ไปที่เนื้อหา


สุภาพบุรุษ072

เป็นสมาชิกตั้งแต่ 14 Apr 2008
ออฟไลน์ ใช้งานล่าสุด May 08 2015 07:07 PM
*****

กระทู้ที่ฉันเริ่ม

20อมตวาทะธรรมของพระอรหันต์

07 October 2009 - 11:25 AM

คำพูดในโลกนี้ แม้มีมากมายหลายแสนล้านคำ
บางถ้อยคำอาจไพเราะสละสลวย แต่ถ้าคำพูดเหล่าใดไม่ก่อให้เกิดประโยชน์
ซ้ำยังนำมาซึ่งความทุกข์ใจ คำพูดเหล่านั้นก็ไม่นับว่าเป็นคำพูดที่ดีงามนัก
ตรงกันข้ามกับคำพูดที่ฟังแล้วพาใจให้หลุดพ้นจากห้วงแห่งวัฏฏสงสาร
นำมาซึ่งความสุขอันเป็นนิรันดร์ คำพูดนั้นแม้มีจำนวนเพียงเล็กน้อย
ก็นับได้ว่าเป็นคำพูดชั้นเยี่ยม ควรค่าแก่การฟังและนำไปใช้ในชีวิต
อมตวาทะธรรมของพระอรหันต์นี้ นอกจากจะมีความไพเราะในเชิงภาษา
และนำมาเป็นอุทาหรณ์สอนจิตเสริมสร้างกำลังใจในการปฎิบัติตามหลักคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
ทั้งควรค่าแก่การนำมาฝึกฝนอบรบบ่มบารมีของตนทั้งทาน ศีล ภาวนาให้แก่รอบยิ่งๆขึ้นไป ตราบกระทั่งถึงที่สุดแห่งธรรม

ดังอมตวาทะธรรมของพระอรหันต์ในพระไตรปิฎกขุททกนิกายเถรคาถา ที่ได้คัดสรรมาเพียงบางส่วน ดังนี้



๑. พระมหาโกฏฐิตเถระ
บุคคลผู้สงบ งดเว้นจากการทำความชั่ว
พูดด้วยปัญญา ไม่ฟุ้งซ่าน ย่อมกำจัดบาปธรรมทั้งหลาย
เหมือนลมพัดใบไม้ให้ร่วงหล่นไปฉะนั้น"

ขุ.เถร.มก./๕๐/๕๕/๑๓๙


๒. พระภัลลิยเถระ
"ผู้ใดขจัดเสนาแห่งมัจจุราช เหมือนห้วงน้ำใหญ่
กำจัดสะพานไมอ้อ อันแสนจะทรุดโทรมฉะนั้น
ก็ผู้นั้นจัดว่าเป็นผู้ชนะมาร ปราศจากความหวาดกลัว
มีตนอันฝึกแล้ว มีจิตตั่งมั่น ดับกิเลสและความเร่าร้อนได้แล้ว"

ขุ.เถร.มก.๕๐/๙๖/๑๔๔


๓. พระสุมังคลเถระ
"เราพ้นดีแล้ว เราเป็นผู้พ้นดีแล้ว จากความค่อมทั้ง ๓ คือ
เราพ้นแล้วจากการเกี่ยวข้าว จากการไถ จากการถางหญ้า
ถึงแม้ว่ากิจมีการเกี่ยวหญ้าเป็นต้น จะอยู่ในที่ใกล้ๆเรานี่เอง
แต่ก็ไม่สมควรแก่เราทั้งนั้น ท่านจงเจริญฌาณไปเถิด
จงเจริญฌาณไปเถิดสุมังคละ ท่านจงเป็นผู้ไม่ประมาทอยู่เถิด สุมังคละ"

ขุ.เถร.มก.๕๐/๒๔๓/๑๘๐


๔. พระมลิตวัมภเถระ
"เราเกิดความกระสันขึ้นในที่ใด เราย่อมไม่อยู่ในที่นั้น
แม้เราจะยินดีอย่างนั้น ก็พึงหลีกไปเสีย แต่เราเห็นว่า
การอยู่ในที่ใดจะไม่มีความเสื่อมเสีย เราก็พึงอยู่ในที่นั้น''

