คนที่ไม่มีศาสนา
#1
โพสต์เมื่อ 15 May 2006 - 12:54 PM
เค้าตอบว่า...เพราะไม่มีศาสนาใดๆพิสูจน์ให้เค้าเห็นได้เลย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องบาป บุญ การเวียนว่ายตายเกิด ฯลฯ...
แต่เค้าบอกว่าตัวพ่อแม่ของเค้ามีศาสนา...แต่เค้าไม่มี (เค้าจบจิตวิทยามาค่ะ)
พ่อแม่ญาติไม่ค่อยชอบเค้า...บอกว่าเค้าเป็นคนแปลก...ไม่ว่าเทศกาลอะไรก็ตามเค้าจะกลับบ้านหรือไม่กลับไม่มีใจใส่ใจ
คิดว่าเมืองไทยมีผู้ที่ไม่นับถือศาสนาอะไรเลยหรือปล่าว
และอะไรที่ผลักดันให้คนคนนั้นไม่เชื่อหรือไม่นับถืออะไรเลย...หรือว่าจะเกิดขึ้นกับคนที่ค่อนข้างอัฉริยะหรือปล่าวค่ะ (เพราะชาวต่างชาติคนนี้ดูเค้าจะอัจฉริยะ)
#2
โพสต์เมื่อ 15 May 2006 - 02:40 PM
น้าจี้
#3
โพสต์เมื่อ 15 May 2006 - 02:47 PM
แปลว่า ความเห็นผิด
ความเห็นผิด หมายถึง ความเห็นที่ผิดจากความเป็นจริง...เช่นเห็นว่าพระคุณของบิดา ของมารดาไม่มีจริง ...ซึ่งทราบมาว่าจริงแล้วเป็น "บาป" ที่ค่อนข้างรุนแรง...หรือปล่าวค่ะ...
#4
โพสต์เมื่อ 15 May 2006 - 03:14 PM
แต่ในความเป็นจริงแล้วคนทั้งโลกทุกคนมีศาสนาครับ เหตุที่บางคนเข้าใจว่าเขาไม่มีศาสนาเพราะเขาคิดว่า ศาสนาคือ พิธีกรรม ศาสนวัตถุ ศาสนบุคคลต่างๆ
ผมวานให้ช่วยไปบอกเขาใหม่นะครับ ว่าความจริง ความหมายของศาสนาที่แท้จริง คือ ศิลปะการแก้ทุกข์ครับ คนเราทุกคนล้วนมีทุกข์
ทุกข์เพราะอยากได้สิ่งต่างๆ (ตัณหา)
ทุกข์เพราะไม่ได้ในสิ่งที่อยากได้ (ภวตัณหา)
ทุกข์เพราะได้ในสิ่งที่ไม่อยากได้ (วิภวตัณหา)
ทั้ง 3 แบบนี้เป็นทุกข์ประเภทใหญ่ๆ ในตัวมนุษย์ทุกคน แม้ตัวเขาเอง แต่มนุษย์แต่ละคนแก้ปัญหานี้อย่างไร บางคนก็แก้โดยเมื่ออยากได้อะไร ก็แสวงหามาให้สมอยาก ถ้าใครขวางก็แข่งขันชิงดีชิงเด่นกันเป็นต้น
เราเรียกวิธีการเช่นนี้ว่า คือ ศิลปะการแก้ทุกข์ของเขา หรือ อีกนัยหนึ่งก็คือ ศาสนาของเขานั่นเอง แต่ศิลปะแบบนี้แก้ปัญหาทุกข์ได้จริงหรือ คำตอบคือ แก้ทุกข์ไม่ได้จริง เพราะพอได้สมอยากแล้ว ก็อยากได้อย่างอื่นต่อเรื่อยไป ไม่สิ้นสุด ดังนั้น มันจึงกลายเป็นแค่ศิลปะการแก้ทุกข์ของเขาคนเดียวเท่านั้นน่ะครับ
