ทำไมมนุษย์ ถึงรับส่วนบุญที่หมู่ญาติอุทิศให้ไม่ได้
#1
โพสต์เมื่อ 05 November 2005 - 04:24 PM
สัพพัง อะปะราธัง ขะมะถะ เม ภันเต อุกาสะ ทวารัตตะเยนะ กะตัง
สัพพัง อะปะราธัง ขะมะถะ เม ภันเต้ อุกาสะ ขะมามิ ภันเตฯ
หากข้าพระพุทธเจ้า ได้เคยประมาทพลาดพลั้งล่วงเกินต่อพระรัตนตรัย อันมีพระพุทธเจ้าทุกๆ พระองค์ พระปัจเจกพุทธเจ้าทุกๆพระองค์ พระธรรม และพระอริยสงฆ์ทั้งหลาย ในชาติก่อนก็ดี ชาตินี้ก็ดี ด้วยกายก็ดี วาจาก็ดี ด้วยใจก็ดี ด้วยเจตนาก็ดี ไม่เจตนาก็ดี ด้วยความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ก็ดี
ขอองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุกๆ พระองค์ พระปัจเจกพุทธเจ้าทุกๆ พระองค์ พระธรรม พระอริยสงฆ์ทั้งหลาย และผู้มีพระคุณทุกท่าน ได้โปรดยกโทษให้แก่ข้าพระพุทธเจ้า ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป ตราบเท่าเข้าสู่พระนิพพานด้วยเทอญ
#2
โพสต์เมื่อ 05 November 2005 - 05:09 PM
แต่ที่ฟังหลวงพ่อท่านบอกในโรงเรียนอนุบาลฯมาก็คือ เค้าไม่ได้รู้ว่าเราส่งผลบุญให้ จึงไม่ได้อนุโมทนาบุญค่ะ.. บางทีก็คิดเล่น ๆ นึกในใจเล่น ๆ ตอนนี้จะมีญาติเราคนไหนไม่น้อทำบุญส่งให้ เพราะทุกคนในโลกล้วนเป็นญาติกันมาก่อน ก็นึกอธิษฐานเอาว่า ใครหรือบุคคลใดทำบุญอุทิศให้แก่เรา เราขออนุโมทนาบุญด้วย อันนี้ก็ไม่รู้ว่า ถูกต้องตามหลักวิชาเหรอเปล่าค่ะ(คิดเล่น ๆ เองค่ะ แต่บางทีก็นึกอนุโมทนาบุญจริง ๆ)
#3
โพสต์เมื่อ 07 November 2005 - 08:54 PM
แต่ถ้าสมมุติ เป็นมนุษย์แล้ว บุญไม่ไปรออยู่จริง ก็ดังที่คุณเสาวนีย์ว่า มันไม่ยุติธรรมอยู่แล้ว เพราะกฏแห่งกรรมไม่ใช่กฏแห่งความยุติธรรมนะครับ แต่เป็นกฏแห่งการถ่วงเวลา เพราะมีผู้ที่กลัวกายมนุษย์อย่างมาก ดังนั้น เขาย่อมหาทางขัดขวางทุกวิถีทางให้กายมนุษย์ มีโอกาสได้บุญน้อยที่สุด เช่น ทำให้ลืม ทำให้เกิดในสิ่งแวดล้อมที่ไม่เอื้อต่อการปฏิบัติธรรม ฯลฯ
ทั้งนี้ ก็เพื่อจะถ่วงเวลาให้มนุษย์รู้ความจริงของชีวิตได้ช้าที่สุด และน้อยที่สุดน่ะครับ
#4
โพสต์เมื่อ 08 November 2005 - 06:20 AM
เมื่อเวลาที่ เราอุทิศส่วนกุศลไปให้ ผู้รับเมื่อได้ทราบแล้ว ได้อนุโมทนาบุญ ก็จะมีส่วนในบุญนั้น ถ้าเป็นมนุษย์ ถ้าหากคนนั้นได้ รับทราบและอนุโมทนาบุญก็จะได้รับส่วนในบุญนั้นทันที แต่ว่าเราคงไม่ทราบว่าญาติของเราลงมาเกิดใหม่เป็นใคร แม้นทราบแล้ว แต่อนุโมทนาบุญทำอย่างไร ก็อาจจะฟาล์ว ก็ได้
