ไปที่เนื้อหา


รูปภาพ
- - - - -

การไม่ตอบโต้


  • คุณไม่สามารถตั้งกระทู้ใหม่ได้
  • กรุณาลงชื่อเข้าใช้เพื่อตอบกระทู้
มี 16 โพสต์ตอบกลับกระทู้นี้

#1 usr21142

usr21142
  • Members
  • 15 โพสต์

โพสต์เมื่อ 09 December 2007 - 11:56 PM

คือว่าหนูมีเพื่อนกลุ่มหนึ่งที่ชอบว่า นินทาหนูตลอด ทั้งที่เป็นเพื่อนกันแท้ๆ และหนูก็ไม่เคยทำอะไรให้พวกเขาเจ็บเลย ไม่เคยว่า หรือนินทาพวกเขาเลย หนูอยากจะเป็นเพื่อนกับเขาตลอด แต่พวกเขาชอบมองหน้าหนูแปลกๆ สายตาเหมือนดูถูกเลยค่ะ ถ้าทำอะไรดีๆหน่อย หรือมีคนชมจะถูกมองจากกลุ่มเพื่อนกลุ่มนี้ด้วยสายตาแบบนี้ หรือพูดประชดตลอด จะทำไงดีค่ะ รู้สึกเหมือนตัวเองไม่มีค่า หมดความมั่นใจไปเลยค่ะ เพราะพวกเขาเป็นกลุ่มใหญ่ในห้อง เพื่อนในห้องส่วนมากจะฟังเขาทั้งนั้น หนูจะต้องคอยทำตัวให้ไม่เด่นเกินไป เงียบๆเพราะไม่อยากให้เพื่อนมองเราแบบนั้นอีก ไม่รู้ว่าทำถูกหรือเปล่าน่ะค่ะ แต่อยากเป็นที่ยอมรับของเพื่อนค่ะ แล้วทำตัวเงียบๆ ก็กลายเป็นคนอื่นมองว่าเราเป็นคนเงียบไม่มีใครอยากคุยด้วยไปซะอีก ทั้งที่ไม่ใช่นิสัยเลยน่ะค่ะ ตอนนี้มันรู้สึกขาดความมั่นใจไปเลยน่ะค่ะ ไม่อยากให้เพื่อนมองเราไม่ดีอีก ทำไมเป็นได้ถึงขนาดนี้ก็ไม่รู้
หนูกำลังทำถูกหรือทำผิดอยู่ค่ะ หนูควรจะทำยังงี้ต่อไปเพื่อให้เพื่อนยอมรับ หรือกลับมาเป็นตัวของตัวเองไม่ต้องสนใจสายตาพวกนั้นดีค่ะ แต่หนูบอกตรงๆน่ะค่ะเวลาเห็นพวกเพื่อนๆเขาจับกลุ่มคุยกัน หรือเห็นสายตาที่เขามองหนูอย่างนั้น แล้วหนูทำใจไม่ได้ค่ะ ไม่รู้ว่าหนูไปทำอะไรให้ตอนไหน ถ้านั่งสมาธิแผ่เมตตาให้จะดีขึ้นบ้างไหมค่ะ


#2 suppy001

suppy001
  • Members
  • 2210 โพสต์

โพสต์เมื่อ 10 December 2007 - 06:25 AM

happy.gif

#3 cat....ka

cat....ka
  • Members
  • 55 โพสต์

โพสต์เมื่อ 10 December 2007 - 06:55 AM

แปลกนะ เป็นเหมือนกันเลย แต่มีอยู่ครั้งหนึ่งเลิกเอาใจไปใส่พวกเพื่อนเหล่านั้น ตัวเบาเลย นั่งสมาธิสบายมากๆเลย และพอนั่งสมาธิดี เพื่อนๆก็เข้ามาคุยดีกะเราอีก ใส่ใจเขา ตัวหนักอีก ไม่ต้องใส่ใจหรอกนะ สู้ๆๆ