แต่ให้เขาลองดูศิลปะการแก้ทุกข์ของพระพุทธเจ้า ซึ่งเดิมทีไม่มีศาสนาพุทธ แต่เมื่อพระพุทธเจ้าค้นพบหนทางแก้ทุกข์ได้แท้จริง ถ้าพระพุทธเจ้าไม่บอกใคร มันก็เป็นแค่ศิลปะการแก้ทุกข์ของพระพุทธเจ้าองค์เดียว ศาสนาพุทธก็ไม่เกิดขึ้น
แต่เพราะพระพุทธเจ้าท่านบอกต่อ รู้แล้วบอกต่อ แล้วมีคนนำวิธีการของท่านไปใช้ เอ๊ะได้ผลนี่ แก้ปัญหาทุกข์ได้จริง จึงบอกต่อๆ กัน ศาสนาพุทธจึงเกิดขึ้น
ดังนั้น ศาสนาก็คือ ศิลปะการแก้ทุกข์ที่ได้รับความนิยมนั่นเอง
ดังนั้น ให้คุณเจ้าของกระทู้บอกเขาว่า คุณก็มีศาสนา แต่ศาสนาของคุณไม่ได้ความนิยม ใช้กับตัวคุณคนเดียว ถ้าคุณอยากศึกษาศาสนาที่ได้รับความนิยม ลองอ่านคำสอนพระพุทธเจ้าดู เป็นต้นครับ
#5
โพสต์เมื่อ 15 May 2006 - 03:33 PM
หลาย ๆ คนเคยพยายามคุย อธิบายให้เค้าฟังแล้วก็ถกเถียงกับเค้าค่ะ
เค้าเป็นคนเก่ง...ค่อนข้างเชื่อความคิดตัวเองเท่านั้นค่ะ
ทักทายอะไรในตัวเค้าไม่ได้เลยค่ะ...เช่น เค้าวันไหนเค้าใส่เสื้อฟ้า เราทักเค้าโกรธทันที สิวเค้าขึ้น 1 เม็ดไปทักเค้าก็โกรธ โกรธทุกอย่าง เค้าจะบอกว่าคุณโน่น คุณนี่...ไม่มีมารยาท (ชมได้อย่างเดียวค่ะ) ... แต่หลายๆ อย่าง ดูรวมๆ เค้าน่ารักมาก ทุกคนมองเค้าในภาพขำๆ ตลกๆ มากกว่า (แม้จะน่ารักแบบแปลกๆ ไปหน่อย)
#6
โพสต์เมื่อ 15 May 2006 - 04:25 PM
จนวันหนึ่งไปเที่ยวสวนในวังกับแม่ พอผ่านไปถึงต้นไม้ต้นหนึ่ง เห็นนกหน้าตาประหลาดน่าเกลียด ไม่น่าดู แต่พอเวลามันร้องออกมาเสียงเพราะจับใจ ทุกคนฟังอย่างเคลิบเคลิ้ม พระโพธิสตว์ ก็เปรยขึ้นว่า "นกตัวนี้แม้หน้าตาจะไม่น่าดู แต่เวลาร้องออกมาเสียงเพราะนะ ใครได้ยินก็รัก ชอบพอเจ้านกตัวนี้" ทุกคนก็รู้สึกว่าจริง
พอผ่านไปอีกต้นไม้หนึ่ง เจอนกรูปร่างหน้าตาดี สวยมาก แต่ร้องเสียงน่ารำคาญอย่างยิ่ง ทุกคนไม่อยากฟัง พากันรีบเดินไปที่อื่น "พระโพธิสัตว์ก็เปรยอีกแล้วว่า นกตัวนี้แม้รูปร่างหน้าตาดี แต่พอร้องเสียงออกมา ไม่มีใครทนฟังได้ ทุกคนพากันรังเกียจไม่อยากเข้าใกล้หมดเลย เสด็จแม่ ลูกดูแล้ว ก็เปรียบกันคนเหมือนกันนะ บางคนหน้าตาขี้ริ้ว แต่พูดจาไพเราะ นุ่มนวลน่าฟัง อารมณ์ก็ดีไม่โกรธง่าย ใครเห็นใครก็ชอบ แต่บางคนหน้าตาดี แต่กลับชอบใช้อารมณ์ พูดจาก็หยาบคาย ใครได้ยินก็ไม่อยากเข้าใกล้ เสด็จแม่ว่างั้นมั้ย"