ขุ.เถร.มก.๕๐/๔๗๘/๒๔๒


๕. พระสุนาคเถระ
''ผู้ฉลาดในการถือเอา ซึ่งนิมิตแห่งภาวนา
จิตเสวยรสแห่งวิเวกเพ่งฌาณฉลาดในการรักษากรรมฐาน
มีสติตั้งมั่นพึงบรรลุนิรามิสสุขอย่างแน่นอน"

ขุ.เถร.มก.๕๐/๔๐๙/๒๒๒


๖. พระอภัยเถระ
''เมื่อบุคคลได้เห็นรูปแล้ว มัวใส่ใจถึงอารมณ์อันเป็นที่รัก
สติก็หลงลืม ผู้ใดมีจิตกำหนัด ยินดีเสวยรูปารมณ์ รูปารมณ์ก็ครอบงำผู้นั้น
อาสวะทั้งหลายย่อมเจริญแก่ผู้นั้น ผู้เข้าถึงซึ่งมูลแห่งภพ''

ขุ.เถร.มก.๕๐/๔๕๕/๒๓๕


๗. พระอุตรเถระ
''ภพอะไรที่เทียงไม่มี แม้สังขารที่เที่ยงก็ไม่มี
ขันธ์เหล่านั้น ย่อมเวียนเกิดและเวียนดับไป
เรารู้โทษอย่างนี้แล้ว จึงไม่มีความต้องการด้วยภพ
เราสลัดตนออกจากกามทั้งปวง บรรลุถึงความสิ้นอาสวะแล้ว''

ขุ.เถร.มก.๕๑/๑/๒๕๘


๘. พระราธะเถระ
''เรือนที่บุคคลมุงไม่ดี ฝนย่อมรั่วรดได้ ฉันใด
จิตที่ไม่ได้อบรมแล้ว ราคะย่อมรั่วรดได้ ฉันนั้น
เรือนที่มุงดีแล้ว ฝนย่อมรั่วรดไม่ได้ ฉันใด
จิตที่อบรมดีแล้ว ราคะย่อมรั่วรดไม่ได้ ฉันนั้น''

ขุ.เถร.มก.๕๑/๓๐/๒๖๔


๙. พระเหรัญญกานิเถระ
''วันและคืนย่อมล่วงไปๆชีวิตย่อมดับไป
อายุของสัตว์ทั้งหลายย่อมสิ้นไป เหมือนน้ำในแม่น้ำน้อย ฉะนั้น
เมื่อเป็นเช่นนั้น คนพาลทำบาปกรรมอยู่ ย่อมไม่รู้สึกตัว ต่อภายหลัง
เขาจึงได้รับทุกข์อันเผ็ดร้อน เพราะบาปกรรมนั้นมีวิบากเลวทราม''

ขุ.เถร.มก.๕๑/๕๙/๒๗๐


๑๐. พระสัพพมิตรเถระ
''คนเกี่ยวข้องในคน คนยินดีกะคน
คนถูกคนเบียดเบียน และคนเบียดเบียนคน
ก็จักต้องการอะไรกับคน หรือกับสิ่งที่คน ทำให้เกิดแล้วแก่คนเล่า
ควรละคนที่เบียดเบียนคนเป็นอันมากไปเสีย''

ขุ.เถร.มก.๕๑/๖๖/๒๗๒


๑๑. พระสิริมาเถระ
''ถ้าคนมีจิตไม่ตั้งมั่น ถึงชนเหล่าอื่นจะสรรเสริญ
ชนเหล่าอื่นก็สรรเสริญเปล่า เพราะตนมีจิตไม่ตั้งมั่น
ถ้าตนมีจิตตั้งมั่นดีแล้ว ถึงชนเหล่าอื่นจะติเตียน
ชนเหล่าอื่นก็ติเตียนเปล่า เพราะตนมีจิตตั้งมั่นดีแล้ว''