#4 asama

asama
  • Members
  • 157 โพสต์

โพสต์เมื่อ 10 December 2007 - 07:57 AM

ทําความดีให้เข็มข้น นั่งสมาธิแผ่เมตตาให้มากๆ คิดว่าคงไม่นานเรี่องทุกอย่างจะดีขึ้นเองนะค่ะ
ขอเป็นกําลังใจให้คะ

บทแผ่เมตตาให้สรรพสัตว์ทั้งหลาย
สัพเพ สัตตา สัตว์ทั้งหลายทั้งปวง ที่เป็นเพื่อนทุกข์ เกิด แก่ เจ็บ ตาย ด้วยกันทั้งสิ้น
อะเวรา โหนตุ จงเป็นสุขเป็นสุขเถิด อย่าได้มีเวรแก่กันและกันเลย
อัพพะยาปัชฌา โหนตุ จงเป็นสุขเป็นสุขเถิด อย่าได้เบียดเบียนซึ่งกันและกันเลย
อะนีฆา โหนตุ จงเป็นสุขเป็นสุขเถิด อย่าได้มีความทุกข์กายทุกข์ใจเลย
สุขี อัตตานัง ปะริหะรันตุ จงมีความสุขกาย สุขใจ รักษาตนให้พ้นจากทุกข์ภัยทั้งสิ้นเทอญ
บทแผ่เมตตาให้ตนเอง
อะหัง สุขิโต โหมิ ขอให้ข้าพเจ้ามีความสุข
อะหัง นิททุกโข โหมิ ขอให้ข้าพเจ้าปราศจากความทุกข์
อะหัง อะเวโร โหมิ ขอให้ข้าพเจ้าปราศจากเวร
อะหัง อัพยาปัชโฌ โหมิ ขอให้ข้าพเจ้าปราศจากอุปสรรคอันตรายทั้งปวง
สุขี อัตตานัง ปะริหะรามิ
ขอให้ข้าพเจ้าจงมีความสุขกายสุขใจ
รักษากายวาจาใจให้พันจากความทุกข์ภัยทั้งปวงเถิด



บทกรวดน้ำให้คู่กรรมคู่เวร

เมื่อเสร็จพิธีทำบุญและพระสงฆ์กล่าวรับแล้วให้กรวดน้ำอุทิศส่วนกุศล
ให้กับคู่กรรมคู่เวรของเราโดยว่าดังนี้

ข้าพเจ้าขออุทิศบุญกุศล จากการเจริญภาวนานี้ ให้แก่คู่กรรมคู่เวรทั้งหลายของข้าพเจ้า ที่ข้าพเจ้าได้เคยล่วงเกินท่านไว้ ตั้งแต่อดีตชาติจนถึงปัจจุบันชาติ
ท่านจะอยู่ภพใดหรือภูมิใดก็ตาม ขอให้ท่านได้รับผลบุญนี้ แล้วโปรดอโหสิกรรม และอนุโมทนาบุญแก่ข้าพเจ้า ด้วยอำนาจบุญนี้ด้วยเทอญ


พลังลูกพระธัมฯ

#5 วัดในดวงใจ

วัดในดวงใจ
  • Members
  • 1199 โพสต์

โพสต์เมื่อ 10 December 2007 - 08:16 AM

มีวาจาสุภาษิต - วาจาอันเป็นที่รัก



พึงเปล่งวาจางามเท่านั้น ไม่พึงเปล่งวาจาชั่วเลย
การเปล่งวาจางามยังประโยชน์ให้สำเร็จ
คนเปล่งวาจาชั่วย่อมเดือดร้อน


ธรรมดาของสรรพสัตว์และสรรพสิ่งทั้งหลาย ย่อมมีการเปลี่ยนแปลงไปสู่ความเสื่อม แม้แต่ชีวิตของเราก็เสื่อมไปตามลำดับ จากวัยทารกไปสู่วัยเด็ก วัยรุ่น วัยหนุ่มสาว วัยกลางคน วัยแก่ชรา นั่นเป็นความเสื่อมที่เรามองเห็นได้ เราถูกความเสื่อมครอบงำ แล้วนำไปสู่ความตายในที่สุดเหมือนกันหมด เพราะฉะนั้นเราไม่ควรประมาทในการดำเนินชีวิต ควรมองให้เห็นโทษของความเสื่อมนั้น จะได้คลายจากความยึดมั่น ถือมั่นในโลกทั้งปวง แล้วมุ่งแสวงหาหนทางแห่งความหลุดพ้น

พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสไว้ใน ขุททกนิกาย เอกนิบาต ชาดก ว่า

"กลฺยาณิเมว มุญฺเจยฺย น หิ มุญฺเจยฺย ปาปิก
โมกฺโข กลฺยาณิยา สาธุ มุตฺวา ตปฺปติ ปาปิกํ

พึงเปล่งวาจางามเท่านั้น ไม่พึงเปล่งวาจาชั่วเลย การเปล่งวาจางามยังประโยชน์ให้สำเร็จ คนเปล่งวาจาชั่วย่อมเดือดร้อน"

การพูดจาให้ไพเราะน่าฟัง พูดแต่วาจาสุภาษิต ย่อมยังประโยชน์ให้สำเร็จได้ จะทำให้ได้รับความสุขความเจริญ มีคนยกย่องสรรเสริญและเป็นที่รักของคนทั่วไป ดังนั้นควรพูดแต่ถ้อยคำอันเป็นที่รักที่พอใจ ส่วนคำที่หยาบคายเป็นวาจาทุพภาษิต ย่อมทำให้เดือดร้อนและถูกตำหนิติเตียน จึงควรงดเว้นเสีย

*ในสมัยพุทธกาล นางสุชาดาบุตรีของธนัญชัยเศรษฐี ได้เป็นสะใภ้ของท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี เมื่อเข้าไปอยู่ในเรือนของท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐีแล้ว คิดว่าตนเองมาจากตระกูลเศรษฐีที่มั่งคั่ง จึงมีความถือตัวเอาแต่ใจตนเอง และมีนิสัยหยาบกระด้างมักโกรธ ไม่ทำหน้าที่ของสะใภ้ที่ดี แต่เที่ยวด่าว่าคนรับใช้อยู่เสมอ

วันหนึ่ง พระสัมมาสัมพุทธเจ้าพร้อมด้วยเหล่าภิกษุ เสด็จมารับบิณฑบาตในเรือนของท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี เมื่อเสร็จภัตกิจแล้ว ขณะกำลังแสดงธรรม ก็ได้ยินเสียงทะเลาะวิวาทกัน พระบรมศาสดาทรงหยุดธรรมกถาตรัสถามว่าเกิดอะไรขึ้น ท่านเศรษฐีกราบทูลว่า "ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ นางสุชาดาสะใภ้ของข้าพระองค์เป็นคนมักโกรธ มีความถือตัว นางไม่ทำหน้าที่ของสะใภ้ และไม่ให้ทาน ไม่รักษาศีล วันหนึ่งๆ ได้แต่หาเรื่องกับคนรับใช้ ขอพระองค์ทรงโปรดสั่งสอนด้วยเถิด"

พระบรมศาสดาจึงทรงให้เรียกนางมา แล้วตรัสถามว่า "ดูก่อนสุชาดา ภรรยาของบุรุษมีอยู่ ๗ จำพวก เธอเป็นภรรยาพวกไหนใน ๗ จำพวกนั้น"

นางสุชาดากราบทูลว่า "ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ หม่อมฉันไม่ทราบความหมายของพระดำรัสที่พระองค์ตรัส ขอพระองค์ทรงโปรดขยายความนั้นด้วยเถิด" พระพุทธองค์จึงตรัสถึงภรรยาทั้ง ๗ จำพวกว่า

"ภรรยาเหล่าใด มีจิตคิดประทุษร้ายต่อสามี มิได้ประพฤติสิ่งที่เป็นประโยชน์เกื้อกูลแก่สามี ประพฤตินอกใจสามี ดูหมิ่นล่วงเกินสามี พยายามจะประหารสามี ภรรยานี้เรียกว่า วธกาภริยา คือ ภรรยาเยี่ยงเพชฌฆาต