แล้วเสด็จแม่ก็เงียบไป พอวันรุ่งขึ้น พระโพธิสัตว์ก็ได้เสด็จแม่คนใหม่ เรียบร้อยด้วยประการนี้เอง
#7
โพสต์เมื่อ 15 May 2006 - 05:59 PM
วิธีการที่จะทำให้เขาเชื่ออะไรคือต้องพิสูจน์ให้เขาเห็นว่าอะไรจริงหรือไม่จริง
อย่างเช่นให้เขาลองนั่งสมาธิจนเขาเข้าถึงธรรม ได้เห็นเอง
หรืออีกแง่หนึ่ง หากจะให้เขายอมรับว่าพระพุทธศาสนาดีอย่างไร ก็ต้องยกมาเลยว่า
ทาน หากไม่มีการแบ่งปัน โลกนี้อยู่ไม่ได้ เด็กทารกจะไม่มีคนเลี้ยง ตายหมดโลก
ศีล หากคนไม่มีศีล 5 แล้ว จะฆ่ากัน แย่งกัน หลอกลวงกัน มัวเมา
ภาวนา หากคนไม่พิจารณาโลก แล้ว ก็จะไม่มีวันรู้จักตัวตนของตัวเองได้เลย
ส่วนธรรมข้ออื่นๆก็คล้ายๆกัน
ตอนนี้หนูก็ลองทดสอบกับพ่อของหนูบ้างแล้ว
กำลังรอผลอยู่ค่ะ
ทุกท่านก็เอาใจช่วยหนูบ้างนะคะ
รอตั้งนานผู้ชาญศึกหายไปไหน
บอกจะพบกันครึ่งทางที่กลางใจ
อีกนานไหมจะให้พบช่วยบอกที
#8
โพสต์เมื่อ 15 May 2006 - 06:23 PM
ถาม หลวงพ่อเจ้าค่ะ ลูกมีเพื่อนที่อารมณ์ร้อน มักหงุดหงิดเวลา ที่ใครมาพูดตักเตือน จะมีวิธีแก้ไขนิสัยของเขาได้บ้างไหมเจ้าค่ะ ?
ตอบ ในการที่จะไปแก้ไขนิสัยของใครนั้น ไม่ว่าเขาจะเป็นคนอารมณ์ร้อน เป็นคนอารมณ์เฉื่อยชา หรือว่าเป็นคนที่มีอารมณ์ขึ้นๆ ลงๆ ก็ตาม มีหลักง่ายๆ อยู่ ๔ ประการด้วยกัน คือ
๑. หากัลยาณมิตรที่เหมาะสมให้
หาบุคคลมาเป็นกัลยาณมิตรให้กับเขา แต่ว่า กัลยาณมิตรที่หามาให้นั้น ต้องพอเหมาะพอสมกับนิสัยของเขาด้วย เช่น เขาเป็นคนอารมณ์ร้อน ก็ต้อง หาคนอารมณ์เย็นให้มาเป็นกัลยาณมิตร อย่างนี้จึงจะเรียกว่าพอเหมาะพอสมกัน หรือว่าเขาเป็นคนอารมณ์เย็นเกินเหตุ คือเป็นคนที่เฉื่อยชา ก็คงจะต้องหากัลยาณมิตร ประเภทที่มีความกระฉับกระเฉง ว่องไวมาเป็นกัลยาณมิตรให้
ที่ต้องหากัลยาณมิตรมาให้เขา ก็เพราะว่า คนเราไม่ว่าเด็ก ไม่ว่าผู้ใหญ่ ล้วนจำเป็นต้องมีต้นแบบที่ดีด้วยกันทุกคน แต่ว่าโลกของเราขณะนี้ สิ่งที่ขาดแคลนมากที่สุดก็คือ ขาดแคลนบุคคลต้นแบบ ซึ่งบุคคลต้นแบบนี้ยิ่งมีมากก็ยิ่งดี เพราะว่าท่านเหล่านั้นนอกจากจะเป็นต้นแบบแล้ว ยังเป็น สิ่งแวดล้อมที่ดีให้อีกด้วย
