ไปที่เนื้อหา


รูปภาพ
- - - - -

ทำอย่างไรให้เราสามารถเห็นในสิ่งที่ตามองไม่เห็น


  • คุณไม่สามารถตั้งกระทู้ใหม่ได้
  • กรุณาลงชื่อเข้าใช้เพื่อตอบกระทู้
มี 2 โพสต์ตอบกลับกระทู้นี้

#1 cheterkk

cheterkk
  • Members
  • 270 โพสต์

โพสต์เมื่อ 24 November 2013 - 03:17 PM

ทำอย่างไรให้เราสามารถเห็นในสิ่งที่ตามองไม่เห็น (ไม่รวมถึงไฟฟ้า พลังงานแม่เหล็ก แรงดัน หรืออื่นๆ ที่มีเครื่องมือตรวจวัดได้แล้วในปัจจุบัน) 

 

สิ่งที่มนุษย์มองไม่เห็น 

1.พลังจิต (เคยมีข่าวว่ามีคนสร้างเครื่องวัดพลังจิตได้ หรือเครื่องวัดพลังงานออร่า)

2.จิต/ใจ (หมอเอาร่างกายคนไปผ่าพิสูจน์ทุกส่วนแล้ว แต่ไม่เจอจุดที่เรียกว่าจิต/ใจ)

3.ความคิด/ความจำ (อันนี้น่าจะสามารถวัดได้จากพลังงานไฟฟ้าในสมอง รอยหยักในสมอง เซลล์สมอง)

4.วิญญาณ (เครื่องวัดวิญญาณคงยังไม่มี ถ้ามีก็บอกด้วยนะ เคยเห็นแต่เครื่องวัดพลังงานบางอย่าง แต่ตีความว่าไปวัดวัญญาณได้)

5.ความรู้สึกโลภ/โกรธ/หลง (มนุษย์มีความรู้สึก 3 อย่างนี้ได้ อะไรละกำหนดให้เกิดความรู้สึกเหล่านี้)

6.วิทยาธร นาค ครุต คนธรรพ์ ยักต์ เทวดา ภูมิ และอื่นๆ (ซึ่งมนุษย์รู้แต่การบอกต่อๆกันมา รู้จากตำรา รู้จากการบอกเล่า รู้จากครูอาจารย์ว่ามีจริง แต่มนุษย์ยังพิสูจน์ ไปรู้ไปเห็นไม่ได้ หมายถึงว่าหากมีมนุษย์บางคนเห็นได้จริง แต่มนุษย์คนนั้นก็ไม่สามารถเอามาให้รู้ให้เห็นให้พิสูจน์กับมนุษย์คนอื่นได้ ) 

 

เข้าใจว่าเราต้องไปรู้ไปเห็นเอง และบางอย่างเราก็ไม่จำเป็นต้องรู้ต้องเห็น แต่ถ้าคิดแบบนั้นก็จะไม่มีคนคิดผลิตกระแสไฟฟ้า เครื่องตรวจเชื้อโรค เครี่องตรวจอนุภาคโมเลกุล ต่างๆ มาได้นะสิครับ  

 

จุดประสงค์กระทู้นี้ เพื่อปุจฉา วิฉัชนา กันนะครับ ไม่ได้ให้ความหมายว่าใครต้องตอบให้ถูกหรือผิด ใช่หรือไม่ใช่ มันก็คล้ายกับที่นักวิจัยตั้งเหตุขึ้นแล้ว คาดว่าผลลัพท์ต้องเป็นแบบนั้น แต่พอผลลัพท์ไม่ได้เป็นแบบนั้นนักวิจัยก็ตั้งสมมุติฐานขึ้นมาใหม่พอทดลองมันต่อไป 