ขุ.เถร.มก.๕๑/๘๙/๒๗๗


๑๒. พระจุฬกเถระ
''นกยูงทั้งหลาย มีหงอนงาม ปีกก็งาม
มีสร้อยคอเขียวงาม ปากก็งาม มีเสียงไพเราะ
ส่งเสียง ร่ำร้อง รื่นรมย์ใจ อนึ่ง แผ่นดินใหญ่นี้
มีหญ้าเขียวชอุ่มดูงาม ท่านก็มีใจเบิกบานควรแก่งาน
จงเพ่งฌาณ ที่พระโยคาวจร ผู้มีใจดีเจริญดีแล้ว
มีความบากบั่น ในพระพุทธศาสนาเป็นอันดี
จงบรรลุธรรมอันสูงสุด อันเป็นธรรมขาวผุดผ่อง
ละเอียด เห็นได้ยาก เป็นธรรมไม่จุติแปรผัน''

ขุ.เถร.มก.๕๑/๒๑๔/๓๐๓

๑๓. พระกาติยานเถระ
''จงตื่นขึ้นเถิด อย่าให้มัจจุราชผู้เป็นพวกพ้องของคนประมาท
ชนะท่านผู้เกียจคร้าน ด้วยอุบายอันโกงเลย กำลังคลื่นแห่งมหาสมุทร
ย่อมครอบงำบุรุษผู้ไม่อาจข้ามมหาสมุทรนั้นได้ แม้ฉันใด
ชาติและชราย่อมครอบงำท่านผู้ถูกความเกียจคร้านครอบงำแล้ว ฉันนั้น
ขอท่านจงทำเกาะคือ อรหัตผลแก่ตนเถิด
เพราะที่พึ่งอย่างอื่นในโลกนี้และโลกหน้า ย่อมไม่มีแก่ท่าน''

ขุ.เถร.มก.๕๒/๑๘๗/๓๕๓


๑๔. พระกาฬุทายีเถระ
''ชาวนาหว่านพืชบ่อยๆ ฝนตกบ่อยๆ
ชาวนาไถนาบ่อยๆ แว่นแคว้นสมบูรณ์ด้วยธัญญาหารบ่อยๆ
พวกยาจกเที่ยวขอบ่อยๆ ผู้เป็นทานบดีให้บ่อยๆ
ครั้นให้บ่อยๆแล้ว ย่อมถึงสวรรค์บ่อยๆ''

ขุ.เถร.มก.๕๒/๓๒๐/๓๗๐


๑๕. พระเรวตเถระ
''เมืองหน้าด่านเป็นเมืองอันเขาคุ้มครอง
แล้วทั้งภายในและภายนอกฉันใด
ท่านทั้งหลาย จงคุ้มครองตนฉันนั้นเถิด
ขณะอย่าได้ล่วงเลยท่านทั้งหลายไปเสีย
เราไม่ยินดีต่อความตาย ไม่เพลิดเพลินต่อความเป็นอยู่
แต่เรารอเวลาตาย เหมือนลูกจ้างคอยให้หมดเวลาทำงานฉะนั้น
เราไม่ยินดีความตาย ไม่เพลิดเพลินความเป็นอยู่
แต่เรามีสติสัมปชัญญะรอท่าเวลาตาย''

ขุ.เถร.มก.๕๒/๔๖๕/๓๘๑


๑๖. พระปาราสริยเถระ
''ร่างกายนี้ เต็มไปด้วยหนองเลือดและซากศพเป็นอันมาก
อันนายช่างผู้ฉลาด ทำไว้เป็นของเกลี้ยงเกลาวิจิตรงดงามดุจสมุก
คนพาลย่อมไม่รู้สึกว่า ร่างกายนี้เป็นของเผ็ดร้อน
มีรสหวานชื่นใจ เกี่ยวพันด้วยความรัก เป็นทุกข์
เป็นของฉาบไล้ไว้ด้วยสิ่งที่น่าชื่นใจ
เหมือนมีดโกน อันทาแล้วด้วยน้ำผึ้งฉะนั้น''