ภรรยาเหล่าใด เมื่อสามีได้ทรัพย์สินเงินทองมาด้วยอาชีพสุจริต แม้จะมากน้อยเพียงใด ก็มอบทรัพย์ให้ภรรยาเก็บรักษาไว้ แต่ภรรยานั้นกลับใช้ทรัพย์อย่างสิ้นเปลือง ภรรยาอย่างนี้เรียกว่า โจรีภริยา ภรรยาเยี่ยงโจร

ภรรยาเหล่าใด ไม่ยอมทำการงาน เกียจคร้าน หยาบช้า ดุร้าย ปากคอเราะราน ประพฤติข่มเหงคนรับใช้ ภรรยาอย่างนี้เรียกว่า อัยยาภริยา ภรรยาที่วางตัวเหมือนนาย

ภรรยาเหล่าใด มีใจโอบอ้อมอารี ประพฤติสิ่งที่เป็นประโยชน์เกื้อกูลทุกเมื่อ ตามรักษาสามีดุจมารดาตามรักษาบุตร รักษาทรัพย์ที่สามีหามาได้ ภรรยาอย่างนี้เรียกว่า มาตาภริยา ภรรยาเสมอเหมือนมารดา

ภรรยาเหล่าใด มีความเคารพสามี มีความละอายใจ ประพฤติตามความพอใจของสามี คล้ายกับน้องสาวที่มีความเคารพต่อพี่ชาย ภรรยาอย่างนี้เรียกว่า ภคินีภริยา ภรรยาเสมอเหมือนน้องสาว

ภรรยาเหล่าใด เมื่อเห็นสามีแล้วร่าเริงยินดี คล้ายกับเห็นมิตรสหายที่มาเรือนของตน เป็นผู้รักษาวงศ์ตระกูล มีศีลมีวัตรปฏิบัติต่อสามี ภรรยาอย่างนี้เรียกว่า สขีภริยา ภรรยาที่เป็นเหมือนเพื่อน

ภรรยาเหล่าใดมีลักษณะเช่นนี้ คือ เป็นคนไม่มีความโกรธ ถึงจะถูกขู่ฆ่าหรือถูกลงโทษ ก็ไม่มีจิตคิดประทุษร้าย อดกลั้นต่อสามี ไม่โกรธ ยอมประพฤติตามอำนาจของสามี ภรรยาอย่างนี้เรียกว่า ทาสีภริยา ภรรยาเสมอเหมือนทาส

ดูก่อนสุชาดา ภรรยาในโลกนี้ที่เรียกว่า วธกาภริยา โจรีภริยา และอัยยาภริยา เป็นคนทุศีลหยาบช้า มิได้เอื้อเฟื้อ เมื่อละจากโลกแล้วย่อมไปสู่นรก ส่วนภรรยาใดในโลกนี้ ที่เรียกว่า มาตาภริยา ภคินีภริยา สขีภริยา และทาสีภริยา เป็นคนดำรงอยู่ในศีล สำรวมระวังด้วยดี เมื่อละจากโลกแล้วย่อมไปสู่สุคติ"

เมื่อจบพระธรรมเทศนา นางสุชาดาได้ดำรงอยู่ในโสดาปัตติผล พระบรมศาสดาจึงตรัสว่า "สุชาดา บรรดาภรรยา ๗ จำพวกนี้ เธอเป็นภรรยาพวกไหน"

นางกราบทูลว่า "หม่อมฉัน ขอเป็นภรรยาเสมอด้วยทาส พระเจ้าข้า" แล้วได้กราบขอขมาพระบรมศาสดา

ภิกษุทั้งหลายนั่งสนทนากันถึงเรื่องของนางสุชาดา ที่พระบรมศาสดาทรงทรมานให้หายพยศ ด้วยพระพุทธโอวาทเพียงครั้งเดียว จนได้ดำรงอยู่ในโสดาปัตติผล พระบรมศาสดาจึงทรงนำเรื่องในอดีต มาแสดงให้พระภิกษุฟังว่า

