ประตูแห่ง นิพพาน
#1
โพสต์เมื่อ 24 March 2007 - 11:06 AM
" เราย่อมทราบชัดซึ่งสิ่งที่โลกสมมุติว่าเลิศ ทั้งรู้ชัดยิ่งกว่านั้น และไม่ยึดมั่นความรู้ชัดนั้นด้วย
เมื่อไม่ยึดมั่น จึงทราบความดับได้เฉพาะตน ฉะนั้นตถาคตจึงไม่ทุกข์ "
การที่คนคนหนึ่งจะเกิดความรู้สึกจางคลายความยึดมั่น สิ่งต่างๆในโลกได้
เขาต้องรู้ เห็น สัจธรรม ด้วยจิตและใจ
เขามิได้เฝ้าสังเกตุ ฝ่ายเกิด
แต่ เขาเฝ้าดู ฝ่ายดับ
ผู้ที่เฝ้าดู ฝ่ายเกิด ย่อมเกิดอุปทาน และความอยาก
ผู้ที่เฝ้าดู ฝ่ายดับ ย่อมเห็น ความว่างเปล่า ความแตกสลาย ความไม่มีเหลือ ของรูปธรรมและนามธรรม
ผู้ที่เฝ้าดู ฝ่ายเกิด ย่อมเกิดความยินดี พอใจ ยึดติด หลงเป็นเจ้าของ ฯลฯ นี่เป็น เหตุแห่งทุกข์ทั้งมวล
ผู้ที่เฝ้าดู ฝ่ายดับ ย่อมถอนความยินดี ถอนความพอใจ ถอนความยึดติด ไม่มีความคิดที่จะเป็นเจ้าของ ฯลฯ นี่เป็นเหตุแห่งความดับทุกข์ทั้งมวล
ไม่มีใคร ได้ อะไรเลย
ไม่มีใคร มี อะไรเลย
ไม่มีใคร เป็น อะไรเลย
ความมี ความได้ ความเป็น เสมือนเปลือก ที่ลอกคราบออก ครั้งแล้ว ครั้งเล่า
อยู่ในนรก ก็มีเปลือกอย่างหนึ่ง
อยู่ในภพมนุษย์ ก็มีเปลือกอีกอย่างหนึ่ง
อยู๋ในสวรรค์ ก็มีเปลือกอีกอย่างหนึ่ง
อุปทานทั้งหลายนั่นแหละเป็นเปลือก
ถอนอุปทานได้ ก็ถอนเปลือกได้ ก็เจอเนื้อแท้จริง คือ นิพพาน
ท่านผู้รู้ทั้งหล่ายจึงกล่าวว่า นิพพาน ไม่ได้อยู่นอกตัวเราเลย
นิพพาน ถูก เปลือก คือ อุปทาน หุ้มห่อไว้
ความคิดว่าเราได้แล้ว เรามีแล้ว เราเป็นแล้ว นี่คือ อุปทาน
ความคิดว่าเรากำลังจะได้ กำลังจะมี กำลังจะเป็น นี่ก็คือ อุปทาน
กายนี้ จิตนี้ มีอุปทานเป็นเหตุ
ละอุปทานได้ ก็ละกายและจิตนี้ได้
ละกายและัจิตนี้ได้ ที่ตั้งของทุกข์ก็ไม่มี
พระพุทธบิดา พระองค์ทรงละอุปทานจาก กายและจิต
ทรงเสวยบรมสุขจากนิพพานดิบก่อน แล้วจึงเสวยนิพพานสุกเมื่อเสด็จดับขันธ์ปรินิพพาน
พระอรหันต์เจ้าทั้งหลายก็เช่นเดียวกัน
ผู้ที่ยังดับกิเลส ตัณหา และอุปทาน ไม่ได้ ในขณะที่มีชีวิตอยู่
ครั้นตายไปก็ไม่สามารถดับได้
ผู้ที่สามารถดับ กิเลส ตัณหา และอุปทาน ได้ ในขณะที่ยังมีชีวิตอยู่
ครั้นตายไปก็ย่อมสิ้นกิเลส ตัณหา และอุปทาน
ถ้าจะไปนิพพาน ก็ต้องละบาปอกุศลทั้งมวล
กาย วาจา และจิต ต้องประกอบด้วยบุญกุศล
และจิตที่เข้าสู่นิพพานได้ก็ต้องละ บุญกุศลนั้นด้วยจึงเข้านิพพานได้
ประตูแห่งพระนิพพาน บุญและบาป ไม่สามารถเข้าไปได้
ต้องอาศัย จิตที่บริสุทธิ์จากบุญและบาป
จิตจะบริสุทธิ์จากบุญและบาปได้ ต้องอาศัย ปัญญา
ปัญญา เกิดได้ต้องอาศัย ศรัทธา(ความพอใจที่จะเข้าสู่พระนิพพาน ความพอใจที่จะละทั้งบาปและบุญ) วิริยะ(ความเพียรละบาปและบุญ ) จิตตะ(ความตั้งใจละบาปและบุญ) วิมังสา(ความคิดพิจารณาในการละบาปและบุญ )