ขุ.เถร.มก.๕๓/๑๙/๓๘๖


๑๗. พระสารีบุตรเถระ
''ความตายนี้ มีแน่นอนใน ๒ คราวคือ
ในเวลาแก่หรือในเวลาหนุ่มที่จะไม่ตายเลยย่อมไม่มี
เพราะฉะนั้น ท่านทั้งหลายจงบำเพ็ญแต่สัมมาปฎิบัติเถิด
ขอจงอย่าได้ปฎิบัติผิด อย่าพินาศเสียเลย
ขณะอย่าได้ล่วงเลยท่านทั้งหลายไปเสีย
เพราะผู้มีขณะอันล่วงเลยไปเสียแล้ว
ต้องพากันไปเศร้าโศกยัดเยียดอยู่ในนรก''

ขุ.เถร.มก.๕๓/๒๓๒/๓๙๖

๑๘. พระอานนท์เถระ
''จิตของท่านเร่าร้อนก็เพราะความสำคัญผิด
เพราะฉะนั้นท่านจงละทิ้งนิมิตอันงาม
ซึ่งประกอบด้วยราคะเสีย ท่านจงอบรมจิตให้มีอารมณ์อันเดียว
ตั้งมั่นเด็ดเดี่ยวด้วยการพิจารณา สิ่งทั้งปวงว่าเป็นของไม่สวยงาม''

ขุ.เถร.มก.๕๓/๔๘๖/๔๐๑

๑๙. พระมหากัสสปเถระ
''ผู้ใดไม่หวั่นไหวเพราะมานะ ๓ อย่าง ที่ถือว่าตัวเรา
เป็นผู้ประเสริฐกว่าเขา๑ เสมอเขา๑ เลวกว่าเขา๑
นักปราชญ์ย่อมสรรเสริญ ผู้นั้นแหละว่า
เป็นผู้มีปัญญามีวาจาจริง ตั้งมั่นดีแล้ว
ในศีลทั้งหลายและว่าประกอบด้วยความ สงบใจ''

ขุ.เถร.มก.๕๓/๓๓๗/๓๙๘

๒๐. พระมหาโมคคัลลานเถระ
''เราติเตียนกระท่อม คือสรีระร่างอันสำเร็จด้วยโครงกระดูก
อันฉาบทาด้วยเนื้อร้อยรัดด้วยเส้นเอ็น เต็มไปด้วยของไม่สะอาด
มีกลิ่นเหม็น น่าเกลียด ที่คนทั่วๆไปเข้าใจว่าเป็นของผู้อื่นและเป็นของตน

อนึ่งชนผู้มีความเพียรเหล่าใด พิจารณาเห็นสังขารทั้งหลาย
โดยความเป็นของแปรปรวน และไม่ใช่ตัวตน
ชนผู้มีความเพียรเหล่านั้น ชื่อว่าแทงตลอดธรรมอันละเอียด
เหมือนนายขมังธนูยิงขนทรายจามรีถูกด้วยศรฉะนั้น''

ขุ.เถร.มก.๕๓/๔๓๓/๔๐๐

พระพุทธเจ้าในอนาคตกับเส้นทางการสร้างบารมี

24 September 2009 - 09:48 AM

พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ทรงพยากรณ์ไว้แก่พระสารีบุตรถึงการอุบัติขึ้นของพระพุทธเจ้าในอนาคตไว้10พระองค์ ต่อจากพระองค์ไปโดยลำดับกัปนับแต่ภัทรกัปนี้เป็นต้นไป ซึ่งพระโพธิสัตว์ทั้ง10พระองค์นี้ เมื่อทรงสร้างบารมี30ทัศครบบริบูรณ์แล้ว จะทรงมีพุทธานุภาพไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน พระอนาคตวงศ์10พระองค์ มีประวัติโดยย่อดังนี้

