ไปที่เนื้อหา


รูปภาพ
- - - - -

พระพุทธวงศ์


  • คุณไม่สามารถตั้งกระทู้ใหม่ได้
  • กรุณาลงชื่อเข้าใช้เพื่อตอบกระทู้
มี 13 โพสต์ตอบกลับกระทู้นี้

#1 PhraDhamma_son

PhraDhamma_son
  • Members
  • 25 โพสต์

โพสต์เมื่อ 05 October 2006 - 04:26 PM

ในสังสารวัฏแห่งนี้ไม่มีเรื่องอะไรใหม่เลย ล้วนเคยเกิดขึ้น ตั้งอยู่และเสื่อมสลายแล้วทั้งนั้น ดังเช่นที่ค้นคว้ามาจากพระไตรปิฎก เล่มที่ 73 พุทธวงศ์ ยิ่งน่าอัศจรรย์ใจที่มีรายละเอียดของแต่ละพระองค์ไว้อย่างยาวนานเกินกว่าพุทธกาลอีก

พระทีปังกรศาสดา ทรงมีพระนครชื่อว่ารัมมวดี
พระชนกเป็นกษัตริย์พระนามว่า พระเจ้าสุเทวะ
พระชนนีพระนามว่า พระนางสุเมธา.
พระชินเจ้า ทรงครอบครองอคารสถานอยู่หมื่นปี
ทรงมีปราสาท ๓ หลัง คือ หังสา โกญจา และมยุรา
ทรงมีพระสนมนารี สามแสน ล้วนประดับกายสวยงาม
พระมเหสีนั้นพระนามว่า ปทุมา
พระราชโอรสพระนามว่า อุสภขันธกุมาร.

พระองค์ทอดพระเนตรเห็นนิมิต ๔ ประการแล้ว
เสด็จออกทรงผนวชด้วยพระยานคือ พระยาช้างต้น
ทรงบำเพ็ญเพียรอยู่ ๑๐ เดือนเต็ม จึงทรงเป็นพระชินเจ้า.

ครั้นทรงประพฤติปธานจริยา ได้ตรัสรู้พระสัมโพธิญาณ
เป็นพระมหามุนีทีปังกรพุทธเจ้าสมพระทัยแล้ว
ผู้อันพระพรหมทรงอาราธนาแล้ว.

พระมหาวีระ ชินพุทธเจ้า ทรงประกาศพระธรรมจักรแล้ว
ประทับอยู่ ณ นันทาราม ประทับนั่งที่ควงไม้ซึก
ทรงกระทำการทรมานเดียรถีย์แล้ว.

พระทีปังกรศาสดา ทรงมีพระอัครสาวกชื่อว่า สุมังคละ และติสสะ
มีพุทธอุปัฏฐากชื่อว่าสาคตะ พระอัครสาวิกา ชื่อว่านันทาและสุนันทา
ต้นไม้เป็นที่ตรัสรู้ ของพระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้น เรียกกันว่า ต้นเลียบ.

พระทีปังกรศาสดา มีอัครอุปัฏฐากชื่อว่า ตปุสสะ และภัลลิกะ
มีอัครอุปัฏฐายิกา ชื่อว่าสิริมาและโสณา.
พระทีปังกรมหามุนี สูง ๘๐ ศอก
พระองค์มีพระรัศมี แผ่ไป ๑๐ โยชน์ โดยรอบ
พระองค์ทรงมีพระชนมายุแสนปี.

พระชินสถูปของพระองค์ ณ นันทารามนั้นนั่นแล สูง ๓๖ โยชน์.
พระสถูปบรรจุ บาตร จีวร บริขาร และเครื่องบริโภคของพระศาสดา
ตั้งอยู่ ณ โคนโพธิพฤกษ์ในครั้งนั้น สูง ๒ โยชน์.
จบวงศ์พระทีปังกรพุทธเจ้าที่ ๑
แล้วโอกาสต่อๆไปจะนำมาโพสต์ให้อ่านกันน่าจะวันละองค์นะครับ

