสต์
  • Gender:Female
  • Interests:ช่วยงานบุญที่วัด ให้ถึงที่สุดกำลัง ตราบวันที่ชีวิตจะสิ้นลมหายใจ

โพสต์เมื่อ 03 November 2006 - 10:56 AM

อนุโมทนาค่ะเก็บความรู้
"ด้วยใจกล้าอาสา พัฒนาไม่หยุดยั้ง"

น้ำฝนลูกพระธัมฯ

#5 นักท่องเที่ยว

นักท่องเที่ยว
  • Members
  • 2378 โพสต์
  • Gender:Male
  • Location:รู้สึกว่าจะไม่ค่อยได้อยู่กะที่อ่ะ มาดูอารายกานอ่ะ
  • Interests:มาสร้างบารมีตามติดหมู่คณะดีกว่า

โพสต์เมื่อ 03 November 2006 - 01:17 PM

น่าอนุโมทนาครับ
กายธรรมควรเทิดไว้ ในใจ
เป็นสรณะภายใน เทียงแท้
กว่านี้ บ่ มีใด เทียบได้
น้อบนบท่านไว้แล ค่ำเช้าสุขเสมอ


เอาบุญมาฝากจ้า นั่งสมาธิเยี่ยมไปเลย แถมไปติดจานมาอีกด้วย เด็กชาวเขานี้น่ารักนะแม้คุยไม่รู้เรื่องก็ตามล่ะ สนุกดี

#6 Defilement Destroyer

Defilement Destroyer
  • Members
  • 274 โพสต์
  • Gender:Male

โพสต์เมื่อ 03 November 2006 - 03:14 PM

อนุโมทนานะครับ happy.gif
ภูเขาศิลาล้วนย่อมตั้งมั่น ไม่หวั่นไหวเพราะแรงลมฉันใด
ผู้ที่ทำนิพพานให้แจ้งแล้ว ก็ย่อมมีจิตตั้งมั่น
ไม่หวั่นไหวในโลกธรรมทั้งหลายฉันนั้น
(พุทธพจน์)

#7 foox

foox
  • Members
  • 41 โพสต์

โพสต์เมื่อ 03 November 2006 - 05:13 PM

สวัสดีครับ


ท่าน Peacefulness

ได้รับความรู้เพิ่มเติมจากท่าน koonpatt อีกแล้ว

ขอบคุณและอนุโมทนาบุญ กับ ทุกท่านครับ

ไฟล์แนบ

  • แนบไฟล์  A_004.gif   3.22K   14 ดาวน์โหลด


#8 LiL' Faery

LiL' Faery
  • Members
  • 1160 โพสต์
  • Location:@ Time : Europe
  • Interests:Basic and Advance Meditation;วิชชา ธรรมกาย<br />Birth Day : 19 January

โพสต์เมื่อ 04 November 2006 - 07:23 PM

ah here we go again happy.gif review the knowledge of อสงไขย , กัป , มหากัป again happy.gif thank you and sathu kah happy.gif
คุณครูไม่ใหญ่ บอกว่า :
1. อดีตที่ผิดพลาด ลืมให้หมด 2. บาปทุกชนิดไม่ทำเพิ่มเด็ดขาด 3. หมั่นนึกถึงบุญอย่างสม่ำเสมอ
4. บุญทุกบุญทำให้เข้มข้นทับทวี 5. ปฏิบัติธรรมให้เข้าถึงพระธรรมกาย

ขออนุโมทนาบุญด้วยนะค่ะ _/|\_ สาธุ สาธุ สาธุ ^_^ ด้วยรักจากใจ ด้วยห่วงใย จากใจจริง

#9 foox

foox
  • Members
  • 41 โพสต์

โพสต์เมื่อ 04 December 2006 - 09:54 AM

test



#10 ปัจเจกชน บนทางสายกลาง

ปัจเจกชน บนทางสายกลาง
  • Members
  • 4109 โพสต์
  • Gender:Male
  • Location:จ. สงขลา