1.) พระศรีอาริยเมตไตรย
ในอดีตพระองค์ คือพระเจ้าสังขจักรพรรดิราช แห่งอินทปัตนครในสมัยของพระสิริมิตรพุทธเจ้า
วันหนึ่ง พระองค์ได้พบสามเณรในสำนักพระสิริมิตรพุทธเจ้า ทรงเกิดความเลื่อมใสในสามเณรนั้น
พระองค์จึงเสด็จมาเฝ้าพระพุทธเจ้าซึ่งประทับอยู่ที่บุพพาราม หลังจากที่พระองค์ได้ฟังพระธรรมจากพระพุทธเจ้าสิริมิตรแล้ว พระองค์จึงได้ถวายศีรษะของพระองค์เองแด่พระพุทธเจ้าเพื่อบูชาพระธรรมที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงแก่พระองค์
แล้วทรงไปบังเกิดเป็นเทพบุตรในสวรรค์ชั้นดุสิต
และด้วยอานิสงค์แห่งบารมีนี้เอง จึงทำให้พระองค์ได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าในเวลาต่อมา
ขณะนี้พระองค์ทรงเสวยทิพยสมบัติเป็นเทพบุตรอยู่บนสวรรค์ชั้นดุสิต
และเมื่อถึงกำหนดเวลา พระโพธิสัตว์เจ้าจะได้ลงมาจุติในโลกมนุษย์ ในวรรณะพราหมณ์
เกิดในครรภ์ของนางพรหมวดีซึ่งเป็นภรรยาของสุพรหมพราหมณ์ ปุโรหิตของพระเจ้าสังขจักรพรรดิราชแห่งเกตุมดีนคร
เมื่อทรงประสูติจะมีนิมิต32ประการปรากฏขึ้น
และมีมหาปราสาทสำหรับเป็นที่ประทับ ปรากฏขึ้น3หลังๆละ7ชั้น ประดับประดาด้วยรัตนะ7ประการ
พระองค์จะทรงมีพระชนม์มายุได้ 80,000ปี มีพระสรีรกายสูง 88ศอก(44เมตร)
และทรงกระทำความเพียรเพื่อตรัสรู้นาน7วัน
พระฉัพพรรณรังสีของพระองค์จะแผ่ไปหมื่นโลกธาตุ ส่องสว่างตั้งแต่อเวจีมหานรกถึงภวัคคพรหม

2.)พระรามพุทธเจ้า
คือ อดีตนารทมาณพ ซึ่งเกิดในสมัยของพระกัสสปพุทธเจ้า(พระพุทธเจ้าเมื่อพุทธันดรที่แล้ว)
นารทมาณพนั้นได้จุดไฟที่ศีรษะบูชาแด่พระพุทธเจ้า
หลังจากที่ได้รับพุทธพยากรณ์ว่าจะได้เป็นพระพุทธเจ้าต่อจากพระศรีอาริยเมตไตรย
ก็ไปบังเกิดเป็นเทพบุตรในสวรรค์ชั้นดุสิตก่อนจะมาจุติเป็นพระรามพุทธเจ้า และต่อมาได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า
พระองค์จะทรงมีพระชนม์มายุได้ 90,000ปี มีพระสรีรกายสูง 80ศอก(40เมตร)
มีพระฉัพพรรณรังสีส่องสว่างตลอดทั้งกลางวันและกลางคืน

3.)พระธรรมราชาพุทธเจ้า
คือ อดีตพระเจ้าปเสนทิโกศล
ที่จะมาบังเกิดเป็นพราหมณ์หนุ่มชื่อ สุทธมาณพ
หาเลี้ยงชีพโดยเก็บดอกบัววันละ2ดอกไปขาย ทรงได้รับพยากรณ์จากพระพุทธเจ้าโกนาคมน์ว่า
จะได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าพระองค์หนึ่งในอนาคต
เมื่อได้เสวยทิพยสมบัติในสวรรค์ชั้นดุสิตแล้วจะลงมาจุติบนโลกมนุษย์
เป็นกษัตริย์มีพระนามว่าพระธรรมราชา และต่อมาได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า
พระองค์จะทรงมีพระชนม์มายุได้ 50,000ปี จะมีพระสรีรกายสูง 16ศอก(8เมตร)
ทรงมีพระฉัพพรรณรังสีเกิดขึ้นเป็นนิจ ตลอดทั้งกลางวันและกลางคืน