#2 MiraclE...DrEaM

MiraclE...DrEaM
  • Members
  • 1368 โพสต์

โพสต์เมื่อ 05 October 2006 - 04:29 PM

อนุโมทนา...สาธุ ครับ

อ่า...แต่ช่วยรบกวนจัดวรรคตอน และ เรียงรูปประโยคนิดนึงได้ไหมครับ จะได้อ่านง่ายขึ้น
สิ่งอัศจรรย์ ปรากฏ บนผืนหล้า
มหาวิหาร จรัสฟ้า ค่ายิ่งใหญ่
รูปทอง ผ่องผุด ดุจยองใย
สะท้อนถึง ห้วงดวงใจ สุดบูชา

*********************

รักษ์ร่างพอสร่างร้าย ..... รอดตน
ยอดเยี่ยม "ธรรมกาย" ผล ..... ผ่องแผ้ว

เลอเลิศล่วงกุศล ..... ใดอื่น
เชิญท่านถือเอาแก้ว ..... ก่องหล้าเรืองสกล


คำสอนของเดชพระคุณหลวงพ่อ
พระมงคลเทพมุนี (สด จนฺทสโร) ผู้ค้นพบวิชชาธรรมกาย

#3 เคยเข้าวัด

เคยเข้าวัด
  • Members
  • 1296 โพสต์
  • Interests:สร้างบุญบารมีอย่างยวดยิ่ง ตราบเท่าชีวีหมดอายุขัย

โพสต์เมื่อ 05 October 2006 - 04:42 PM

อนุโมทนาครับ ^ ^
1) พระปัญญาธิกพุทธเจ้า สร้างบารมีรวม 20 อสงไขย กับอีก แสนมหากัป (รวมระยะเวลาสร้างบารมีหลังรับพุทธพยากรณ์ คือ 4 อสงไขย กับ แสนมหากัป) เช่น พระสัมมาพุทธเจ้าองค์ปัจจุบัน คือ พระสมณโคมสัมมาสัมพุทธเจ้า (อย่างน้อยที่สุด)
2) พระศรัทธาธิกพุทธเจ้า สร้างบารมีรวม 40 อสงไขย กับอีก แสนมหากัป (รวมระยะเวลาสร้างบารมีหลังรับพุทธพยากรณ์ คือ 8 อสงไขย กับ แสนมหากัป) (อย่างน้อย)
3) พระวิริยาธิกพุทธเจ้า สร้างบารมีรวม 80 อสงไขย กับอีก แสนมหากัป (รวมระยะเวลาสร้างบารมีหลังรับพุทธพยากรณ์ คือ 16 อสงไขย กับ แสนมหากัป) เช่น พระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์ต่อไป คือ พระศรีอาริยเมตไตรยสัมมาสัมพุทธเจ้า (เป้าหมาย

#4 นับดาว

นับดาว
  • Members
  • 422 โพสต์

โพสต์เมื่อ 05 October 2006 - 05:07 PM

ดีจังค่ะ

ได้ความรู้มากเลย

อนุโมทนานะคะ
ถ้าใจใส

เรื่องดีๆเกิดขึ้นได้ทุกวัน

#5 น้ำฝน มัชฌิมหญิงรุ่น14

น้ำฝน มัชฌิมหญิงรุ่น14

    เราคือ นักรบกล้าอาสาสมัคร กองทัพธรรม

  • Members
  • 1961 โพสต์
  • Gender:Female
  • Interests:ช่วยงานบุญที่วัด ให้ถึงที่สุดกำลัง ตราบวันที่ชีวิตจะสิ้นลมหายใจ

โพสต์เมื่อ 05 October 2006 - 05:08 PM

สาธุค่ะ
"ด้วยใจกล้าอาสา พัฒนาไม่หยุดยั้ง"

น้ำฝนลูกพระธัมฯ

#6 นักท่องเที่ยว

นักท่องเที่ยว
  • Members
  • 2378 โพสต์
  • Gender:Male
  • Location:รู้สึกว่าจะไม่ค่อยได้อยู่กะที่อ่ะ มาดูอารายกานอ่ะ
  • Interests:มาสร้างบารมีตามติดหมู่คณะดีกว่า

โพสต์เมื่อ 05 October 2006 - 05:47 PM

เป็นสิ่งที่ดีเลยครับมาแชร์ความรู้ให้กัน อนุโมทนาด้วยนะ
กายธรรมควรเทิดไว้ ในใจ
เป็นสรณะภายใน เทียงแท้
กว่านี้ บ่ มีใด เทียบได้
น้อบนบท่านไว้แล ค่ำเช้าสุขเสมอ


