ขอถามผู้รู้เรื่องการอธิษฐานครับ
#1
โพสต์เมื่อ 18 December 2007 - 06:31 PM
#2
โพสต์เมื่อ 18 December 2007 - 06:46 PM
ไม่ได้ครับ การอธิษฐานจิตในสิ่งที่เป็นไปในทางกุศล เน้นว่า ต้องเป็นไปในทางกุศลแต่เพียงเท่านั้นนะครับ เราสามารถตั้งจิตอธิษฐานอะไรก็ได้ แต่สิ่งที่เราได้ตั้งความปรารถนาเอาไว้ จะสำเร็จได้ดั่งใจหวังหรือไม่นั้น ขึ้นอยู่กับกำลังบุญบารมีและความพากเพียรในการฝึกฝนอบรมตนเองของผู้ตั้งจิตปรารถนาครับ กล่าวคือ ถ้ากำลังบุญบารมีและความพากเพียรในการฝึกฝนอบรมตนเองอยู่ในระดับที่สามารถยังความปรารถนานั้นให้สัมฤทธิ์ผลได้ คำอธิษฐานของเราก็จะสำเร็จได้อย่างเป็นอัศจรรย์ สำหรับในกรณีที่ยังอยู่ในระหว่างการบำเพ็ญเพียรเพื่อมุ่งไปให้ถึงจุดหมาย เจ้าของคำอธิษฐานก็จะต้องหมั่นฝึกฝน อบรม ขัดเกลาตนเอง และเพิ่มกำลังแห่งความเพียรในการสั่งสมบุญบารมีให้ยิ่งๆ ขึ้นไป เมื่อถึงจุดหนึ่งก็จะสมความปรารถนาได้เช่นกันครับ
กระทู้ตัวอย่างคำอธิษฐานจิตตั้งผังโครงการชีวิต: http://www.dmc.tv/fo...p?showtopic=934
ทั้งวาจานั้นไม่เป็นที่รัก ไม่เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ ตถาคตไม่ตรัสวาจานั้น
ตถาคตรู้วาจาใด เป็นของจริง ของแท้ แต่ไม่ประกอบด้วยประโยชน์
ทั้งวาจานั้นไม่เป็นที่รัก ไม่เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ แม้วาจานั้นตถาคตก็ไม่ตรัส
อนึ่ง ตถาคตรู้วาจาใด เป็นของจริง เป็นของแท้ ประกอบด้วยประโยชน์
แต่วาจานั้นไม่เป็นที่รัก ไม่เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ ตถาคตย่อมรู้กาลอันควรที่จะใช้วาจานั้น
ตถาคตรู้วาจาใด ไม่จริง ไม่แท้ ไม่ประกอบไปด้วยประโยชน์
แต่วาจานั้นเป็นที่รัก เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ ตถาคตไม่ตรัสวาจานั้น
ตถาคตรู้วาจาใด แม้เป็นของจริง เป็นของแท้ และไม่ประกอบด้วยประโยชน์
แต่วาจานั้นเป็นที่รัก เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ แม้วาจานั้นตถาคตก็ไม่ตรัส
อนึ่ง ตถาคตรู้วาจาใด เป็นของจริง เป็นของแท้ ประกอบด้วยประโยชน์
ทั้งวาจานั้นเป็นที่รัก เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ ตถาคตย่อมรู้กาลอันควรที่จะใช้วาจานั้น
[/color]
แต่จะต้องศึกษาให้มีความรู้ความเข้าใจ และปฏิบัติให้เหมาะสมแก่ภาวะปัจจุบัน
ด้วยศรัทธาและปัญญาที่ถูกต้อง จึงจะเกิดเป็นประโยชน์ขึ้นได้..."