4.)พระธรรมสามีพุทธเจ้า
คือ อดีตพระยามาราธิราช (พญาวสวัตดีมาร)
ผู้เป็นจอมเทวดาฝ่ายมารบนสวรรค์ชั้นสูงสุด(ชั้นปรนิมมิตวสวัตดี)
พระองค์จะได้บังเกิดเป็นมหาเสนาบดีนามว่าโพธิ
และได้รับคำพยากรณ์จากพระพุทธเจ้ากัสสปะว่า จะได้เป็นพระพุทธเจ้าในอนาคต
และเมื่อไปบังเกิดบนสวรรค์ชั้นดุสิตแล้ว ก็จะจุติลงมาเกิดเป็นกษัตริย์
และได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าในเวลาต่อมา ทรงมีพระนามว่าพระธรรมสามี
พระองค์จะทรงมีพระชนม์มายุได้ 100,000ปี มีพระสรีรกายสูง 80ศอก(40เมตร)
พระฉัพพรรณรังสีจะสว่างดังแสงพระอาทิตย์และพระจันทร์

5.)พระนารทพุทธเจ้า
คือ อดีตพระยาอสุรินทราหู ผู้เป็นมหาอุปราชครองภพอสูร
ได้มาบังเกิดเป็นมนุษย์ เป็นกษัตริย์มีพระนามว่าสิริคุต
ครองนิรมลนครในสมัยพระพุทธเจ้ากัสสปะ และได้รับคำพยากรณ์จากพระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบันว่า
จะได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าในอนาคตมีพระนามว่านารทะ
พระองค์จะทรงมีพระชนม์มายุได้ 10,000ปี ทรงมีพระสรีรกายสูง 120ศอก(60เมตร)
พระฉัพพรรณรังสีบังเกิดขึ้นทั้งกลางคืนและกลางวัน

6.)พระรังสีมุนีพุทธเจ้า
คือ อดีตโสณพราหมณ์
ที่จะมาบังเกิดเป็นพ่อค้ามีนามว่า มาฆมาณพในสมัยพระพุทธเจ้ากกุสันธะ
มาฆมาณพเป็นพ่อค้าที่ฉลาด แต่ประสบทุกข์
สูญสิ้นทรัพย์สินเงินทองที่หามาได้จำนวนมากถึง3ครั้ง3คราว
จึงเดินทางไปเมืองโกสัมพี เพื่อรักษาอุโบสถศีลในวันเพ็ญขึ้น15ค่ำ
พระกกุสันธพุทธเจ้าทรงพยากรณ์ว่า มาฆมาณพจะได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าในอนาคต ทรงพระนามว่าพระรังสีมุนี
พระองค์จะทรงมีพระชนม์มายุได้ 5,000ปี มีสรีรกายสูง 60ศอก(30เมตร)
แสงสว่างแห่งพุทธรัศมีสว่างไสวในเวลากลางวันเหมือนดังแสงทอง และสว่างไสวในเวลากลางคืนดังแสงสีเหลือง

7.)พระเทวเทพสัมพุทธเจ้า
คือ อดีตสุภพราหมณ์
บรมโพธิสัตว์ที่มาบังเกิดเป็นพระยาช้างฉัททันต์ ริมฝั่งสระฉัททันต์ในสมัยพระโกนาคมนพุทธเจ้า
พระยาช้างฉัททันต์ได้เห็นสรีระของพระสาวกอันมีพระนามว่าพระอัญญาโกณฑัญญะ
ซึ่งดับขันธปรินิพพานที่ริมสระฉัททันต์นั้น จึงได้อธิษฐานขอบุญกุศลที่เคยบำเพ็ญมา
ทำให้เกิดเลื่อยมาเลื่อยเอางาทั้งสองของตน โดยเอางาช้างหนึ่งมาทำเป็นราง
อีกข้างหนึ่งทำเป็นรูปนกยูง เพื่อประดิษฐานสรีระของพระเถระไว้กับราง
แล้วรวบขนบนศีรษะของตนจุดไฟบูชาสรีระของพระเถระ และตั้งความปรารถนา
ขอให้การถวายงาจงเป็นพลวปัจจัยให้ได้บรรลุพระสัพพัญญุตญาณ
สุภพราหมณ์ได้รับพุทธพยากรณ์ว่า จะได้เป็นพระพุทธเจ้าพระองค์หนึ่งในอนาคต ทรงมีพระนามว่า พระเทวเทพ
พระองค์จะทรงมีพระชนม์มายุได้ 80,000ปี มีสรีรกายสูง 80ศอก(40เมตร)
มีฉัพพรรณรังสีประดุจดังช่อดอกไม้ ไม่มีความหนาวร้อน ส่องสว่างไปทั่วสากลโลก