๒. หมั่นให้เขาเข้าใกล้กัลยาณมิตร
หมั่นพาผู้ที่เราต้องการจะแก้ไขนิสัยเข้าไปหากัลยาณมิตร หรือบุคคลต้นแบบบ่อยๆ เพราะว่า นิสัยของคนเราย่อมมีทั้งดีและไม่ดี เมื่อจะให้ใครมาช่วยแก้นิสัยที่ไม่ดี ก็ชักเขินๆ ไม่ค่อยอยากเข้าไปใกล้หรอก เมื่อเขายังไม่ค่อยคุ้นเคยกัน เราเป็น คนกลางก็ต้องช่วยให้บุคคลคู่นี้ได้พบกันบ่อยๆ เพื่อสร้างความคุ้นเคยบ้าง เพื่อท่านจะได้ชี้คุณ ชี้โทษให้บ้าง
ในการชี้โทษนี้ ถ้าเป็นผู้ใหญ่ด้วยกัน บางทีชี้แรงๆ เขาอาจรับไม่ได้เหมือนกัน เพราะว่ากลัวเสียหน้า เพราะฉะนั้น พบกันครั้งแรกๆ ท่านอาจจะพูดเฉียดๆ ถากๆ ไปบ้าง พูดแบบหยิกแกมหยอกบ้าง แต่เมื่อมีความคุ้นเคยกันมากเข้า การชี้โทษ การชี้ข้อบกพร่อง คงจะชัดเจนขึ้นตามลำดับ
เมื่อบุคคลที่มาเป็นกัลยาณมิตร สามารถชี้คุณ ชี้โทษ ให้เขาได้ชัดเจนแล้ว นั่นแหละเราจึงค่อยๆ ถอยออกมา แต่ว่าอย่าเพิ่งถอยออกมาไกลนัก เดี๋ยวเขาเกิดอาการเขินกันขึ้นมากลางครัน เราจะได้ เข้าไปช่วยได้ทัน
๓. คอยให้กำลังใจเขา
ในการแก้ไขอะไรก็ตาม โดยเฉพาะอย่างยิ่งแก้ไขนิสัย สิ่งที่หนีไม่พ้นก็คือ การที่จะต้องช่วยให้กำลังใจกัน เพราะว่านิสัย คือสิ่งที่คนๆ นั้นประพฤติจนกระทั่งเคยชิน บางอย่างเคยชินมาตลอดชีวิตทีเดียว แล้วจะให้เขาหักดิบง่ายๆ ได้อย่างไร
หรือบางทีขณะที่กำลังค่อยๆ แก้ไขอยู่นั้น กำลังใจเกิดตกเสียกลางคันก็มี เพราะฉะนั้นการให้กำลังใจกันเป็นระยะๆ จึงเป็นสิ่งที่จำเป็น
๔. ชวนเขาสร้างบุญให้เต็มที่
ขณะที่กำลังแก้ไขนิสัยกันอยู่นั้น ยังมีอีกเรื่องหนึ่งซึ่งแม้จะไม่เกี่ยวกับนิสัยโดยตรง แต่ว่าเป็นเรื่องของการปรับให้เข้าสู่มาตรฐานของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า คือ ต้องหมั่นชักชวน หมั่นสนับสนุน ให้เขาสร้างบุญ ยิ่งมาก ยิ่งถี่เท่าไรก็ยิ่งดี ชวนเขาไปทำทาน รักษาศีล ถ้าเขาไม่เคยทำภาวนา ก็พาเขาไปนั่งสมาธิทำภาวนาด้วย
เมื่อเขาได้ทำทาน รักษาศีล เจริญภาวนา เป็นประจำ มีบุญเพิ่มขึ้นมาทุกวัน ใจของเขาจะผ่องใส นุ่มนวลควรแก่การงาน การงานในที่นี้ก็คือ งานดัดนิสัยของเขานั่นเอง