พอจำได้ว่าหลวงพ่อท่านสอนวิธีการอนุโมทนาบุญ ด้วยความเคารพ และปิติใจ ไม่ใช่เรื่องง่าย ที่จะอนุโมทนาบุญด้วยความเคารพ
ถ้าญาติอยู่ในนรก ในยมโลกที่โรงพิพากษา ก็จะมีพระยายมราชมาบอกกล่าวให้ทราบว่ามีญาติ ทำบุญอุทิศส่วนกุศลมาให้ ซึ่งก็คงเป็นความสามารถพิเศษที่จะทราบว่ามีใครทำบุญมาให้บ้าง แม้ว่าเราจะไม่ทราบว่ามีคนอุทิศส่วนกุศลมาให้ ไม่ใช่ขณะกำลังโดนทรมานแล้วเจ้าหน้าที่ก็จะมาบอกว่า มีญาติทำบุญมาให้ ต้องหมดกรรมกลับไปยังโรงพิพากษาก่อน
ถ้าเกิดเป็นสัตว์ ถ้าเข้าใจว่ามีคนทำบุญมาให้ ก็จะได้บุญ แต่ว่า คงจะยากที่จะเข้าใจเรื่องนี้ เพราะว่าสติปัญญาน้อย แม้เข้าใจก็คงจะต้องรอให้หมดกรรมจากกายนั้นก่อน
ถ้าเกิดในสวรรค์ ญาติเข้าใจเรื่องบุญแล้ว เพราะว่าเห็นผลบุญ เมื่อทราบข่าวก็รีบอนุโมทนาบุญทันที ทำให้ได้รับบุญทันทีเลย
อันนี้ ผมอธิบายแบบพอเข้าใจเองนะครับ ขอให้ผู้รู้ช่วยอธิบายเพิ่มเติมด้วยครับ
#5
โพสต์เมื่อ 08 November 2005 - 10:28 AM
แต่ถ้ารู้และได้อนุโมทนาก็จะมีส่วนแห่งผลบุญเหมือนกัน
ด้ายเส้นเดียว .........ไม่เป็นผืนผ้า
อิฐก้อนเดียว .... ไม่เป็นบ้านเรือน
ทำบุญคนเดียว ...ไม่เป็นกัลยาณมิตร
#6 *Guest*
โพสต์เมื่อ 08 November 2005 - 10:35 AM
#7 *Guest*
โพสต์เมื่อ 09 November 2005 - 04:29 PM
เพราะไม่รู้ว่ามีคนทำบุญให้ จึงไม่ได้อนุโมทนาบุญ บุญก็อาจจะรออยู่ เช่นต้องรอให้มาเป็นกายละเอียดก่อนจึงจะได้รับ
แต่ปกติ จากที่ลองสังเกตดูกับตัวเอง พบว่า เวลาเราทำบุญแล้วตั้งใจอุทิศให้ใคร แม้แต่คนเป็น หรือสัตว์เดรัจฉาน เราจะรู้สึกว่ากระแสแห่งความเมตตาส่งไปถึงเค้า เช่นเค้ามักทำตัวดีขึ้น ยอมอนุโมทนาบุญ หรือคุยกับเราดี ๆ
ดังนั้นแนะนำว่าทำไปเถอะค่ะ ไม่ว่าจะกายหยาบหรือกายละเอียดของญาติที่เสียไปแล้วก็ตาม อย่างน้อยที่สุดเราคนทำก็ได้รับอยู่แล้ว การอุทิศให้ สามารถอุทิศให้ได้ทีละหลาย ๆ คน โดยบุญไม่ลดลงอยู่แล้ว เหมือนการจุดเทียน แล้วต่อเทียนไป ก็ต่อไปได้เรื่อย ๆ ไม่ได้หมายความว่าคนที่ถือเทียนอยู่ พอคนอื่นเอามาต่อแล้วบุญจะลดลง
ดังนั้น เพื่อความสบายใจของผู้ทำ และญาติ เค้าก็อาจจะรับได้ ถ้าเค้าพอดีอยู่ในภูมิที่รับได้ ถ้าอยู่ในภูมิที่รับไม่ได้ บุญก็รออยู่ เวลาเค้ามาภูมิที่รับได้ เค้าก็ได้รับ
ดังนั้นทำเถอะนะคะ