8.)พระนรสีหสัมพุทธเจ้า
คือ อดีตนันทมาณพ
ซึ่งเคยถวายผ้ากำพล1ผืนและทองแสนตำลึงแด่พระปัจเจกพุทธเจ้าในสมัยหนึ่ง
ได้ตั้งความปรารถนาในคราวนั้นว่าขอให้ตนได้เกิดมาเป็นพระพุทธเจ้าในอนาคต
มีอำนาจแผ่ไปตลอดหนึ่งโยชน์ทั้งเบื้องบนและเบื้องล่าง
ต่อมาเมื่อนันทมาณพตายไปแล้วก็ได้ไปเสวยทิพยสมบัติบนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์
แล้วจึงจุติลงมาเกิดเป็นกษัตริย์ เสวยสัมบัติในเมืองมนุษย์ก่อนจะมาเกิดเป็นโตเทยยพพราหมณ์
ในสมัยพระพุทธเจ้าสมณโคดมซึ่งเป็นพระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบัน พระพุทธองค์ได้พยากรณ์โตเทยยพพราหมณ์ว่า
จะได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าในอนาคต มีพระนามว่าพระนรสีหะ
พระองค์จะทรงมีพระชนม์มายุได้ 80,000ปี มีสรีรกายสูง 60ศอก(30เมตร)
แสงสว่างแห่งพุทธรัศมี กลางวันมีสีประหนึ่งแก้วมณี กลางคืนมีสีประหนึ่งสีทอง
เบื้องบนพระเศียร จะมีเศวตฉัตรอันประกอบด้วยรัตนะ7ประการ ขนาด3โยชน์ ลอยอยู่เป็นนิจ

9.)พระติสสสัมพุทธเจ้า
คือ อดีตช้างธนบาลบรมโพธิสัตว์(ช้างนาฬาคีรี)
ที่เคยเป็นพระโอรสองค์ใหญ่ของพระธรรมราชาแห่งแคว้นจำปานคร ทรงมีพระนามว่าธรรมเสน
ต่อมา พระองค์ได้เสด็จออกผนวชอยู่ในสำนักพระฤาษีธรรมเสนได้ฟังธรรมของพระโกนาคมนพุทธเจ้า
จนเกิดความเลื่อมใส จึงได้ถวายศีรษะของพระองค์บูชาพระโกนาคมนพุทธเจ้า
และตั้งความปรารถนาเป็นพระพุทธเจ้า ทรงได้รับพุทธพยากรณ์ว่า
จะได้เป็นพระพุทธเจ้าในอนาคตมีพระนามว่าพระติสสะ
พระองค์จะทรงมีพระชนม์มายุได้ 80,000ปี มีพระสรีรกายสูง 80ศอก(40เมตร)
พระฉัพพรรณรังสีประดุจเปลวเพลิง สว่างทั้งกลางวันและกลางคืน
แสงสว่างจากพระอุณาโลมเป็นประหนึ่งแวดล้อมด้วยเศวตฉัตรนับพัน

10.)พระสุมลสัมพุทธเจ้า
คือ อดีตช้างปาลิไลยกะ
ซึ่งได้เคยบังเกิดเป็นพระเจ้าจักรพรรดิในอดีตชาติ ทรงพระนามว่ามหาปนาทะ
ทรงผนวชในสำนักพระกกุสันธพุทธเจ้า ได้รับพุทธพยากรณ์ว่า
จะได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าพระองค์หนึ่งในอนาคต มีพระนามว่าพระสุมงคล
พระองค์จะทรงมีพระชนม์มายุได้ 100,000ปี มีพระสรีรกายสูง 60ศอก(30เมตร)
พระฉัพพรรณรังสีในเวลากลางวันเป็นเช่นเดียวกับแสงสีทอง และในเวลากลางคืนเป็นเช่นเดียวกับแสงสีเงิน