ถ้าเป็นช่างปั้นก็ต้องบอกว่า ดินเหนียวก้อนนี้นุ่มกำลังดี เหมาะที่จะปั้นให้เป็นอะไรก็ได้
เมื่อใจของเขาอิ่มอยู่ในบุญ เขาจะมีกำลังใจขึ้นมาเอง
จึงกลายเป็นว่าเขาสามารถสร้างกำลังใจให้กับตัวเองได้ ถ้าอย่างนั้นเราก็ไม่ต้องไปคอยให้กำลังใจเขาอีก เพราะเขารู้ด้วยตัวเองแล้วว่า เขาจะต้องเข้มงวดกวดขันกับตัวเองอย่างไร
ทำตามหลักการครบทั้ง ๔ ประการนี้แล้ว ให้เวลาเขาสักระยะหนึ่ง ไม่ว่านิสัยคนๆ นั้น จะบกพร่องอย่างไร ในไม่ช้าก็แก้ไขให้ดีขึ้นมาได้ ยกเว้นคนประเภทที่เป็นบัวใต้น้ำ หรือว่าบัวที่ยังไม่งอกออกมาจากเมล็ด คนเหล่านั้น แม้มีกัลยาณมิตรอยู่เต็มโลก ก็แก้ไขนิสัยให้เขาไม่ได้
พูดง่ายๆ พวกที่เป็นมิจฉาทิฏฐิ อย่าว่าแต่มนุษย์ธรรมดาอย่างพวกเราเลย แม้แต่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็แก้ไม่ได้ เช่น เทวทัต เป็นต้น เพราะฉะนั้นต้องรอยมบาลมาแก้ให้ก็แล้วกัน
#9
โพสต์เมื่อ 15 May 2006 - 06:57 PM
ที่รู้จักนั้นส่วนมากมีลักษณะคล้ายกับที่คุณ arisara พูดค่ะ เป็นคนที่ฉลาด รอบรู้ เชื่อมั่นในตนเองสูง
มีเหตุผล และเชื่อในสิ่งที่ตาเห็นหรือพิสูจน์ได้ในทันที มักมีพรสวรรค์หรือความสามารถพิเศษที่คนส่วนมากไม่มี
เหตุผลนี้ทำให้มี Ego สูง ยึดมั่นในความเป็นตัวตนสูง กลายเป็นคนดื้อ หัวแข็ง ไม่ยอมรับความคิดเห็นของคนอื่น
(โดยเฉพาะคนที่เขาเห็นว่าด้อยกว่าเขา) ปิดกั้นตนเอง เพราะคิดว่าตนเองนั้นฉลาดแล้ว ไม่อยากให้ใครมาเปลี่ยน
ความคิดหรือความเป็นตัวของเขาเอง ... เป็นกันมาก และอย่างแพร่หลายในโลกตะวันตก โดยเฉพาะวัยรุ่นยุคใหม่
ซึ่งทางจิตแพทย์ก็ถือว่าเป็นอาการของโรคทางจิตอย่างหนึ่ง กลายเป็นปัญหาใหญ่ของผู้ปกครองค่ะ
ลองมาดูวิธีการปรับทัศนคติกันบ้าง
การที่เราจะบอกเตือน หรือเป็นกัลยาณมิตรให้ เป็นเรื่องยากมาก และต้องใช้เวลาและความอดทนสูง
แม้เราจะบอก เตือน อธิบาย แม้โดยตรงและอ้อมก็เป็นเรื่องยาก เพราะเขาไม่เปิดใจและไม่ยอมรับ
1.การบอกโดยตรง เขาก็มักโกรธ (และอาจคิดว่าเรา ..ขาดมารยาทที่ดี) โดยเฉพาะชาวที่ยุโรปที่เคารพสิทธิกันมากๆ
ถ้าไม่สนิทกันมากๆ แล้วมักจะไม่กล้าเตือนและยุ่งในเรื่องส่วนตัวของกันและกัน ดังนั้น กรณีนี้ ...