เอาบุญมาฝากจ้า นั่งสมาธิเยี่ยมไปเลย แถมไปติดจานมาอีกด้วย เด็กชาวเขานี้น่ารักนะแม้คุยไม่รู้เรื่องก็ตามล่ะ สนุกดี

#7 สาคร

สาคร
  • Members
  • 764 โพสต์

โพสต์เมื่อ 05 October 2006 - 05:50 PM

สาธุครับ แล้วผมจะรอ
ความรักความเมตตาและการให้อภัยเป็นสิ่งที่คนดีเขามีกัน


[email protected]

#8 พิมพ์บุญ

พิมพ์บุญ
  • Members
  • 73 โพสต์

โพสต์เมื่อ 05 October 2006 - 08:24 PM

เป็นความรู้ที่ดีมากค่ะ

อนุโมทนาบุญด้วยนะค่ะ
¤นักเรียนใหม่***
รักบุญ เชื่อในบุญ
mata072 windowslive.com

#9 m-ss

m-ss
  • Members
  • 108 โพสต์
  • Gender:Female
  • Location:ใกล้บ้าน

โพสต์เมื่อ 05 October 2006 - 09:37 PM

เห็นว่าตั้งกระทู้เรื่องพุทธวงค์ เลยอยากเอามาให้อ่านบ้าง เอาในกัปปัจจุบันนี้ก็แล้วกัน
ที่มาจากหนังสือ ต้องเป็นให้ได้(ดั่งเช่นพระพุทธเจ้า ) เรียบเริยงโดย อุบาสิกาถวิล (บุญทรง)วัติรางกูล
สำหรับผู้มาใหม่ขอแนะนำหนังสือเล่มนี้เป็นพื้นฐานในการเริ่มศึกษาพระพุทธศาสนาค่ะ เพราะอ่านง่าย คุณป้าเรียบเรียงไว้ดีมากๆ หรือสามารถหาอ่านได้ในwww.Kalyanamitra.org หัวข้อธรรมประจำวันค่ะ
บทที่ ๑๙ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าในกัปปัจจุบัน (ภัทรกัป)(ตอน ๑)



.....พระองค์ที่ ๑ ในภัทรกัปนี้ นับเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์ที่ ๒๒ ที่ตรัสพุทธพยากรณ์ ทรงนามว่า พระกกุสันธะสัมมาสัมพุทธเจ้า พระสรีระสูง ๔๐ ศอก อายุขัยของมนุษย์ในยุคนั้น ๔ หมื่นปี

เป็นบุตรของพระอัคคิทัตตพราหมณ์ และนางพราหมณีวิสาขา บิดาเป็นผู้มีหน้าที่ถวายข้อแนะนำแด่พระเจ้าเขมังกร แห่งนครเขมวดี สมัยนั้นชาวโลกนับถือวรรณะพราหมณ์ว่าสูงสุด

ครองฆราวาสวิสัยอยู่ ๔ พันปี เห็นนิมิต ๔ แล้วยินดีในสมณเพศ เมื่อนางพราหมณีโรจินี ผู้ภรรยาคลอดบุตรชายอุตตรกุมารแล้ว ออกอภิเนษกรมณ์ด้วยรถเทียมม้า มีผู้ออกบวชตาม ๔ หมื่นคน

ทำความเพียรอยู่ ๘ เดือน ผู้ถวายข้าวมธุปายาส คือ ธิดาวชิรินธพราหมณ์ ณ สุจิรินธนิคม นิสีทนสันถัตกว้าง ๓๔ ศอก ( บางแห่งว่า ๒๖ ศอก) คนเฝ้าไร่ข้าวเหนียวชื่อ สุภัททะ ถวายหญ้า ๘ กำ

นั่งอธิษฐานจิตทำความเพียรอยู่โคนต้นไม้สิรีสะ ( ไม้ซึก) พระอัครสาวก คือ พระวิธุระ และพระสัญชีวะ พระพุทธอุปัฏฐาก คือ พระพุทธิชะ ทรงแสดงธรรม ๓ ครั้ง ครั้งแรก เป็นปฐมเทศนาที่อิสิปตนมิคทายวัน ใกล้มกิลนคร แก่ภิกษุ ๔ หมื่น ที่ตามเสด็จ ครั้งที่สอง ทรงทำยมกปาฏิหาริย์ ณ โคนต้นมหาสาละ ใกล้ประตูกัณณกุชชนคร ครั้งที่ ๓ ทรงประกาศสัจจะ ๔ แก่ยักษ์ ชื่อ นรเทพ ที่เทวาลัยใกล้กรุงเขมวดี ครั้งนี้เทวดาและมนุษย์นับไม่ถ้วนบรรลุธรรมตามพระองค์