โพสต์เมื่อ 14 April 2007 - 07:41 AM

ขอกราบอนุโมทนาบุญด้วยครับ สาธุ

#11 usr38590

usr38590
  • Members
  • 1 โพสต์

โพสต์เมื่อ 13 January 2011 - 11:10 PM

ใครที่เชื่อเรื่อง นี้ ขอให้ดูข้อมูลนี้ดีๆก่อนครับ http://www.jabchai.c...ke.php?id=10610
เรื่องความยาวนานของเวลาอสงไขย ผมไม่เชื่อ และตั้งข้อสังเกตดังนี้
1.นับได้อย่างไรใครเป็นผู้นับ ในเมื่อตามหลักฐานที่มนุษย์พิสูจน์ได้( สมเด็จพระสมณโคดมพุทธเจ้า ก็เป็นมนุษย์ )
2.มนุษย์ยุคแรกเพิ่งกำเนิดได้เพียง สองแสนปี เท่านั้น แล้วผู้ที่อ้างว่าตัวเองนับได้ เห็นชื่อพระพุทธเจ้าองค์ ต่างๆเยอะแยะ นั้น เอามาจากไหน
เมาบารากูสมัยก่อนรึเปล่า (เมื่อก่อนในสังคมชั้นสูง นิยมสูบกันมาก)
3.มนุษย์เมื่อพันปีที่แล้วมีจำนวนนับอยู่แค่หลักแสนหลักล้านกันเองนะครับ (ไม่เชื่อถามคนแก่ใกล้ๆตัวดูว่ารู้จักร้อยล้าน ไหมว่ามีจำนวนเท่าไหร่)
4.ศาสนาพุทธกำเนิดโดย สมเด็จพระสมณโคดมพุทธเจ้า แล้วสามองค์ก่อนหน้านี้ทำไมบางท่านจึงนำมานับรวมกับศาสนาพุทธ จนนำมาผูกเป็นเรื่องเป็นราวได้ (มั่วนี่หว่า glare.gif )

สรุป
ถ้าผมจำไม่ผิด สมเด็จพระสมณโคดมพุทธเจ้า สอนให้ทำดี อย่างเดียวไม่ใช่หรอ dry.gif และเคยบอกว่า

ไม่ให้เชื่อในตัวท่าน แต่จงเชื่อในคำสอนท่าน

การที่จะเชื่ออะไรจงพิสูจน์ให้รอบด้านจนรู้แจ้งเห็นจริงแล้วจึงเชื่อ
-เรื่องนี้เป็นอีกเรื่องที่มีสิ่งที่เป็นหลักฐานพิสูจน์จับต้องได้ว่าเรื่องนี้ไม่จริง(ก็ฟอสซิลไงหลักฐาน) ฉะนั้น จึงไม่ใช่สิ่งที่เห็นแจ้ง

คนที่เชื่อเรื่อง สมเด็จพระศรีอริยเมตไตรยพุทธเจ้า และโหยหาท่าน ก็รอต่อไปแล้วกัน
ถึงท่านจะกำเนิดมาในอีกสิบปีหรือพรุ่งนี้เช้า ท่านก็คงใช้หลักคำสอนและปฎิบัติเดียวกับสมเด็จพระศรีอริยเมตไตรยพุทธเจ้า
มาช่วยสอนเรา ให้ทำตัวดี ไม่งมงาย
ผมแค่อยากให้ท่านหันมามองความจริงเท่านั้นเอง
และทำตัวเองให้เกิดความรู้แจ้ง ไม่ใช่ฟังพระพูดทางทีวี แล้วก็เชื่อไปหมดซะทุกอย่าง
อย่างนี้ไม่ใช่ผู้ถือศีลปฎิบัติธรรมหรอกครบ ทำไปก็เสียเวลาเปล่าผิดหลักคำสอนด้วย เอาเวลาไปเลี้ยงลูกดูหลาน ที่บ้านดีกว่าเยอะ