#2 หัดฝัน

หัดฝัน
  • Members
  • 4531 โพสต์
  • Gender:Male
  • Interests:ธรรมะ

โพสต์เมื่อ 24 November 2013 - 04:55 PM

ทำในสิ่งที่คนยุคปัจจุบันส่วนใหญ่ไม่ทำกันน่ะครับ ทำไมถึงตอบแบบนั้น หากเราได้ย้อนไปดูสิ่งประดิษฐ์ต่างๆ ทั้งหลายว่าเกิดขึ้นมาได้อย่างไร เราจะพบว่า สิ่งประดิษฐ์ทั้งหลายล้วนเกิดจากนักประดิษฐ์ในยุคนั้น คิดทำในสิ่งที่เขาไม่ทำกัน(ในตอนนั้น)ทั้งสิ้นน่ะครับ ตั้งแต่เรื่องง่ายไปจนถึงเรื่องยากเลยทีเดียว

เอาเรื่องง่ายๆ ก่อน เช่น กระจกมองหลังรถยนต์ เดิมทีสมัยก่อนรถยนต์ไม่มีกระจกมองหลัง คนที่ขับรถสมัยก่อน จะดูรถข้างหลังก็เหลียวหลังไปดู ไม่มีปัญหาใดๆ เพราะรถสมัยก่อนเทคโนโลยีต่ำ จึงวิ่งช้า และจำนวนก็มีไม่มาก

แต่มันก็เป็นปัญหาพอสมควรในวงการรถแข่ง นั่นคือ เวลาจะแข่งรถก็ต้องพัฒนารถให้วิ่งเร็วขึ้นล้ำหน้าคู่แข่ง ทีนี้พอรถเร็วขึ้น การไม่รู้ข้างหลังก็อันตราย จึงต้องมี คนแข่ง 2 คนทุกครั้งที่แข่งรถ คือ คนขับ และผู้ช่วยคอยมองข้างหลังให้ เวลาจะแซงกัน หรือ ดูรถคันหลังเป็นต้น

ทีนี้ปัญหาก็เกิด เมื่อนายรอย ฮาโรล อยากลงแข่ง แต่หาเพื่อนไม่ได้(สงสัยจะนิสัยไม่ดี อิอิ) จึงไปขอกรรมการ กรรมการเห็นว่า แข่งคนเดียวอันตราย จึงไม่อนุญาติ แต่แล้ววันหนึ่ง ขณะที่นายรอย ส่องกระจกอยู่ที่บ้าน แกก็เกิดปิ๊งไอเดียขึ้นมา จึงไปขอกรรมการใหม่ โดยบอกว่า แกจะติดกระจกไว้ที่หน้ารถ เอาไว้ดูข้างหลัง คณะกรรมการเห็นว่า เออ สงสัยจะใช้ได้ ว่าแล้วก็อนุญาติให้นายรอย ลงแข่ง

ผลก็คือ นายรอย วิ่งลิ่วนำฉิว จนเข้าเส้นชัยเป็นคันแรก เพราะสามารถมองข้างหลังจากกระจกได้เลย โดยไม่ต้องไปคอยฟังจากคนข้างๆ และแล้วกระจกมองหลัง จึงเกิดขึ้นจากนายรอย ที่ทำสิ่งที่ไม่มีใครทำ ในยุคนั้นนั่นเอง

เรื่องยากๆ ก็ทำนองเดียวกัน ไม่ว่าจะเป็นกระแสไฟฟ้า ที่เอดิสัน ประดิษฐ์ขึ้นมา จากความล้มเหลวถึงพันครั้ง เครื่องบินที่พี่น้องตระกูลไรท์ ประดิษฐ์ขึ้นมา ก็ล้วนเกิดจากทำในสิ่งที่คนยุคนั้น ไม่กระทำกัน (เพราะไม่คิดว่าจะกระทำสำเร็จได้) ทั้งสิ้น

จนมาถึงปัจจุบัน กระแสไฟฟ้า ใครว่า มองไม่เห็น เขามีการประดิษฐ์ลูกแก้วพลาสมา ให้มองเห็นกระแสไฟฟ้าขึ้นมาได้แล้วครับ

http://www.electron....d=1137&Itemid=4
 


ได้ดี เพราะมีกัลยาณมิตร

#3 ดินสอแห่งธรรม

ดินสอแห่งธรรม

    สร้างบารมีเป็นหมู่คณะ = ฝึกตนให้เป็นผู้ใจกว้าง

  • Members
  • 1478 โพสต์
  • Gender:Male
  • Location:ดุสิตบุรี
  • Interests:สร้างบารมีแบบเต็มกำลัง