ในที่นี้มิได้หมายความว่า เราจะต้องไม่ทำบาป และไม่ทำบุญ
แต่หมายถึงบาปอกุศลธรรมทั้งหลายเราละเด็ดขาด ทั้งกาย วาจา และใจ
บุญกุศลทั้งหลายทำเต็มความสามารถ ทั้งกาย วาจา และใจ ทำบุญกุศลด้วย ปัญญาและเมตตา
ทำบุญก็ไม่ติดในบุญ ไม่เอาบุญมาเก็บ มานับเป็นบุญ ว่าเราทำไปเท่านั้นเท่านี้ แล้วจะได้ผลเท่านั้นเท่านี้
จิตต้องว่างจากบุญ จึงเป็นจิตที่บริสุทธิ์
เปรียบได้กับน้ำ เรากรองเอาสิ่งสกปรกออก เอาน้ำไปต้มให้เดือด หมดเชื้อโรค เราจึงเรียกว่าน้ำบริสุทธิ์
น้ำ ที่เราเติม กลิ่น และรส ให้หอม หวาน นั่นก็มิใช่น้ำที่บริสุทธิ์
น้ำบริสุทธิ์ จึงปราศจาก สี กลิ่น รส
จิตบริสุทธิ์ จึงปราศจาก บาปและบุญ จึงเข้าสู่ประตูนิพพานได้.
ขอความเจริญในธรรมบังเกิดแก่ทุกท่าน
โลกอยู่ภายใต้การครอบงำของชรา ก้าวเข้าไปสู่ชรา ไม่ยั่งยืน
โลกไม่มีผู้ต้านทาน ไม่มีผู้เป็นใหญ่
โลกไม่มีอะไรเป็นของตน จำต้องละทิ้งสิ่งทั้งปวง
โลกพร่องอยู่เป็นนิจ ไม่รู้จักอิ่ม เป็นทาสแห่งตัณหา.
- สละโลกได้ ก็พ้นทุกข์ได้
#2
โพสต์เมื่อ 28 March 2007 - 12:54 PM
#3
โพสต์เมื่อ 13 April 2007 - 06:51 AM
#4
โพสต์เมื่อ 14 April 2007 - 11:36 PM
และท่านก็ตรัสสรุป
ว่าทางเดียวที่จะรู้ตามท่าน
ตลอดจนหยุดตามท่าน
คือการมองเข้าข้างใน
และการหยั่งรู้สรรพสิ่งออกมาจากภายใน
คือสัญลักษณ์สำคัญของพุทธแท้
พุทธแท้จะรู้ว่าการพยายามมองออกข้างนอก
เป็นวิธีที่ไม่ทำให้รู้จักประโยชน์สูงสุด
อันพึงมีพึงได้จากความเป็นมนุษย์
#5
โพสต์เมื่อ 21 April 2007 - 10:24 PM
#6
โพสต์เมื่อ 24 April 2007 - 06:22 PM
#7
โพสต์เมื่อ 11 May 2007 - 09:29 PM
#8
โพสต์เมื่อ 17 May 2007 - 04:17 AM
#9
โพสต์เมื่อ 22 May 2007 - 01:37 AM
#10
โพสต์เมื่อ 14 July 2007 - 08:19 PM
#11
โพสต์เมื่อ 19 July 2007 - 09:22 AM
#12
โพสต์เมื่อ 23 July 2007 - 06:04 PM
#13
โพสต์เมื่อ 30 July 2007 - 08:37 PM
#14
โพสต์เมื่อ 02 August 2007 - 01:10 PM
#15
โพสต์เมื่อ 13 August 2007 - 06:59 PM
"ทุกชีวิตดิ้นรนค้นหาแต่จุดหมาย ใจในร่างกายกลับไม่เจอ...
ทุกข์ที่เกิดซ้ำเพราะใจนำพร่ำเพ้อ หาหัวใจให้เจอก็เป็นสุข"
#16
โพสต์เมื่อ 15 August 2007 - 03:57 PM
ธรรมะดีมาก พิมพ์ได้เยอะด้วย
#17
โพสต์เมื่อ 27 August 2007 - 06:43 PM
#18
โพสต์เมื่อ 04 September 2007 - 10:52 AM
สาธุการ้วยนะครับ
#19
โพสต์เมื่อ 16 September 2007 - 05:24 PM
#20
โพสต์เมื่อ 16 September 2007 - 07:53 PM
#21
โพสต์เมื่อ 18 September 2007 - 12:18 PM
Thank you and anumotanaboon.