พระบรมราโชวาท พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
๑๗ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๑๒
"รู้ใดก็ไม่ประเสริฐ เท่ารู้แจ้งด้วยปัญญาธรรมอันเกิดมีในตน"
"อัศวินปฏิญาณตนเป็นคนกล้า
ดวงใจเปี่ยมคุณธรรม
ซื่อตรงยึดมั่นในวาจาสัตย์
อุทิศชีวิตพิชิตมาร"
#3
โพสต์เมื่อ 18 December 2007 - 08:26 PM
#4
โพสต์เมื่อ 18 December 2007 - 09:02 PM
"รูปสมบัติ ทรัพย์สมบัติ คุณสมบัติ ลาภ ยศ สรรเสริญ สุข อันเกิดแต่ผลแห่งบุญใดก็ตามที่ข้าพเจ้าได้ทำในบัดนี้ ขอจงเป็นพลวะปัจจัยเกื้อหนุนให้ข้าพเจ้าได้สร้างสมบ่มบารมี อันเป็นของฝ่ายบุญ ฝ่ายพระ ฝ่ายสัมมาทิฏฐิ ฝ่ายธรรมภาคขาวยิ่งๆ ขึ้นไปแต่เพียงฝ่ายเดียวในทุกชาติทุกภพของการเวียนว่ายตายเกิด และจงยังดวงจิตของข้าพเจ้าให้ถึงซึ่งความสิ้นอาสวะกิเลส มีมรรคผลนิพพานเป็นแก่นสาร มีที่สุดแห่งธรรมเป็นเป้าหมาย ให้ได้มีดวงตาเห็นธรรม บรรลุธรรมที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ทำให้แจ้งด้วยพระองค์เองแล้ว อย่างถูกต้องร่องรอยตรงไปตามความเป็นจริงจงทุกสิ่งทุกประการ ให้ได้สร้างบารมีตามติดพระเดชพระคุณหลวงปู่วัดปากน้ำ คุณยายอาจารย์ฯ พระเดชพระคุณหลวงพ่อธัมมชโย พร้อมทั้งทีมงานและหมู่คณะ สร้างบารมีไปได้โดยง่าย โดยสะดวก โดยตลอดรอดฝั่ง ไปทุกภพทุกชาติ ตราบวันเข้าสู่พระนิพพาน ถึงที่สุดแห่งธรรม จงทุกประการเทอญฯ"
ทั้งวาจานั้นไม่เป็นที่รัก ไม่เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ ตถาคตไม่ตรัสวาจานั้น
ตถาคตรู้วาจาใด เป็นของจริง ของแท้ แต่ไม่ประกอบด้วยประโยชน์
ทั้งวาจานั้นไม่เป็นที่รัก ไม่เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ แม้วาจานั้นตถาคตก็ไม่ตรัส
อนึ่ง ตถาคตรู้วาจาใด เป็นของจริง เป็นของแท้ ประกอบด้วยประโยชน์
แต่วาจานั้นไม่เป็นที่รัก ไม่เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ ตถาคตย่อมรู้กาลอันควรที่จะใช้วาจานั้น
ตถาคตรู้วาจาใด ไม่จริง ไม่แท้ ไม่ประกอบไปด้วยประโยชน์
แต่วาจานั้นเป็นที่รัก เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ ตถาคตไม่ตรัสวาจานั้น
ตถาคตรู้วาจาใด แม้เป็นของจริง เป็นของแท้ และไม่ประกอบด้วยประโยชน์
แต่วาจานั้นเป็นที่รัก เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ แม้วาจานั้นตถาคตก็ไม่ตรัส
อนึ่ง ตถาคตรู้วาจาใด เป็นของจริง เป็นของแท้ ประกอบด้วยประโยชน์
ทั้งวาจานั้นเป็นที่รัก เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ ตถาคตย่อมรู้กาลอันควรที่จะใช้วาจานั้น
[/color]
แต่จะต้องศึกษาให้มีความรู้ความเข้าใจ และปฏิบัติให้เหมาะสมแก่ภาวะปัจจุบัน
ด้วยศรัทธาและปัญญาที่ถูกต้อง จึงจะเกิดเป็นประโยชน์ขึ้นได้..."