โพสต์เมื่อ 24 November 2013 - 07:50 PM

^_^ ...ก็ตามนั้นนะครับ   สิ่งที่ไม่เห็น มองไม่เห็น ไม่ใช่ว่าไม่มี ไม่ใช่ว่าเป็นแค่ตำนาน หรือเรื่องเล่าต่อๆกันมา ... ฯลฯ

 

...ดังนั้น ความดี ความชั่ว มีอยู่จริง  ที่อยู่ของคนทำดี กับคนทำชั่่ว ย่อมมีจริง  และนรก สวรรค์ก็ย่อมมีจริง  ..คนเป็นๆ ทำชั่วบนโลกก็ยังมีคุกรองรับ และเมื่อตายความชั่วก็ไม่ได้หมดไปหรือหายไป ย่อมมีภพภูมิ หรือสถานที่รอคนชั่วนั้นๆอยู่  แม้มองไม่เห็นไม่ใช่ว่าไม่มี เพราะจะเห็นก็ตอนตาย  หรืออาจเห็นได้ด้วยสิ่งที่เปิดภพภูมิให้เห็นได้ .. ดังนั้น หากจะเปรียบว่า ทุกอย่างที่เป็นไป  ย่อมมีเหตุ และมีผล  ... แม้จุลินทรีย์ ที่มองไม่เห็นก็ยังรอวันที่ จะค้นพบกล้องจุลทรรศน์ เพื่อพิสูจน์ความจริง....  ดังนั้น ภพภูมิของคนตาย  ก็รอวันที่จะมีญาณทัศนะไปรู้ไปเห็นตามความละเอียดของภพภูมิ...

 

....เป็นเรื่องง่ายมาก ที่จะเอาเหตุผลมาคุยกับคนที่สับสนว่า นรก สวรรค์ มีจริงหรือไม่?  เพราะหากคุยด้วยเหตุด้วยผลแล้ว ในเมื่อคุก ยังมีจริง ตอนที่ยังมีชีวิตแล้ว ตอนตาย ก็ต้องมีสถานที่รองรับ เพราะมันไม่ได้สูญหายไปไหน  ถ้าสูญหายไปได้เราคงไม่ต้องเกิดมาจนบ้าง รวยบ้าง พิการบ้าง สมบูรณ์บ้าง ดีบ้าง ชั่วบ้าง ฯลฯ...

 

....ดังนั้น การรู้แจ้ง เห็นจริง ย่อมเป็นสิ่งที่ดีกับตัวเรา และปลอดภัยกับตัวเราอย่างแท้จริง  การไม่รู้จริง ไม่เห็นจริง แต่หลอกตัวเองว่าตนรู้ดีกว่าใครๆ ย่อมเป็นหายนะแก่ตัวเขา   เสมือนก้อนหินลนไฟ  ผู้รู้ผู้เห็นว่าหินนี้ถูกลนไฟ ย่อมไม่กล้าที่จะจับหิน  แต่สำหรับผู้ที่ไม่รู้ เมื่อจะจับต้องก็จับเต็มที่เพราะไม่รู้ว่าถูกลนไฟ...ก็เหมือนบาปอกุศล  ที่ผู้รู้ย่อมกลัวเกรง ย่อมระวังตน  แต่ผู้ไม่รู้นั้นไซร้ ย่อมเผลอและไม่ระวังตน จนผลของบาปอกุศลนั้น กลับมาเผาผลาญหรือทำอันตรายต่อตัวเขาเองอย่างสาหัส... :)


..อันมือของฉันสองมือนี้ ดูเล็กนิดเดียวและไม่มั่นใจว่าฉันจะสร้างสิ่งดีๆ ให้เกิดแก่โลกใบนี้ได้.. แต่ฉันมั่นใจว่า ...หัวใจของฉันนี้ มอบไว้ให้แด่พระพุทธศาสน์....