มีสาวกสันนิบาตเกิดขึ้นเพียงครั้งเดียว ที่อิสิปตนมิคทายวัน กรุงกัณณกุชชนคร ในวันมาฆบูรณมี ซึ่งพระบรมศาสดาทรงยกปาฏิโมกข์ขึ้นแสดงท่ามกลางพระอรหันต์ ๔ หมื่นองค์ เสด็จดับขันธปรินิพพานเมื่อพระชนม์ ๔ หมื่นพรรษา ที่พระวิหารเขมาราม พระสถูปสูงจรดฟ้า ๑ คาวุต อยู่ที่นั่น

ในพุทธกาลนี้ พระโพธิสัตว์ของเราบังเกิดเป็นกษัตริย์ ทรงพระนามว่า พระเจ้าเขมะ ครองนครเขมวดี มีพระราชศรัทธาในพระบรมศาสดา ถวายมหาทานแด่พระพุทธองค์และเหล่าภิกษุสงฆ์ ทั้งภัตตาหาร บาตร จีวร เภสัช รวมทั้งสมณบริขาร มีไม้เท้า ไม้มะซาง ฯลฯ ล้วนแต่ของดี ประณีต เมื่อได้สดับพระธรรมเทศนาก็ยิ่งทรงเลื่อมใส ทรงสละราชสมบัติออกผนวชที่สำนักพระบรมศาสดา

พระตถาคตเจ้าตรัสพยากรณ์ว่า พระเจ้าเขมะจะทรงเป็นพระพุทธเจ้าพระองค์หนึ่งในอนาคต ในกัปเดียวกันนี้ พระเจ้าเขมะมีพระทัยยินดี ทรงบำเพ็ญพุทธบารมียิ่งยวดขึ้นไป

พระสัมมาสัมพุทธเจ้าในกัปปัจจุบัน พระองค์ที่ ๒

นับเป็นพระพุทธเจ้าพระองค์ที่ ๒๓ ที่ตรัสพุทธพยากรณ์ ทรงพระนามว่า พระโกนาคมนะสัมมาสัมพุทธเจ้า พระสรีระสูง ๓๐ ศอก อายุขัยของมนุษย์ในยุคนั้น ๓ หมื่นปี คือเมื่อพระศาสนาของพระสัมมาสัมพุทธเจ้ากกุสันธะเสื่อมสลายไป อายุมนุษย์ลงลงเหลือ ๑๐ ปี แล้วเพิ่มขึ้นจนเป็นอสงไขยปี แล้วลดลงเหลือ ๓ หมื่นปี พระองค์เป็นบุตรของพราหมณ์ยัญญทัตตะ และนางพราหมณ์ชื่ออุตตราพราหมณ์ ผู้เป็นบิดาเป็นพราหมณ์มหาศาลของนครโสภวดี ครองฆราวาสวิสัยอยู่ ๓ พันปี เห็นนิมิต ๔ ประการ เมื่อนางพราหมณีรุจีคัตตาผู้ภรรยาคลอดบุตรชื่อสัตถวาหะกุมารแล้ว ออกอภิเนษกรมณ์ด้วยยานคือช้าง มีผู้ออกบวชตาม ๓ หมื่นคน

ทำความเพียรอยู่ ๖ เดือน ผู้ถวายข้าวมธุปายาส คือ ธิดาของพราหมณ์อัคคิโสณะ นิสีทนสันถัตกว้าง ๒๐ ศอก คนเฝ้าไร่ข้าวเหนียวชื่อ ชฎาตินทุกะถวายหญ้า ๘ กำ นั่งบนนิสีทนสันถัตใต้โคนต้นอุทุมพร ( มะเดื่อ) พระอัครสาวกคือ พระภิยโยสะ และ พระอุตตระ พระพุทธอุปัฏฐาก คือ พระโสตถิชะ ทรงแสดงธรรม ๓ ครั้ง ครั้งแรก เป็นปฐมเทศนา ธัมมจักกัปปวัตตนสูตร แก่ภิกษุ ๓ หมื่น ที่บวชตาม ที่ป่าอิสิปตนมิคทายวัน ใกล้สุทัสสนคร