#12 *Hello*

*Hello*
  • Guests

โพสต์เมื่อ 05 April 2011 - 10:42 AM

happy.gif

เรื่องราวการบำเพ็ญบารมีขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทั้งหลาย (มีมากกว่า 1 พระองค์) ที่เราทราบกันอยู่นี้ ล้วนมาจากพระโอษฐ์องค์สมณโคดมสัมมาสัมพุทธเจ้าทั้งสิ้น พระอนุชาอานนท์ก็ได้บอกต่อเล่าขาน แล้วมีการจารึกลงในพระไตรปิฎกในการสังคายนาครั้งแรก โดยมีเหล่าพระอรหันตรสาวกทั้งหลายเป็นสักขีพยาน
มนุษย์เราในยุคนี้ ใช้แนวคิดทางตรรกวิทยาศาสตร์มาใช้นำชีวิต เนื่องด้วยแนวคิดนั้นมองเห็นง่าย จับต้องง่าย แต่เราเองก็ได้หลงลืมไป แม้แต่วิทยาศาสตร์เองก็มีสมมติฐานมากมายที่ไม่อาจพิสูจน์เห็นได้ชัดๆ เพียงบัญญัติให้เข้าใจตรงกันเท่านั้น เช่น กฏแรงโน้มถ่วงของนิวตัน กฏของอะตอม แต่แล้วกฏต่างๆ ก็จำเป็นต้องเปลี่ยนไปเรื่อยๆ ตามแต่ความสามารถการรับรู้ของมนุษย์จะสูงขึ้น เช่นตอนนี้ นักวิทยาศาสตร์ก็ยอมรับแล้วว่ากฏแรงโน้มถ่วงของนิวตัน มีความคลาดเคลื่อนมาก โดยอาศัยจากการทดลอง สังเกต สุดท้ายทฤษฎีสัมพันธภาพของ ไอนสไตน์ ก็เข้ามาแทนที่
โดยธรรมชาติของมนุษย์อีกอย่าง คือมักจะไม่ยอมรับในสิ่งที่ตัวเองไม่สามารถรับรู้ได้ เช่น ทฤษฎีสัมพันธภาพของ ไอนสไตน์ รวมทั้ง Quantum physics เอง ในระยะแรก นักวิทยาศาสตร์รุ่นบุกเบิก ถึงขั้นประกาศไม่ยอมรับ (ไอนสไตน์ เองก็ไม่ยอมรับ Quantum physics)
การมีรถยนต์ เครื่องบิน ก็เป็นสิ่งที่มนุษย์เราเคยไม่เชื่อ ว่าจะมีได้ ไม่ใช่เพราะคิดโดยใช้ตรรกะหรอกหรือ? (เราไม่เชื่อว่า เหล็กจะลอยได้)
จริงอยู่ องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทั้งหลาย เป็นมนุษย์ แต่ไม่อาจจะเหมารวมได้ว่าพระองค์มีการรับรู้เท่าๆ กับปุถุชน พวกเราปุถุชนบางท่านได้แต่เพียงแค่ศึกษาวิชาวิทยาศาสตร์ ซึ่งก็มีความไม่แน่นอน เปลี่ยนไปเปลี่ยนมา เมื่อต้องนำความรู้ไปใช้จริง ยังต้องมีการทดสอบ เพื่อป้องกันความผิดพลาด บางท่านเรียนมาสูง เพียงเท่านั้นก็สำคัญตนเองว่าคิดถูก เดาแม่น ไปเสียทุกอย่าง
หากท่านอยากทราบว่าเรื่องไหนเป็นจริงเป็นเท็จ ท่านควรจะมีทัศนคติในทางบวกเสียก่อน หากไม่ยอมรับแต่ต้นแล้ว ท่านจะไม่มีโอกาสได้รู้ได้เห็นในเรื่องอื่นๆ อันที่จริง หากท่านเพียงเปิดใจพิจารณาเรื่องราวของพระอริยสงค์ที่ปฏิบัติดีหลายๆท่าน (เช่น พระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต) อาจจะเป็นการเริ่มต้นเพื่อศึกษาพระพุทธศาสนาได้อย่างดีทีเดียว
ขอบัณฑิตทั้งหลายจงอย่าได้ประมาทกันเลย การทำดีให้ถึงพร้อมไม่อาจทำได้โดยลำพังตามแต่มิจฉาทิฎฐิชักนำ หากปราศจากศรัทธาในองค์พระรัตนตรัย อีกทั้งไม่หมั่นขวนขวายหาความรู้แล้ว การทำดีจะทำได้ยากยิ่ง อีกทั้งยังง่ายแก่การหลงทาง สำหรับเรื่องราวอันแท้จริงในทางพระพุทธศาสนา ขอท่านผู้สนใจพึงศึกษาหาความรู้จากผู้รู้ ผู้มีสัมมาทิฎฐิ กันต่อไปเถิด อย่าได้ย่อท้อเลย