พระบรมราโชวาท พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
๑๗ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๑๒
"รู้ใดก็ไม่ประเสริฐ เท่ารู้แจ้งด้วยปัญญาธรรมอันเกิดมีในตน"
"อัศวินปฏิญาณตนเป็นคนกล้า
ดวงใจเปี่ยมคุณธรรม
ซื่อตรงยึดมั่นในวาจาสัตย์
อุทิศชีวิตพิชิตมาร"
#5
โพสต์เมื่อ 19 December 2007 - 12:28 AM
#6
โพสต์เมื่อ 19 December 2007 - 09:29 AM
บุญใด ที่ข้าพเจ้าใด้ทำในบัดนี้ เพราะบุญนั้น และการอุทิศแผ่ส่วนบุญนั้น ขอให้ข้าพเจ้า ทำให้แจ้ง โลกุตตระธรรม ๙ ในทันที ข้าพเจ้า เป็นผู้อาภัพอยู่ ยังต้องท่องเที่ยวไป ในวัฏฏสงสาร
ขอให้ข้าพเจ้า เป็นเหมือนพระโพธิสัตว์ ผู้เที่ยงแท้ ได้รับพยากรณ์ แต่พระพุทธเจ้าแล้ว ไม่ถึงฐานะ แห่งความอาภัพ ๑๘ ประการ
ขอให้ข้าพเจ้า พึงเว้นจากเวรทั้ง ๕ พึงยินดีในการรักษาศีล ไม่เกาะเกี่ยวในกามคุณทั้ง ๕ พึงเว้นจากเปลือกตมดังกล่าว คือ กามคุณ
ขอให้ข้าพเจ้า ไม่พึงประกอบด้วย ทิฏฐิชั่ว พึงประกอบด้วย ทิฏฐิที่ดีงาม ไม่พึงคบมิตรชั่ว พึงคบแต่บัณฑิตทุกเมื่อ
ขอให้ข้าพเจ้า เป็นบ่อที่เกิดแห่งคุณ คือ ศรัทธา สติ หริ โอตัปปะ ความเพียร และขันติ พึงเป็นผู้ที่ ศัตรูครอบงำไม่ได้ ไม่เป็นคนเขลา คนหลงงมงาย
ขอให้ข้าพเจ้า เป็นผู้ฉลาดในอุบาย แห่งความเสื่อม และความเจริญ เป็นผู้เฉียบแหลม ในอรรถและธรรม ขอให้ญาณของข้าพเจ้า เป็นไปไม่ข้องขัด ในธรรมะที่ควรรู้ ประดุจลมพัดไปในอากาศฉะนั้น
ความปราถนาใดๆ ของข้าพเจ้า ที่เป็นกุศล ขอให้สำเร็จ โดยง่ายทุกเมื่อ คุณที่ข้าพเจ้า กล่าวมาแล้วทั้งปวงนี้ จงบังเกิดมีแก่ข้าพเจ้า ทุกภพทุกชาติ
เมื่อใด พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ผู้แสดงธรรมเครื่องพ้นทุกข์ เกิดขึ้นแล้วในโลก เมื่อนั้น ขอให้ข้าพเจ้า พ้นจากกรรมอันชั่วช้าทั้งหลาย เป็นผู้ได้โอกาส แห่งการบรรลุธรรม
ขอให้ข้าพเจ้า พึงได้ความเป็นมนุษย์ ได้เพศบริสุทธิ์ ได้บรรพชา อุปสมบทแล้ว เป็นคนรักศีล มีศีล ทรงไว้ซึ่งพระศาสนา ของพระบรมศาสดา
ขอใด้เป็นผู้มีการปฏิบัติธรรมได้ โดยสะดวก ตรัสรู้ได้พลัน กระทำให้แจ้ง ซึ่งอรหัตผลอันเลิศ อันประกอบด้วยธรรมะ มีวิชชา เป็นต้น
ถ้าหากพระพุทธเจ้า ไม่บังเกิดขึ้น แต่กุศลธรรม ของข้าพเจ้า เต็มเปี่ยมแล้ว เมื่อเป็นเช่นนี้ ขอให้ข้าพเจ้า พึงได้ญาณ เป็นเครื่องรู้เฉพาะตน อันสูงสุดเทอญฯ
นิพฺพาน ปจฺจโย โหตุ
ไฟล์แนบ
และท่านก็ตรัสสรุป
ว่าทางเดียวที่จะรู้ตามท่าน
ตลอดจนหยุดตามท่าน
คือการมองเข้าข้างใน
และการหยั่งรู้สรรพสิ่งออกมาจากภายใน
คือสัญลักษณ์สำคัญของพุทธแท้
พุทธแท้จะรู้ว่าการพยายามมองออกข้างนอก