เมื่อครั้งที่พระโพธิสัตว์ บังเกิดเป็นพระโอรสของพระเจ้าพรหมทัต พระมารดาของพระองค์เป็นผู้มักโกรธ ดุร้าย ชอบด่าบริภาษผู้อื่น พระโพธิสัตว์ประสงค์จะถวายโอวาทแก่พระมารดา ทรงดำริว่า การกราบทูลถ้อยคำที่ไม่มีเรื่องอ้างอิงไม่สมควร จะไม่เป็นผล จึงแสวงหาสิ่งเปรียบเทียบ เพื่อจะแนะนำพระมารดา

วันหนึ่ง พระองค์เสด็จไปในพระราชอุทยานพร้อมกับพระมารดา ได้ยินเสียงนกต้อยตีวิดกำลังส่งเสียงร้องดังรบกวนในระหว่างทาง ผู้ติดตามมากมายได้ยินเสียงนั้น จึงพากันปิดหู กล่าวว่า "เจ้านกมีเสียงหยาบช้า เจ้าอย่าได้ส่งเสียงร้อง" แล้วต่างขว้างปาก้อนดินใส่นกต้อยตีวิด เมื่อเสด็จต่อไป ก็พบนกดุเหว่าตัวหนึ่ง อยู่บนต้นสาละ ส่งเสียงร้องไพเราะจับใจ คณะผู้ติดตามพากันหลงใหลในเสียงนั้น ต่างกล่าวขึ้นว่า "เจ้านกน้อย มีเสียงไพเราะอ่อนหวาน นุ่มนวล เจ้าจงร้องต่อไป เราอยากฟังเสียงของเจ้าอีก"

พระโพธิสัตว์เห็นเหตุการณ์ทั้งสองนั้นแล้ว จึงดำริว่า เราจะนำเหตุการณ์นั้นมาเปรียบเทียบให้พระมารดาฟัง จึงกราบทูลว่า "มหาชนได้ยินเสียงของนกต้อยตีวิด ต่างพากัน ปิดหูแล้วไล่ไปเสีย แม้นกนี้มีสีสันสวยงาม แต่มีเสียงหยาบกระด้าง เปรียบเสมือนคนมีวาจาหยาบคาย ย่อมไม่เป็นที่รักของผู้อื่น
แต่นกดุเหว่าแม้มีสีดำไม่น่าดู ก็เป็นที่รักเพราะมีเสียงไพเราะอ่อนหวาน เปรียบเสมือนคนมีวาจาสุภาษิต มีวาจา สละสลวย คิดก่อนพูด ไม่ฟุ้งซ่าน มีถ้อยคำเป็นอรรถเป็นธรรม ย่อมเป็นที่รักของมหาชน" พระมารดาสดับแล้วก็รู้สึกพระองค์ และได้เป็นผู้มีวาจาไพเราะนุ่มนวล ด้วยพระโอวาทเพียงครั้งเดียว เท่านั้น

เพราะฉะนั้น ผู้ที่ปรารถนาจะให้เป็นที่รักของผู้อื่น ควรพูด ด้วยวาจาไพเราะ อ่อนหวาน สละสลวย นุ่มนวลน่าฟัง ก่อนพูดก็ควรคิดใคร่ครวญให้ดี พูดในสิ่งที่มีประโยชน์ มีสาระ โดยเฉพาะ คำพูดที่ชักชวนให้ทำความดี ให้ประพฤติปฏิบัติธรรม ควรพูดบ่อยๆ เพราะเป็นถ้อยคำที่นำพาไปสู่สวรรค์นิพพาน ดังนั้นให้ทุกถ้อยคำของเราเป็นไปเพื่อบุญกุศลและเพื่อความหลุดพ้น


พระธรรมเทศนาโดย : พระราชภาวนาวิสุทธิ์ (ไชยบูลย์ ธมฺมชโย)


*มก. สุชาดาชาดก เล่ม ๕๘ หน้า ๑๔๗

พระพุทธเจ้ารู้
และท่านก็ตรัสสรุป
ว่าทางเดียวที่จะรู้ตามท่าน
ตลอดจนหยุดตามท่าน
คือการมองเข้าข้างใน
และการหยั่งรู้สรรพสิ่งออกมาจากภายใน
คือสัญลักษณ์สำคัญของพุทธแท้
พุทธแท้จะรู้ว่าการพยายามมองออกข้างนอก
เป็นวิธีที่ไม่ทำให้รู้จักประโยชน์สูงสุด
อันพึงมีพึงได้จากความเป็นมนุษย์