ครั้งที่สอง ทรงแสดงยมกปาฏิหาริย์ เพื่อบรรเทาทิฏฐิฝ่ายปรปักษ์ ที่โคนต้นมหาสาละ ใกล้ประตูสุนทรนคร ครั้งที่สาม ทรงแสดงอภิธรรม ๗ คัมภีร์ แก่เทวดาในเทวโลก มีสาวกสันนิบาตเพียงครั้งเดียว ท่ามกลางพระอรหันต์ ๓ หมื่นโกฏิ เป็นครั้งที่พระองค์ได้คู่พระอัครสาวก เสด็จดับขันธปรินิพพานเมื่อพระชนม์ ๓ หมื่นพรรษา ที่พระวิหารปัพพตาราม พระบรมสารีริกธาตุแผ่กระจายไปตามที่ต่างๆ เพื่อสรรพสัตว์ได้สักการบูชา

ในพุทธกาลนี้ พระโพธิสัตว์ของเราเกิดเป็นพระเจ้าปัพพตะ ครองกรุงมิถิลนครเสด็จไปเฝ้าพระพุทธองค์ ในขณะที่พระบรมศาสดาเสด็จมายังเมืองของพระองค์ สดับพระสัทธรรมแล้ว ทรงมีพระราชศรัทธามาก ทูลวิงวอนให้พระบรมศาสดาประทับจำพรรษาที่นครของพระองค์ แล้วทรงถวายมหาทานแด่พระตถาคตเจ้าและเหล่าภิกษุสงฆ์ ด้วยของมีค่าต่างๆ มากมาย เช่น ผ้าไหมจากเมืองปัตตุณณะ ผ้าแพร ผ้ากัมพล ผ้าเปลือกไม้ ผ้าฝ้าย ฉลองพระบาทประดับด้วยทอง รวมทั้งบริขารต่างๆ มากมาย พระบรมศาสดาตรัสพยากรณ์ว่า พระเจ้าปัพพตะ จะได้เป็นพระพุทธเจ้าพระองค์หนึ่งในกัปเดียวกันนี้ พระราชาโพธิสัตว์ทรงมีปิติยินดียิ่งนัก ทรงตั้งพระทัยบำเพ็ญพุทธบารมีให้ยิ่งๆ ขึ้นไป

..........ยังมีอีก ตอนที่ ๒ และ ตอนที่ ๓ ของพระพุทธเจ้าองค์ถัดมาค่ะอ่านต่อใน www.Kalyanamitra.org หัวข้อธรรมประจำวันค่ะ
อนุโมทนาสาธุค่ะ



#10 m-ss

m-ss
  • Members
  • 108 โพสต์
  • Gender:Female
  • Location:ใกล้บ้าน

โพสต์เมื่อ 05 October 2006 - 09:53 PM

ไหนๆก็ลงแล้วก็ขอลงให้ครบเลยละกัน คงไม่ว่ากันนะคะหากยาวเกินไป (ได้ตัดคำอธิบายบางส่วนออกไปเพื่อจะได้ไม่ยาวมาก แต่ทุกท่านสามารถหาอ่านเพิ่มได้ในwww.Kalyanamitra.org หัวข้อธรรมประจำวันค่ะ )
พระสัมมาสัมพุทธเจ้าในกัปปัจจุบัน (ตอน ๒)

.....นับเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์ที่ ๒๔ ที่ตรัสพุทธพยากรณ์ ทรงพระนามว่า พระกัสสปสัมมาสัมพุทธเจ้า พระสรีระสูง ๒๐ ศอก อายุขัยมนุษย์ยุคนั้น ๒ หมื่นปี เป็นบุตรของพราหมณ์พรหมทัตตะ และนางพราหมณีธนวดี เป็นพราหมณ์มหาศาลในกรุงพาราณสี วรรณะนี้สูงสุด ครองฆราวาสวิสัยอยู่ ๒ พันปี เมื่อนางพราหมณีสุนันทาผู้ภรรยาคลอดบุตรชื่อ วิชิตเสนะ เห็นนิมิต ๔ ประการ เกิดสลดใจ จึงเสด็จออกอภิเนษกรมณ์ พร้อมบริวารด้วยยานคือปราสาท มีผู้ออกบวชตาม ๑ โกฏิ