เป็นวิธีที่ไม่ทำให้รู้จักประโยชน์สูงสุด
อันพึงมีพึงได้จากความเป็นมนุษย์
#7
โพสต์เมื่อ 19 December 2007 - 03:39 PM
สำหรับส่วนนี้ผมขออนุญาตขยายความเพิ่มเติมนะครับ
เนื่องจากในส่วนที่ผมได้ให้คำตอบไปว่า “การอธิษฐานจิตในสิ่งที่เป็นทางมาแห่งกุศล เราสามารถตั้งจิตอธิษฐานในสิ่งใดก็ได้” ในความเห็นที่ ๒ นั้น ยังไม่ได้ชี้ชัดลงไปว่า การอธิษฐานจิตให้ได้ผิวพรรณและรูปกายที่งดงาม เป็นการอธิษฐานที่ก่อให้เกิดประโยชน์หรือโทษ ซึ่งอาจทำให้ผู้อ่านทั้งหลายเข้าใจคลาดเคลื่อนได้ ผมจึงขอทำการชี้แจงออกเป็น ๒ กรณี ดังนี้
กรณีที่ทำให้เกิดโทษ คือ การอธิษฐานจิตปรารถนาให้ได้รูปสมบัติที่งดงาม แต่ไม่ได้อธิษฐานจิตกำกับลงไปว่า รูปสมบัติที่ตนได้มานั้น ขอให้ข้าพเจ้ามีรูปกายที่สมบูรณ์แข็งแรง ไม่มีโรคภัย และเกื้อหนุนให้ข้าพเจ้าได้สร้างบารมียิ่งๆ ขึ้นไปได้โดยง่าย โดยสะดวก ซึ่งกรณีแรกนั้นนับได้ว่า เป็นคำอธิษฐานจิตที่ไม่สมบูรณ์ ทำให้บาปมีโอกาสได้ช่องและบังคับให้นำรูปสมบัติที่เกิดขึ้นด้วยอำนาจแห่งผลบุญไปก่อบาปอกุศลได้ อีกกรณีหนึ่งก็คือ มีการอธิษฐานจิตกำกับ แต่สิ่งที่ได้อธิษฐานลงไปนั้น ไม่ประกอบไปด้วยปัญญา เป็นต้นว่า “รูปสมบัติอันงดงามที่ข้าพเจ้าได้มา หากหญิง/ชายใดที่ไม่ใช่ญาติของข้าพเจ้า ได้เห็นแล้วจงกำหนัด” ดังนี้เป็นต้น
กรณีที่ทำให้เกิดประโยชน์ คือ การอธิษฐานจิตกำกับดังกรณีที่ได้ยกมาดังความเห็นที่ ๔ หรืออีกประการหนึ่งที่พี่พักผ่อนได้ยกมาก็คือ การอธิษฐานจิตให้ได้ลักษณะมหาบุรุษ ๓๒ ประการ ซึ่งการอธิษฐานเช่นนี้ ผู้อธิษฐานจิตจะต้องบำเพ็ญบารมีเยี่ยงพระบรมโพธิสัตว์ในการก่อน ซึ่งมีเงื่อนไขอยู่ว่า ต้องใช้ระยะเวลาในการบำเพ็ญบารมีถึง ๒o อสงไขย ๑oo,ooo มหากัปเป็นอย่างน้อย จึงจะได้กายมหาบุรุษและได้ตรัสรู้พระอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณเป็นองค์สมเด็จพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า สำหรับการอธิษฐานจิตเช่นนี้ นับว่าเป็นการอธิษฐานจิตที่ไม่เจือด้วยโทษเลย เนื่องจากเป็นคำอธิษฐานจิตที่มีเงื่อนไขดังกล่าวบังคับเอาไว้ ข้อนี้ผมเห็นด้วยกับพี่พักผ่อนครับ
สำหรับกรณีที่พี่พักผ่อนได้ให้ความเห็นว่า “สามารถทำได้” ตามความเห็นที่ ๓ นั้น ผมไม่เห็นด้วยนะครับ เนื่องจากในส่วนท้ายของคำถามได้ทิ้งเงื่อนเอาไว้ว่า “เพียงแค่การใช้ความคิดจะสามารถยังให้ความปรารถนาที่ได้ตั้งจิตอธิษฐานให้สำเร็จได้หรือไม่?” ในกรณีที่กระดิกจิตนึกแล้วภูเขาทองก็ผุดเกิด ฝนรัตนชาติตกเพียงแค่ปรบมือนั้น ในสมัยพุทธกาลก็มีอยู่เหมือนกันครับ แต่กว่าจะเกิดปรากฏการณ์น่าอัศจรรย์เช่นนี้ได้ ท่านผู้นั้นก็ต้องสั่งสมบุญบารมีมาพอสมควรอย่างถึงขีดถึงคราวที่จะยังให้ความปรารถนานั้นสำเร็จได้ การกระทำเพียงนึกคิดโดยมิได้ประกอบเหตุแต่เพียงฝ่ายเดียว มิอาจยังให้ความปรารถนาใดๆ ในโลกนี้ที่ต้องการให้สำเร็จได้หรอกครับ ดังตัวอย่างเช่น อธิษฐานจิตให้ได้บรรลุธรรมแต่ยังเยาว์วัยในภพชาติเบื้องหน้า ถามว่าเราสามารถอธิษฐานจิตเช่นนี้ได้ไหม? อธิษฐานได้ครับ แต่ก็ต้องมาย้อนดูเหตุที่ได้ประกอบไว้ในปัจจุบันของตัวเราเองอีกด้วยว่า ในวันหนึ่ง เรานั่งธรรมะวันละกี่ชั่วโมง นอกรอบเราหมั่นหยุดตรึก หมั่นเอาใจไปจรดไว้ที่ศูนย์กลางกายฐานที่ ๗ มากน้อยเพียงใด ถ้านั่งธรรมะน้อย หยุดตรึกนอกรอบน้อย เหตุอันจะยังความปรารถนาของเราที่ได้ตั้งไว้ดีแล้วให้สำเร็จย่อมมีน้อย เมื่อมีน้อยการจะไปให้ถึงซึ่งจุดหมาย คือ ความสำเร็จแห่งคำอธิษฐานนี้ย่อมเป็นไปได้โดยยาก ยิ่งถ้าไม่นั่งธรรมะ ไม่หมั่นหยุดตรึกด้วยแล้วล่ะก็ อย่าว่าแต่ชาติหน้าคุณจะได้บรรลุธรรมแต่ยังเยาว์วัยเลย ชาตินี้ก็ไม่มีวันหรอกครับที่คุณจะได้บรรลุธรรม
ฉะนั้น ดังตัวอย่างที่ได้ยกมาจะเห็นได้ว่า การอธิบายธรรมะนั้น จะต้องอธิบายด้วยถ้อยคำที่ละเอียด กระจ่าง ชัดเจน และสามารถอธิบายโดยโยงเหตุไปหาผล โยงผลไปหาเหตุได้ โดยอยู่บนพื้นฐานแห่งพระพุทธวจนะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า การที่เราอธิบายธรรมะบกพร่องในคำบางคำ และ/หรือความหมายบางประการ อาจทำให้ผู้ที่มีพื้นฐานของการศึกษาธรรมะมาน้อยหรือไม่มี เกิดความเข้าใจผิดพลาดคลาดเคลื่อนได้ อีกกรณีหนึ่งก็คือ การละความหมายของคำบางคำไว้ในฐานที่เข้าใจ อาทิ “บุคคลบริสุทธิ์ได้ด้วยปัญญา” นั้น ในกรณีนี้ หากเป็นการสนทนาในระหว่างนักปฏิบัติธรรมที่มีภูมิรู้ ภูมิธรรมที่ดีในระดับหนึ่งแล้ว ย่อมไม่มีปัญหาอะไร แต่ถ้าหากไปอธิบายให้กับผู้ที่ยังไม่เคยศึกษาธรรมะมาก่อนหรือศึกษามาน้อย อาจทำให้เกิดความไม่เข้าใจหรือเข้าใจคลาดเคลื่อนได้เช่นกัน เนื่องจากปัญญามี ๒ ด้าน คือ สัมมาปัญญา (ปัญญาด้านสว่าง) และมิจฉาปัญญา (ปัญญาด้านมืด) การอธิบายโดยละคำว่า “สัมมา” ไว้ในฐานที่เข้าใจสำหรับผู้ที่มีพื้นฐานทางธรรมมาดี เขาย่อมเข้าใจได้อย่างถ่องแท้ว่า ปัญญาอันจักยังให้บุคคลบริสุทธ์ได้นั้น คือ สัมมาปัญญา แต่ในความเป็นจริงแล้วบุคคลมิอาจบริสุทธิ์ได้ด้วย (สัมมา) ปัญญาแต่เพียงประการเดียว หากแต่ต้องบำเพ็ญศีลและสมาธิอีกด้วย กล่าวคือ ศีล เป็นองค์คุณในการกำจัดกิเลสขั้นหยาบ (วีตกกัมมกิเลส) สมาธิ เป็นองค์คุณในการกำจัดกิเลสขั้นปานกลาง (ปริยุฏฐานกิเลส) ปัญญา เป็นองค์คุณในการกำจัดกิเลสขั้นละเอียด (อนุสัยกิเลส) โดยบทสรุปหากจะกล่าวให้ถูกต้อง ครบถ้วน และสมบูรณ์ก็คือ “บุคคลย่อมบริสุทธิ์ได้ด้วยศีล สมาธิ และปัญญา” นั่นเอง