#6 Dhamma Bot

Dhamma Bot
  • Members
  • 477 โพสต์
  • Gender:Male

โพสต์เมื่อ 10 December 2007 - 10:12 AM

อันนี้เขาเรียกว่าโลกธรรมแปดประการน่ะครับ คือ มีลาภ เสื่อมลาภ มียศ เสื่อมยศ สุข ทุกข์ นินทา สรรเสริญ ในเมื่อเกิดมาเป็นชาวโลกแล้วก็ต้องพบกับโลกธรรมแปดประการนี้ทั้งนั้น พี่ขอแนะนำให้น้องปฏิบัติพรหมวิหารธรรมน่ะครับ คือมีเมตตา มีกรุณา มีมุทิตา และมีอุเบกขา เขาจะดีหรือไม่ดีอย่างไร ก็ขอให้เรามีความปรารถนาดีต่อเขาเสมอ ยินดีกับเขาเมื่อเขาได้ดีมีสุข และก็ทำใจเป็นกลาง ทำเฉยๆ เมื่อเขาล่วงเกินเรา เพียงเท่านี้น้องก็จะมีความสุขอยู่ได้ เหมือนจุดเย็นในกลางเตาหลอมนะครับ ยิ่งถ้าน้องปฏิบัติธรรม นั่งสมาธิ น้องจะมีความมั่นใจ อันเกิดจากความบริสุทธิ์ภายในครับ

#7 NONGPAKOUW

NONGPAKOUW
  • Members
  • 28 โพสต์

โพสต์เมื่อ 10 December 2007 - 11:04 AM

เป็นกำลังใจให้นะค่ะ สู้ๆๆนะค่ะ ทำใสๆๆเข้าไว้นะค่ะนั่งสมาธิเยอะๆๆนะค่ะ แผ่เมตตาด้วยนะค่ะ

#8 หมอป๊อง

หมอป๊อง
  • Members
  • 761 โพสต์
  • Gender:Male
  • Location:กทม.

โพสต์เมื่อ 10 December 2007 - 11:46 AM

glare.gif ขอเป็นกำลังใจให้คุณนักเรียนอนุบาลusr21142นะครับ
ตามที่ได้ฟังคุณครูไม่ใหญ่อธิบายในcasestudy ก็ขอเดาว่า
เราคงเคยทำเค้าไว้แบบนี้ในอดีตชาติ ชาตินี้เมื่อกรรมส่งผล
ทำให้เค้าทำกับเราบ้าง ทำให้เราเข้าใจความรู้สึกของผู้ที่ถูกกระทำ
แล้วถ้าเรารู้ว่ามันไม่ดี เราก็จะได้ไม่ทำแบบนี้...
คราวนี้ เราโดนกระทำเพราะเราไปทำเค้าก่อน เมื่อเค้าทำกลับ
ก็ถือว่าหายกัน ให้อภัยเค้าไป คิดว่าใช้เค้าให้หมด..ดีมั้ย
...
เราอยากเป็นเพื่อนเค้า ก็ใช้สังคหวัตถุ4 คือ
ทาน ปิยวาจา อัตถจริยา สมานัตตตา
http://www.kalyanami...i...arch=
...
สู้ต่อไป ทำดีได้ดีแน่นอน happy.gif



ไฟล์แนบ

  • แนบไฟล์  friend.jpg   34.73K   41 ดาวน์โหลด


#9 usr21142

usr21142
  • Members
  • 15 โพสต์

โพสต์เมื่อ 10 December 2007 - 12:01 PM

ขอบคุณมากค่ะ แล้วถ้าเราทำดีกับเขา คนอื่นจะหาว่าเราเป็นคนโง่ในสายตาเขาไหมค่ะ

#10 usr16773

usr16773
  • Members
  • 21 โพสต์

โพสต์เมื่อ 10 December 2007 - 12:58 PM

การทำดีต่อผู้อื่นโดยไม่หวังผลตอบแทนอาจดูโง่ในสายตาชาวโลก แต่ทางธรรม แล้วเป็นการกระทำที่ฉลาดสุดและได้ผลที่สุดครับ (ยิ่งให้ยิ่งได้) แต่ที่สำคัญคืออย่าไปสนใจเรื่องของคนอื่นให้มาก เพราะเราไปบังคับใครไม่ได้ นอกจากบังคับตัวเองรักตัวเองให้มากๆไว้ เดี่ยวก็เป็นกระแสเหนียวนำให้คนอี่นรักเราเองแหละครับ ต้องค่อยๆพยายามไปนะครับ