ทำความเพียรอยู่ ๗ วัน ผู้ถวายข้าวมธุปายาสคือ นางสุนันทาพราหมณี นิสีทนสันถัตกว้าง ๑๕ ศอก คนเฝ้าไร่ข้าวเหนียวชื่อ โสมะ ถวายหญ้า ๘ กำ ประทับนั่งโคนต้นนิโครธ พระอัครสาวกคือ พระติสสะ และ พระภารทวาชะ พระพุทธอุปัฏฐาก คือ พระสัพพะมิตตะ ทรงแสดงธรรม ๕ ครั้ง ครั้งแรกทรงแสดงธัมมจักกัปปวัตตนสูตร แก่ภิกษุผู้ตามออกบวช ๑ โกฏิ ที่อิสิปตนมิคทายวัน กรุงพาราณสี ครั้งที่ ๓ และ ครั้งที่ ๔ ทรงแสดงยมกปาฏิหาริย์ ครั้งที่ ๕ ทรงฝึกยักษ์ชื่อ นรเทพ ให้เป็นสัมมาทิฏฐิ ถือพระองค์เป็นสรณะ มีสาวกสันนิบาตเกิดขึ้นเพียงครั้งเดียว ทรงยกปาฏิโมกข์ขึ้นแสดงท่ามกลางพระอรหันต์ ๒ หมื่น ในวันมาฆบูรณมี

เสด็จดับขันธปรินิพพานเมื่อชนม์พรรษา ๒ หมื่นพรรษา ที่พระวิหารเสตัพยาราม ใกล้เสตัพยานคร แคว้นกาสี พระบรมสารีริกธาตุไม่กระจัดกระจาย รวมอยู่ในพระสถูปสูง ๑ โยชน์ ซึ่งงดงามด้วยแผ่นอิฐทองคำ และวิจิตรด้วยรัตนะ ที่วิหารนั้น

ในพุทธกาลนี้ พระโพธิสัตว์ของเราเกิดเป็นพราหมณ์ ชื่อ โชติปาละ ศึกษาวิชาของศาสนาพราหมณ์แตกฉาน รอบรู้เรื่องดินฟ้าอากาศ และวิถีนักษัตรฤกษ์ และนิมิตต่างๆ มีเพื่อนรักมาก คือฆฏิการะอุบาสก มีอาชีพปั้นหม้อ เป็นอุปัฏฐากผู้หนึ่งของพระบรมศาสดา ฆฏิการะเป็นผู้ชักนำโชติปาละมาเฝ้าฟังธรรมจากพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ฟังแล้วเกิดศรัทธาเป็นอย่างดี จึงออกบวชในสำนักพระตถาคตเจ้า หมั่นพากเพียรเล่าเรียนพระไตรปิฎกแตกฉานช่วยเผยแผ่พระพุทธศาสนาได้กว้างขวางเป็นอันมาก เป็นที่เลื่อมใสศรัทธาของมหาชนยิ่งนัก

พระบรมศาสดาทรงเห็นความอัศจรรย์ในความสามารถ จึงทรงตรวจด้วยอนาคตังสญาณ แล้วตรัสพุทธพยากรณ์ว่า ภิกษุโชติปาละจะเป็นพระพุทธเจ้าพระองค์หนึ่งในกัปเดียวกันนี้ พระโพธิสัตว์ฟังพุทธพยากรณ์แล้ว ยิ่งปีติเพิ่มพูนความเลื่อมใสศรัทธาในพระพุทธองค์ จึงอธิษฐานบำเพ็ญบารมีให้บริบูรณ์ยิ่งขึ้น หวังบรรลุพระสัพพัญญุตญาณสำเร็จเป็นพระพุทธเจ้าที่บริบูรณ์ด้วยพระคุณทั้ง ๓ คือ พระปัญญาคุณ พระบริสุทธิคุณ และพระกรุณาธิคุณ ละโลกแล้วไปสู่สุคติ

พระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์ที่ ๔ ในกัปปัจจุบัน

พระสัมมาสัมพุทธเจ้าของเรามาอุบัติเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์ที่ ๔ ในกัปปัจจุบัน เมื่อก่อนพุทธศักราช ๘๐ ปี แม้ขณะนี้พระองค์จะเสด็จดับขันธปรินิพพานไปแล้ว เป็นเวลานานเท่ากับจำนวนปีพุทธศักราช แต่ก็ยังถือว่าเป็นพุทธกาลของพระองค์อยู่ เพราะยังมีคำสอนของพระตถาคตเจ้าให้พุทธศาสนิกชนได้ศึกษาเล่าเรียน และปฏิบัติตามจนกระทั่งทุกวันนี้


พระสัมมาสัมพุทธเจ้าในกัปปัจจุบัน (ตอน ๓)



.....พระสมณโคดมสัมมาสัมพุทธเจ้าของเรา ทรงมีคุณสมบัติทุกประการตามพุทธวงศ์ในอดีต แต่ที่ดูเหมือนจะมีระยะพุทธกาลไม่มากนัก ก็ตรงที่ทรงมาอุบัติตรัสรู้ในเวลาที่มนุษย์มีอายุขัยน้อยที่สุด คือ ๑๐๐ ปี เหล่ามนุษย์มีกิเลสห่อหุ้มใจมาก ทำให้ปัญญาเกิดได้ยาก อย่างไรก็ดี พระตถาคตเจ้าก็ได้ทรงอุบัติขึ้นมาเป็นกัลยาณมิตรที่ยอดเยี่ยมของชาวโลกแล้ว แม้เวลานี้จะห่างจากกาลเวลาที่พระองค์ทรงมีพระชนม์ชีพอยู่เกินกว่า ๒ , ๕๐๐ ปีก็ตาม คำสั่งสอนของพระองค์ยังคงเหลืออยู่ พระสงฆ์ผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบตาม ยังมีเห็นเป็นตัวอย่าง

เราซึ่งได้เกิดมาโดยมีคุณสมบัติครบทั้ง ๕ อย่าง จึงนับว่าเป็นผู้ที่มหาโชคมหาลาภอันประเสริฐ จึงควรใช้เวลาในชีวิตให้ได้ประโยชน์เต็มที่ ไม่ให้เสียชาติเกิด คุณสมบัติทั้ง ๕ นั้น คือ

๑. ได้เกิดเป็นมนุษย์ที่มีอวัยวะสมบูรณ์ ไม่ขาดตกบกพร่อง มีสติปัญญาดี

๒. เกิดในเวลาที่ยังมีคำสอนในพระพุทธศาสนาเผยแพร่อยู่

๓. ได้อยู่ในที่ที่มีโอกาสมีกัลยาณมิตรได้ศึกษาเล่าเรียนและปฏิบัติตามคำสอนนั้น

๔. ได้เกิดในตระกูลสัมมาทิฏฐิ ผู้คนที่แวดล้อมล้วนแต่เป็นสัมมาทิฏฐิ

๕. ตนเองเป็นคนมีสัมมาทิฏฐิ

สมบัติทั้ง ๕ มีความสำคัญยิ่งในการช่วยให้ดำเนินชีวิตได้ประโยชน์สมบูรณ์เต็มที่
ขอจบแต่เพียงเท่านี้ก่อนค่ะ ขอบคุณที่ช่วยอ่านจนจบนะคะ





#11 สูตรมิตร

สูตรมิตร
  • Members
  • 49 โพสต์

โพสต์เมื่อ 05 October 2006 - 11:36 PM

สาธุค่ะ

#12 บุญเท่านั้น

บุญเท่านั้น
  • Members
  • 55 โพสต์

โพสต์เมื่อ 06 October 2006 - 12:05 AM

สาธุ

#13 บุญเย็น

บุญเย็น
  • Members
  • 812 โพสต์
  • Gender:Male
  • Location:thailand

โพสต์เมื่อ 11 October 2006 - 06:44 AM

สาธ สาธุ สาธุ อนุโมทามิ
นำมอ ตี่ จ่าง อ้วง ผู่ สัก

#14 ปัจเจกชน บนทางสายกลาง

ปัจเจกชน บนทางสายกลาง
  • Members
  • 4109 โพสต์
  • Gender:Male
  • Location:จ. สงขลา

โพสต์เมื่อ 27 March 2007 - 12:48 PM

สาธุ ครับ