ปล. สำหรับพี่พักผ่อนผมมีความเห็นว่า เป็นผู้รู้ประจำบอร์ดท่านหนึ่งที่ตอบกระทู้ได้อย่างกระชับ กระทัดรัด และเข้าใจง่าย ยกตัวอย่างเช่น กระทู้ที่มีผู้ขอเบอร์โทรศัพท์ปรึกษาปัญหาความรัก พี่ตอบสั้นๆ ว่า “072” เป็นคำตอบที่สั้นก็จริง แต่โดนครับ ขอยกนิ้วให้ สำหรับกระทู้นี้ ผมเองพอกลับมาตรวจดูความเห็นของตัวเองก็พบว่ายังบกพร่อง ก็ได้พี่นั่นแหละครับ ผมจึงต้องเพิ่มเติมคำอธิษฐานจิตในความเห็นที่ ๔ ขึ้นมา พออ่านทวนดูทั้งหมดอีกครั้ง ความเห็นแรกที่พี่บอกว่า “สามารถทำได้” ผมก็เห็นว่ายังไม่สมบูรณ์ เพราะไม่ได้ระบุต่อท้ายลงไปว่า “สามารถทำได้ ก็ต่อเมื่อ…” คือ ต้องมีเงื่อนไขมาต่อท้ายอีกสักหน่อยน่ะครับ ดังที่ได้อธิบายไปว่า คำอธิษฐานจิตใดๆ ก็ตามจะสัมฤทธิ์ผลได้ เหตุที่ได้ประกอบไว้ กับผลที่ตนปรารถนาด้วยการตั้งจิตอธิษฐานนั้น ต้องเสมอกัน กระทู้นี้นับว่าเป็นกระทู้ที่ผมได้เห็นขุมทรัพย์ของตนเอง และพี่เองก็ได้ชี้ทางออกให้ผมเห็นแบบอ้อมๆ ผมเองก็ขอชี้ขุมทรัพย์ให้พี่ด้วยเช่นกัน อนุโมทนาบุญซึ่งกันและกันครับ สาธุ… สาธุ… สาธุ…
ทั้งวาจานั้นไม่เป็นที่รัก ไม่เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ ตถาคตไม่ตรัสวาจานั้น
ตถาคตรู้วาจาใด เป็นของจริง ของแท้ แต่ไม่ประกอบด้วยประโยชน์
ทั้งวาจานั้นไม่เป็นที่รัก ไม่เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ แม้วาจานั้นตถาคตก็ไม่ตรัส
อนึ่ง ตถาคตรู้วาจาใด เป็นของจริง เป็นของแท้ ประกอบด้วยประโยชน์
แต่วาจานั้นไม่เป็นที่รัก ไม่เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ ตถาคตย่อมรู้กาลอันควรที่จะใช้วาจานั้น
ตถาคตรู้วาจาใด ไม่จริง ไม่แท้ ไม่ประกอบไปด้วยประโยชน์
แต่วาจานั้นเป็นที่รัก เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ ตถาคตไม่ตรัสวาจานั้น
ตถาคตรู้วาจาใด แม้เป็นของจริง เป็นของแท้ และไม่ประกอบด้วยประโยชน์
แต่วาจานั้นเป็นที่รัก เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ แม้วาจานั้นตถาคตก็ไม่ตรัส
อนึ่ง ตถาคตรู้วาจาใด เป็นของจริง เป็นของแท้ ประกอบด้วยประโยชน์
ทั้งวาจานั้นเป็นที่รัก เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ ตถาคตย่อมรู้กาลอันควรที่จะใช้วาจานั้น
[/color]
แต่จะต้องศึกษาให้มีความรู้ความเข้าใจ และปฏิบัติให้เหมาะสมแก่ภาวะปัจจุบัน
ด้วยศรัทธาและปัญญาที่ถูกต้อง จึงจะเกิดเป็นประโยชน์ขึ้นได้..."