#11 หัดฝัน

หัดฝัน
  • Members
  • 4531 โพสต์
  • Gender:Male
  • Interests:ธรรมะ

โพสต์เมื่อ 10 December 2007 - 02:22 PM

หากทำดีต่อผู้อื่น อาจถูกมองว่า โง่
หากเอาเปรียบ หรือ ทำร้ายผู้อื่นได้ จะถูกมองว่าฉลาด

นี่คือ หนึ่งในความหลอกลวงที่กิเลส(ความหลง) ส่งมาบังคับมนุษย์ให้คิดเช่นนี้น่ะครับ กิเลสจะบังคับให้คิดว่า หากดีต่อผู้อื่นนั้น ถือว่าโง่ หากหาทางเอาเปรียบได้ จะถือว่า ฉลาด สุดท้าย เมื่อมนุษย์คิดเช่นนั้น ก็จะถูกเขา(กิเลส) หลอกให้เป็นศัตรูกันเองครับ

ทั้งที่ศัตรูที่แท้จริงของมนุษย์ทุกคน คือ กิเลสในใจมนุษย์ทุกคนที่ต้องหาทางเอาชนะให้ได้ครับ

ลองคิดดูสิครับว่า เอาขนม ของใช้ไปให้เพื่อน ซึ่งเป็นหนึ่งในการทำความดีต่อเพื่อน ย่อมทำให้ผู้ให้กลายเป็นคนโง่หรือเปล่า หากใช่แล้วล่ะก็ อย่างนี้ บิดามารดาให้การเลี้ยงดูบุตร ครูอาจารย์ให้ความรู้ต่อศิษย์ ย่อมกลายเป็นคนโง่ไปด้วยอย่างนั้นหรือ

โลกนี้แท้จริงแล้ว อยู่ได้ด้วยการทำดีต่อกันครับ ลองคิดดูว่า นับแต่วันแรกที่เราเกิดมา หากพ่อแม่ไม่ทำดีต่อเรา ครูอาจารย์ไม่ทำดีต่อเรา แล้วเราจะมีวันนี้หรือ เราคงจะกลับไปเกิดใหม่เรียบร้อยแล้ว

ดังนั้น ผู้ที่ทำดีต่อผู้อื่น ในชาตินี้ ย่อมได้ชื่อว่า ทำให้สังคมสงบสุขครับ เพราะโลกนี้อยู่ได้ด้วยการให้ การทำดีต่อกัน
และผู้ที่ทำดีต่อผู้อื่นนั้น ในชาติหน้า ย่อมได้ชื่อว่า ทำดีต่อตัวเองครับ เพราะบุญย่อมย้อนมาส่งผล กับคนทำดี
สุดท้ายผู้ที่ทำดีต่อผู้อื่นนั้น จะเอาชนะกิเลส และหมดกิเลสได้ในที่สุดครับ
ได้ดี เพราะมีกัลยาณมิตร

#12 หัดฝัน

หัดฝัน
  • Members
  • 4531 โพสต์
  • Gender:Male
  • Interests:ธรรมะ

โพสต์เมื่อ 10 December 2007 - 02:36 PM

อ้อ อีกเรื่องหนึ่งลืมบอกไป ว่าแนวคิดในการไม่ทำดีต่อผู้อื่น คือ แนวคิดที่ฉลาดนั้น พวกกิเลสพยายามหาทางหลอกลวงมนุษย์อย่างนี้มาทุกยุคทุกสมัยเลยล่ะครับ ดังตัวอย่างในมหาพรหมนารทะ ตอนที่ 11 ตอนที่ 12 และตอนที่ 13 ที่นักบวชชีเปลือย พยายามยกแนวคิดที่ผิดๆ ของตนอธิบายให้พระราชา