อนุโมทนาบุญค่ะ
ฝากเรียนท่านผู้รู้ตอบแทนด้วยนะคะ ถ้ามีข้อความใดไม่ถูกต้องค่ะ
#8
โพสต์เมื่อ 10 November 2005 - 01:40 AM
ทั้งวาจานั้นไม่เป็นที่รัก ไม่เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ ตถาคตไม่ตรัสวาจานั้น
ตถาคตรู้วาจาใด เป็นของจริง ของแท้ แต่ไม่ประกอบด้วยประโยชน์
ทั้งวาจานั้นไม่เป็นที่รัก ไม่เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ แม้วาจานั้นตถาคตก็ไม่ตรัส
อนึ่ง ตถาคตรู้วาจาใด เป็นของจริง เป็นของแท้ ประกอบด้วยประโยชน์
แต่วาจานั้นไม่เป็นที่รัก ไม่เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ ตถาคตย่อมรู้กาลอันควรที่จะใช้วาจานั้น
ตถาคตรู้วาจาใด ไม่จริง ไม่แท้ ไม่ประกอบไปด้วยประโยชน์
แต่วาจานั้นเป็นที่รัก เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ ตถาคตไม่ตรัสวาจานั้น
ตถาคตรู้วาจาใด แม้เป็นของจริง เป็นของแท้ และไม่ประกอบด้วยประโยชน์
แต่วาจานั้นเป็นที่รัก เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ แม้วาจานั้นตถาคตก็ไม่ตรัส
อนึ่ง ตถาคตรู้วาจาใด เป็นของจริง เป็นของแท้ ประกอบด้วยประโยชน์
ทั้งวาจานั้นเป็นที่รัก เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ ตถาคตย่อมรู้กาลอันควรที่จะใช้วาจานั้น
[/color]
แต่จะต้องศึกษาให้มีความรู้ความเข้าใจ และปฏิบัติให้เหมาะสมแก่ภาวะปัจจุบัน
ด้วยศรัทธาและปัญญาที่ถูกต้อง จึงจะเกิดเป็นประโยชน์ขึ้นได้..."
พระบรมราโชวาท พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
๑๗ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๑๒
"รู้ใดก็ไม่ประเสริฐ เท่ารู้แจ้งด้วยปัญญาธรรมอันเกิดมีในตน"
"อัศวินปฏิญาณตนเป็นคนกล้า
ดวงใจเปี่ยมคุณธรรม
ซื่อตรงยึดมั่นในวาจาสัตย์
อุทิศชีวิตพิชิตมาร"
#9
โพสต์เมื่อ 10 November 2005 - 07:14 PM
ย่อมมีแสงอรุณขึ้นก่อน
เป็นบุพนิมิตฉันใด
ความเป็นกัลยาณมิตรก็เป็นตัวนำ
เป็นบุพนิมิตแห่งการเกิดขึ้น
ของหนทางพระนิพพาน ฉันนั้น"
#10 **
โพสต์เมื่อ 11 November 2005 - 10:00 PM
#11
โพสต์เมื่อ 18 November 2005 - 03:54 PM
ดังนั้นเมื่อเรารู้และเข้าใจในเรื่องบุญแล้ว
ก็หมั่นสั่งสมบุญ และบอกบุญให้กับคนรอบข้างให้ได้มากๆ นะคะ
เป็นกำลังใจให้กับกัลยาณมิตรทุกท่านค่ะ
#12
โพสต์เมื่อ 05 February 2007 - 08:42 AM