และในปัจจุบันชาตินี้เราได้เกิดมาสร้างบารมี
จึงเร่งสั่งสมบุญสร้างบารมีตามติดมหาปูชนียาจารย์กันอย่างไม่มีเว้นวรรค(ว่าอย่างไร ว่าตามกัน)
บุญใหญ่ในขณะนี้คือ การสร้างอาคาร100ปีคุณยาย มีความสำคัญมากในการเผยแผ่วิชชาธรรมกายไปทั่วโลก
เป็นแหล่งเรียนรู้พระธรรมคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า(รร.พระปริยัติธรรม)
ยังสันติสุขอันไพบูลย์ให้ผู้คนได้ดำเนินชีวิตอยู่ในศีลธรรม(ปิดประตูอบาย เปิดทางสวรรค์)
และได้ค้นพบกับความสุขที่แท้จริงภายในด้วยการเจริญสมาธิภาวนา
ซึ่งสถานที่แห่งนี้เป็นประดุจดั่งกองบัญชาการงานบุญ
ที่จะใช้ในการสร้างบารมีทำความเจริญรุ่งเรืองแผ่ไพศาลของพระพุทธศาสนาไปทั่วโลกนานนับพันปี
และภาพที่ผมประทับใจไม่ลืมเลือนคือ
วันที่ได้อยู่ในพิธีตอกเสาเข็มต้นแรก อาคาร100ปีคุณยาย ในเพศสมณะ(กองพลสถาปนา)
เป็นภาพที่ติดตราตรึงใจที่มีพระภิกษุสงฆ์นับหมื่นรูปและสาธุชนจำนวนมาก
มาร่วมพิธีการอันศักดิ์สิทธิ์ในครั้งนั้น(วันครูวิชชาธรรมกาย 4 ก.ย.2552)
และในวาระโอกาสนี้จึงขอเชิญชวนนักสร้างบารมีลูกพระธัม หลานคุณยาย ผู้มุ่งไปสู่ที่แห่งธรรมทุกท่าน
มาร่วมกันทอดกฐินในวันที่1 พ.ย.2552 ทำความสำเร็จในการสร้างอาคาร100ปีคุณยายให้สำเร็จเป็นอัศจรรย์
แล้วเราจะได้กล่าวคำว่า..ชิตังเม!!พร้อมๆกัน..ด้วยใจที่เบิกบานเปี่ยมล้นในบุญhappy.gif
จากที่ได้ศึกษาประวัติความเป็นมาของพระพุทธเจ้าในอนาคตแล้ว
จะเห็นได้ว่าอายุขัยของมนุษย์ในยุคนั้นๆมากมายนัก
เมื่อเทียบกับอายุขัยเฉลี่ยของมนุษย์ในยุคปัจจุบันเพียงแค่75ปี

ดังนั้น ผู้ที่หมั่นสั่งสมบุญทั้งทาน ศีล ภาวนา
จึงเป็นผู้ที่มีปัญญา ดำเนินชีวิตอยู่ในความไม่ประมาท และคือผู้ออกแบบชีวิตภายภาคหน้าในระยะยาว
เพราะถ้าบุคคลใดมีความตระหนี่ในการทำทาน เมื่อใดที่ได้ไปเกิดในยุคที่อายุขัยมนุษย์เป็นหมื่นเป็นแสนปี
วิบากกรรมแห่งความตระหนี่ก็จะทำให้ยากจน มีความลำบากเป็นหมื่นเป็นแสนปี..นึกแล้วขนแขนStand Up!
แต่ในทางตรงกันข้าม ถ้าบุคคลใดหมั่นสั่งสมบุญทั้งทาน ศีล ภาวนา อยู่เป็นนิตย์
ด้วยอานิสงค์ผลบุญที่ได้สั่งสมมา
จะทำให้เป็นผู้เพียบพร้อมด้วยที่สุดแห่งรูปสมบัติ ทรัพย์สมบัติ คุณสมบัติ มีความสุขสบายเป็นหมื่นเป็นแสนปี
และมีอุปกรณ์ในการสร้างบารมีได้อย่างสะดวกสบาย เป็นเสบียงบุญติดตัวไปทุกภพทุกชาติ ตราบกระทั่งถึงที่สุดแห่งธรรม

ทุกลมหายใจ คือการบวช

12 August 2009 - 03:33 PM

หยุดเป็นตัวสำเร็จ