ควรพิจารณาถึงวิถีชีวิตประจำชาติ(เกิด)ของเขาด้วยค่ะ
ก่อนจะถูกตอบกลับมาด้วยภาษาที่ไม่ค่อยสุภาพนัก ทั้งที่เรามีเจตนาดีล้วนๆต่อเขาก็ตามค่ะ
2.การบอกโดยอ้อม ก็ต้องใช้ศิลปะอย่างมากค่ะ เพราะบางชาตินั้น ซื่อมาก บอกอ้อมๆมักไม่เข้าใจ
(senseless) กลายเป็นว่า " เราพูดไม่รู้เรื่อง " และเป็นการก่ออคติต่อเราโดยปริยาย คือเสื่อมศรัทธาในตัวเราค่ะ
ยิ่งทำให้เขาปิดใจเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่าค่ะ
ดังนั้น เราจึงควรสร้างศรัทธาก่อนค่ะ
โดยให้ศรัทธานั้นเกิดจากตัวเขาเอง คือให้เขาเห็นเองจากตัวอย่างรอบข้างค่ะ
เริ่มจากเราเองก่อนค่ะ อย่างเช่น น้อง Murarath ทำดีมากค่ะ เริ่มจากเราก่อน
ให้เขาเห็นในการเปลี่ยนแปลงของเราก่อน เปลี่ยนแปลงในทางที่ดีขึ้น เรามีความสุขมากขึ้น
เมื่อเรามีปัญหาเกิดขึ้น เราก็สามารถรักษาความสุขไว้ได้ นี่คือสิ่งมหัศจรรย์
เมื่อเขาเห็นในสิ่งมหัศจรรย์อันนี้ แล้วเขาก็จะค่อยยอมรับในตัวเราและคำแนะนำของเราเองค่ะ
แล้วก็ถึงเวลาที่เขาจะพิสูจน์ ว่าสิ่งที่เราแนะนำเขานั้นเป็นจริงไหม
คือ แก้ทุกข์ได้จริงไหม
หรือ นั่งสมาธิแล้วดีอย่างไร
จากประสบการณ์ของชาวต่างชาติ เกิดกรณีแบบนี้หลายรายค่ะ
พอเขาพิสูจน์ได้เอง เขานี่แหละ จะเป็นกัลยาณมิตรคนสำคัญที่จะช่วยขยายพุทธศาสนาไปทั่วโลก
บุญอันไม่มีประมาณ ก็จะเกิดขึ้นกับกัลยาณมิตรผู้เปลี่ยนคนที่มีมิฐฉาทิฐิให้มาเป็นสัมมาทิฐิได้
จึงขอฝากไปถึงผู้เป็นกัลยาณมิตรในตอนนี้นะคะว่า
ขอให้มีความอดทน และความกรุณา ต่อเขาผู้อาภัพนั้นด้วยเถิดค่ะ
และกราบอนุโมทนาบุญด้วยนะคะ
#10
โพสต์เมื่อ 16 May 2006 - 01:44 AM
ชอบประโยคนี้ของคุณหัดฝันมากเลยครับ ใช่เลยครับ
ที่รู้จักนั้นส่วนมากมีลักษณะคล้ายกับที่คุณ arisara พูดค่ะ เป็นคนที่ฉลาด รอบรู้ เชื่อมั่นในตนเองสูง
มีเหตุผล และเชื่อในสิ่งที่ตาเห็นหรือพิสูจน์ได้ในทันที มักมีพรสวรรค์หรือความสามารถพิเศษที่คนส่วนมากไม่มี
เหตุผลนี้ทำให้มี Ego สูง ยึดมั่นในความเป็นตัวตนสูง กลายเป็นคนดื้อ หัวแข็ง ไม่ยอมรับความคิดเห็นของคนอื่น
(โดยเฉพาะคนที่เขาเห็นว่าด้อยกว่าเขา) ปิดกั้นตนเอง เพราะคิดว่าตนเองนั้นฉลาดแล้ว ไม่อยากให้ใครมาเปลี่ยน
ความคิดหรือความเป็นตัวของเขาเอง
ใช่เลยครับ เห็นด้วยครับ
เค้าเป็นคนเก่ง...ค่อนข้างเชื่อความคิดตัวเองเท่านั้นค่ะ
ทักทายอะไรในตัวเค้าไม่ได้เลยค่ะ
ตอบ ลองถามความรู้เขาดีกว่าครับ ยิ่งเขาเชื่อมั่นว่าเขาฉลาดมากเท่าใดเราก็ยิ่งต้องถามมากเท่านั้นครับ
เช่น ถามเขาว่านี่เธอ ๆ เชื่อไหมว่ากฎของกรรมมีจริงทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว ถามเขาเลยครับ
ถ้าเขาตอบว่า ฉันไม่เชื่อ
เราก็พิสูจน์เลยครับโดยบอกเขาว่า งั้นเธอลองเดินไปตบหน้า ผู้ชายคนนั้น หรือลองชกหน้า
แม่สาวคนนั้นดูซิ เราก็อยากพิสูจน์พุทธวจนะของพระพุทธเจ้าเราเหมือนกันว่า ถ้าเธอชกหน้าคนอื่นเขาโดยทำชั่วแบบนี้
ยังจะมีคนยกมือไหว้เธอบอกว่าขอบใจไหมหนะ?? ถ้ามีแสดงว่าทำชั่วได้ดี
**************************************************
ถ้าเพื่อนไม่กล้าทำตามคำขอที่เราขอ ก็ลองถามใหม่ครับว่า เธอเชื่อไหมว่าทำดีได้ดี???