พระบรมราโชวาท พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
๑๗ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๑๒
"รู้ใดก็ไม่ประเสริฐ เท่ารู้แจ้งด้วยปัญญาธรรมอันเกิดมีในตน"
"อัศวินปฏิญาณตนเป็นคนกล้า
ดวงใจเปี่ยมคุณธรรม
ซื่อตรงยึดมั่นในวาจาสัตย์
อุทิศชีวิตพิชิตมาร"
#8
โพสต์เมื่อ 19 December 2007 - 04:44 PM
ในพระเจ้า10ชาติพอจะเข้าใจ เนกขัมมะ วิริยะ เมตตา ปัญญา ศีล ขันติ สัจจะ ทาน คือ อ่านแล้วพอเข้าใจว่าตรงไหนคือปรมัตถบารมี แต่ที่เข้าใจได้ยากคือ พระเนมิราช(อธิษฐาน)และพระนารทะกัสสปะ(อุเบกขา)ถ้าไม่ได้ดู dmc ขยายความ คงยากที่จะรู้ว่าตรงไหน บทไหน ความไหนคือ ปรมัตถบารมีดังกล่าว
#9
โพสต์เมื่อ 19 December 2007 - 07:17 PM
อนุโมทนาบุญกับพี่ทุกๆคนนะครับ สาธุ สาธุ สาธุ
#10
โพสต์เมื่อ 19 December 2007 - 08:20 PM
หรืออย่างสมัยที่พระโพธิสัตว์เกิดเป็นเจ้าหญิง ก็ยังอธิษฐานให้ได้นามว่า "สิทธัตถะ" ซึ่งก็ได้สมประสงค์ตามนั้นครับ แต่ว่าจะให้เป็นไปได้อย่างนั้นจะต้องอาศัยอะไรบ้าง อันนี้ไม่ทราบจริงๆ ครับ แทนที่จะสนใจเรื่องนี้ ก็แนะนำให้อธิษฐานจิตในทางที่ถูกอย่างที่ทุกท่านตอบมาก็ถูกต้องแล้วครับ ไม่เก่งอธิบายครับเลยมักตอบสั้น ๆ รอให้คนอื่นมาอธิบายต่อครับ ที่ตอบก็เพื่อไม่ให้คิดฟุ้งซ่านมากไปน่ะครับ คิดอธิษฐานทั้งทีก็อธิษฐานให้ถูกต้องที่สุดไปเลยดีกว่า ก็คือคำอธิษฐานจิตที่ครูบาอาจารย์ท่านแนะนำมานะครับ เพราะเราไม่ได้รู้เห็นเหมือนท่านครับ
#11
โพสต์เมื่อ 20 December 2007 - 02:19 AM
#12
โพสต์เมื่อ 20 December 2007 - 10:31 AM
#13
โพสต์เมื่อ 20 December 2007 - 11:46 PM
#14
โพสต์เมื่อ 22 December 2007 - 11:23 PM
ขอฝาก วิธีอธิษฐานจิตให้ถูกหลักวิชชา
หลวงพ่อให้โอวาทเมื่อวันที่ 6 พฤศจิกายน 2548 ไว้ตาม File ที่แนบมาครับ