จากนั้นก็ลองไปดูคำอธิบายแก้ของมหาพรหมนารทะ ในตอนที่ 26, 27, 28 และ 29 ครับ


http://www.dmc.tv/pr...ahmnarada.html#
ได้ดี เพราะมีกัลยาณมิตร

#13 วาวา

วาวา
  • Members
  • 30 โพสต์

โพสต์เมื่อ 10 December 2007 - 03:10 PM

อย่าได้กังวลเลย ทำดีต่อไปนะ เราก็เคยเป็น แต่เมื่อมาพิจารณาแล้วมันก็แค่ทางผ่าน เพราะเรามีหน้าที่ที่แท้จริงที่ต้องทำ...สู้ๆ

#14 แดกิมชุน

แดกิมชุน
  • Members
  • 14 โพสต์

โพสต์เมื่อ 10 December 2007 - 04:12 PM

เราจะพึงพูดแต่ในเรื่องที่ควรพูดเป็นประโยชน์แด่ตัวเองและผู้อื่น อย่าไปเอากิริยาคนอื่นมาเป็นอารมณ์จนทำให้จิตเราเศร้าหมอง ควรวางอุเบกขา ทำใจของเราให้สดชื่นใสๆ มองเขาด้วยความเมตตา ดีกว่า ถ้าเราทำอย่างนี้ไม่นานความคิดเชิงบวกของเรา ก็จะทำให้ใจเราเป็นสุขได้ตลอดเวลา

#15 เด็กสมบูรณ์

เด็กสมบูรณ์
  • Members
  • 173 โพสต์
  • Location:ไม่ค่อยแน่นอนเท่าไหร่อ่ะ
  • Interests:-

โพสต์เมื่อ 10 December 2007 - 04:39 PM

นู๋แนนก็เป็นค่ะเรื่องแบบนี้ในห้องเรียนนี้แหละค่ะ ตอนนี้ด้วย

อ่ะนะ...ยิ่งฤทธิ์ของเด็ก ม.ปลายยิ่งแรงด้วย

นู๋แนนก็เจอหนักพอสมควร

แต่..

พระพ่อสอนนู๋แนนว่า ให้นิ่งเข้าไว้ ยามใดที่ท้อ ให้นึกถึงหลวงพ่อดูสิ

ท่านเจอหนักกว่าเราอีก

แต่ท่านยังนิ่งอยู่ได้

เราเจอแค่เนี้ย...น้อยกว่าท่านมากนะ

สู้ต่อไปนะคะ ถ้าเราไม่เถียงหรือว่าเขา เรายังสะอาดอยู่นะ

แต่ถ้าเราเผลอทำอะไรไปแล้ว

อาจตกที่นั่งลำบากได้นะจ๊ะ

เป็นกำลังใจให้จ๊ะ
...ความรักก็เหมือนการจับไฟนั่นแหละ
ทางที่จะไม่ให้มือพองเพราะไฟเผามีอยู่ทางเดียว คืออย่าจับไฟอย่าเล่นกับไฟ
ทางที่จะปลอดภัยจากรักก็ฉันนั้น มีอยู่ทางเดียวคือ...อย่ารัก...

#16 usr21142

usr21142
  • Members
  • 15 โพสต์

โพสต์เมื่อ 10 December 2007 - 04:55 PM

ขอขอบคุณทุกๆท่านมากเลยน่ะค่ะ จะนำไปปฎิบัติตามค่ะ

#17 *YTTRA*

*YTTRA*
  • Guests

โพสต์เมื่อ 12 December 2007 - 03:32 PM

บุคคลพึงชนะความโกรธด้วยความไม่โกรธ
พึงชนะความตระหนี่ด้วยทาน(การให้นะไม่ใช่หมายถึงกิน)
พึงชนะความกลัวด้วยความกล้า
พึงชนะความไม่รู้ด้วยปัญญา

และจะชนะทุกอย่างด้วยความอดทน อดกลั้น