ถ้าเขาตอบว่า ฉันไม่เชื่อ
เราก็พิสูจน์เลยครับโดยบอกเขาว่า งั้นเธอลองเดินไปส่งดอกไม้ให้ผู้ชายหรือหญิงแปลกหน้า แล้วพูดว่า "ขอให้มีความสุขนะคะ/ครับ" ยกมือไหว้ด้วยนะ แล้วมาดูกันซิว่า ถ้าเธอทำดีแล้วจะมีใครบ้างโมโหเธอตบหน้าเธอ หรือทำหน้าบึ้งใส่ ไม่ยิ้มรับบ้าง เราก็อยากรู้เหมือนกันว่า พุทธวจนะที่ว่าทำดีได้ดี มันจริงไหมหนะ???
ถ้าเพื่อนยอมรับกฎแห่งกรรมว่าทำดีได้ดีทำชั่วได้ชั่วแล้วก็แสดงว่าเขาไม่ใช่คนไร้ศาสนาอีกต่อไปแล้วครับ...
ไม่สั่นคลอน ใสเหมือนน้ำที่ปราศจากตะกอน
#11
โพสต์เมื่อ 16 May 2006 - 06:20 PM
#12
โพสต์เมื่อ 16 May 2006 - 08:02 PM
#13
โพสต์เมื่อ 17 May 2006 - 07:54 PM
น้องผม เขาปลื้มใจมากที่เขาชวนนักท่องเที่ยวชาวญี่ปุ่นคนหนึ่ง ร่วมบุญช่วยเหลือวัดภาคใต้
กับครั้งที่ไปบอกบุญกับชมรมฯ ในบุญหล่อองค์พระ 100,000 องค์ในวันธรรมะคุ้มครองโลกเขาได้ถามกับ ลุงตาบอดคนหนึ่งที่นั่งอยู่กับหลานตัวเล็ก บนสะพานลอยนวนคร
หลานถามซ้ำ ว่า ทำบุญไหม?
ลุงพยักหน้า หลานก็เอามือล้วงในแก้วกำเหรียญออกมาใส่ในกล่องร่วมบุญที่น้องชายผมถือไป
"อยากได้อะไรก็อธิฐานเอานะ" "สาธุนะครับ"
ขากลับน้องชายผมล้วงกระเป๋าตัวเองใส่แก้วใบนั้นไป 10 บาท เด็กตัวเล็กมองตามเขา...
---------
คุญลองเอาบุญไปฝากเขาซิครับ ให้เขาได้สั่งสมบุญ บุญช่วยเขาได้อย่างแน่นอนครับ
เราควรเริ่มต้นที่สัมมาทิฐิ คือให้รู้ตามความเป็นจริง เรื่องกฎแห่งกรรมว่า ทำดีมีผลคือได้ดี ทำชั่วมีผลคือได้ชั่ว ทั้งภพนั้และภพหน้าโลกนี้โลกหน้า เมื่อเขาเกรงกลัวและละอายต่อบาปแล้ว เขาจะทำดี ละชั่ว และฝึกตัวฝึกใจต่อไปด้วย
ส่วนวิธีการ กับการเป็นเพื่อนผู้แนะประโยชน์นั้น เป็นบุญเป็นบารมีของคุณน่ะครับ(อ่านโพสที่8ครับ หลวงพ่อท่านบอกไว้ว่าควรทำอย่างไร)
นี้เป็นหน้าที่หลักของพวกเราทีเดียว
อนุโมทนาบุญครับ
#14
โพสต์เมื่อ 04 March 2007 - 02:19 PM