#13 *พุทธชน*

*พุทธชน*
  • Guests

โพสต์เมื่อ 22 April 2011 - 04:23 PM

อย่างที่ทราบดีอยู่แล้วว่าสัตว์โลกนั้นสามารถจำแนกออกได้เป็น 4 ประเภท กล่าวคือ
1) ประเภทที่มืดมา และก็มืดต่อไป
2) ประเภทที่มือมา แล้วพบกับความสว่าง
3) ประเภทที่สว่างมา แล้วกับพบกับความมืด
4) ประเภทที่สว่างมา และก็สว่างต่อไป
โปรดศึกษาให้รอบด้าน เปิดใจรับในสิ่งใหม่ๆที่ตัวเองยังไม่รู้ ขอให้ละวางทิฎฐิหรืออัตตาที่ตัวเองยึดมั่นสั่งสมไว้ในสมอง
ออกไปให้หมดสิ้นเหมือนดั่งแก้วน้ำที่ว่างเปล่าเสียก่อน แล้วจึงค่อยๆศึกษาแสวงหาความรู้ที่เป็นจริง อย่าพึ่งด่วนสรุป
อะไรง่ายๆตามความรู้เดิมๆที่ตัวเองได้รับมา อย่าตีกรอบปิดกั้นความคิดของตัวเองแล้วไม่ยอมรับฟังหรือรับรู้หาความรู้
ใหม่ๆเพิ่มเติม นั้นก็เท่ากับเป็นการปิดกั้นโอกาสของตัวเองที่จะได้รับความรู้ใหม่ๆที่เป็นแสงสว่างเข้ามาในชีวิต
ซึ่งถ้าหากไม่ทราบว่าจะเริ่มจากตรงไหนดี ก็ขอแนะนำให้ลองศึกษาจากหัวอริยมรรคมีองค์ 8 , อริยสัจ 4 และสติปัฏฐาน4
โดยขอให้ข้อคิดก่อนตัดสินใจหรือฟันธงสิ่งใดๆลงไปว่าจริงหรือเท็จ ด้วยการแก้ไขสงสัยที่มันเกิดจากความไม่รู้หรือเกิดจาก
ความรู้เดิมๆที่มันคั่งค้างอยู่ในสมองของเราด้วยการค้นหาคำตอบนั้นๆได้จากท่านผู้รู้ที่เป็นกัลญาณมิตร หรือสามารถหาข้อมูล
ได้จาก www.google.com ก็ได้ครั้ง ถ้าหากยังไม่หายสงสัยหรือยังคงติดขัดข้องใจอยู่ก็ลองถามดูสัก 10 ครั้งขึ้นไป
แล้วนำคำตอบที่ได้นั้นมาชั่งน้ำหนักดูว่ามีข้อเท็จจริงเป็นเช่นไร หรือถ้าอยากจะรู้แจ้งเห็นจริงโดยปราศจากข้อสงสัยใดๆ
ก็ขอให้ลองปฏิบัติหรือพิสูจน์ด้วยตัวเองตามหลักตรรกทางวิทยาศาสตร์และข้ออัตข้อธรรมที่ให้ไว้ในเบื้องต้นนั่นแหล่ะครับ
ถ้าปฏิบัติได้ครบถ้วนทุกข้อจนสามารถบรรลุธรรมและรู้แจ้งเห็นจริงสัจธรรมแล้วไซร้ จึงค่อยมาสรุปอีกทีว่าสิ่งไหนจริงหรือ
สิ่งไหนเท็จตราบใดที่พวกเรายังคงได้ชื่อว่าเป็นปุถุชนอยู่แล้วไซร้ อย่าได้ด่วนสรุปในข้ออัตข้อธรรมของพระอริยเจ้า และ
ยิ่งเป็นของพระพุทธเจ้าแล้วไซร้ได้โปรดอย่าได้บังอาจเพียงแค่คิดก็ผิดแล้ว
ขอให้เจริญในธรรม ขอให้รู้แจ้งเห็นจริงในสัจธรรม เป็นสัมมาทิฏฐิมีความสว่างในธรรมเทอญ..สาธุ